Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 749

Cover Renegade Immortal 1

749. ด้ามจับและปลายกระบี่

“ข้าต้องการกลวิธีกฏเกณฑ์สิบแปดดอกพลัม!” หวังหลินเงียบเสียงแต่ความหมายชัดเจน

หวังหลินรู้ว่ากฏเกณฑ์สิบแปดดอกพลัมมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างยิ่งในยุคโบราณแต่มันถูกเก็บไว้เป็นความลับ คนภายนอกไม่สามารถเรียนรู้ได้และสำหรับเหล่าศิษย์ก็ขึ้นอยู่กับสภานะอีกที พวกเขาสามารถเรียนได้ถึงเก้าดอกเท่านั้น! มีเพียงอาจารย์ที่สามารถเรียนรู้ได้เต็มถึงสิบแปดดอก!

ณ วันนี้วิธีการสร้างกฏเกณฑ์สูญหายไปนานและปรมาจารย์กฏเกณฑ์หลายคนต่างรู้สึกเศร้าเสียใจ

ครั้งแรกที่หวังหลินได้ยินเรื่องกฏเกณฑ์สิบแปดดอกพลัมคือตอนที่อยู่ในถ้ำข้างในดินแดนวิญญาณปิศาจ ตอนที่เขาเห็นสิบแปดกฏเกณฑ์ปรากฏขึ้นมาขณะที่ลี่หยวนขยับฝ่ามือ หวังหลินก็เริ่มสงสัยแล้ว

สิ่งที่ทำให้เขายิ่งสงสัยมากขึ้นก็คือตอนที่ได้รับหินหยกที่มีข้อมูลเรื่องการซ่อนกฏเกณฑ์ มีรูปปั้นสิบแปดตนปรากฏขึ้นมาตอนที่เขาตรวจสอบ!

รูปปั้นสิบแปดตนนี้มีรูปร่างแตกต่างจากดอกพลัม ในตอนนั้นหวังหลินงุนงงแต่เมื่อขบคิดอย่างละเอียดเขาก็พบเบาะแสบางอย่าง

แม้น้ำเสียงสงบนิ่งแต่หวังหลินเพียงแค่ทดสอบลี่หยวนเท่านั้น หากลี่หยวนปฏิเสธ หวังหลินคงไม่สนใจอะไรอีก ไม่ว่าหวังหลินต้องการโจมตีหรือจากไป เพียงแค่ความคิดเดียวเท่านั้น

นี่คือเหตุผลหลักว่าทำไมหวังหลินถึงติดตามทั้งสองคนมาตลอดทาง หากเป็นเพียงแค่อุปกรณ์ต้นกำเนิดที่มีโอกาสคลุมเครือ หวังหลินคงไม่ติดตามมาจนถึงตอนนี้

อย่างไรก็ตามลี่หยวนกลับลึกลับเกินไป หวังหลินไม่มั่นใจว่าคนผู้นี้เป็นขั้นเทวะระดับปลายจริงๆหรือไม่ หวังหลินจึงไม่ลงมือระหว่างทางมาที่นี่

หวังหลินจะลงมือหลังจากมาถึงปลายทางแล้วเท่านั้น!

ลี่หยวนขบคิดก่อนจะยิ้มขึ้นมา “เพียงแค่กฏเกณฑ์สิบแปดดอกพลัมเท่านั้น? หากพี่ซิ่วอยากได้มัน ข้าก็ยินดีบังคับให้” เขาตบกระเป๋านำหินหยกชิ้นนึงออกมา จากนั้นวางระหว่างคิ้วอยู่ชั่วครู่ก่อนจะโยนมันให้หวังหลิน

“นี่คือสิบสามดอกพลัม ข้าจะให้อีกห้าดอกที่เหลือหลังจากเราเข้าไปในภูเขา”

หวังหลินรับหินหยกมาและตรวจสอบ แม้ว่าสีหน้าท่าทางจะเป็นปกติ จิตใจเขาเริ่มเต้นกระดอน ข้างในไม่มีบทร่าย เป็นเพียงรูปปั้นขนาดใหญ่สิบสามชิ้นและมีดอกพลัมทั้งหมดสิบสามดอก

ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ แม่นางเก้อยังคงเงียบกริบ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนาง นางมองภูเขาเงียบๆก่อนที่นางจะตกอยู่ในความมึนงง

“พี่ซิ่ว กฏเกณฑ์สิบแปดดอกพลัมไม่ใช่กฏเกณฑ์เดียวที่ข้ารู้จัก ท่านรู้จักสี่กฏเกณฑ์ชั้นยอดหรือไม่?” ลี่หยวนหันกลับมาหาภูเขาและเริ่มเดินเข้าไป ดูเหมือนเขาไม่กลัวว่าหวังหลินจะออกไปพร้อมกับหินหยกเลย

หลังจากเก็บหินหยก ดวงตาหวังหลินสงบนิ่งพร้อมกับเดินเข้าหายอดภูเขา

“ข่าวลือว่าตอนที่โลกถือกำเนิด กฏแห่งโลกก็โผล่ออกมาด้วย นานมากแล้วกฏได้แบ่งออกเป็นเก้าส่วน และหนึ่งในนั้นคือกฏเกณฑ์! ทั้งยังเรียกอีกอย่างว่าค่ายกล! ต่างกันแค่ชื่อแต่ความหมายเหมือนกัน!”

“สวรรค์ ปฐพี ลี้ลับและอำพันคือระดับทั้งสี่ของกฏเกณฑ์ที่มีมาช้านาน!” ลี่หยวนไม่หันกลับมาแต่ว่าเดินเข้าหายอดเขาอย่างระมัดระวัง แม่นางเก้อตามเข้าไปและยังคงมึนงง

“แต่ว่ามีอีกระดับที่เหนือกว่าทั้งสี่นั้น และเราเรียกมันว่าระดับว่างเปล่า! ระดับว่างเปล่ายังแบ่งไปเป็นกฏเกณฑ์ชั้นยอดสี่อย่าง ภูเขาลูกนี้มีกฏเกณฑ์ทำลายล้างของสี่กฏเกณฑ์ระดับความว่างเปล่า ไม่มีใครสามารถไปถึงยอดได้เพราะยอดของมันไม่มีที่สิ้นสุด!” คำพูดลี่หยวนเข้าไปในหูหวังหลิน

“พี่ซิ่วต้องงุนงงแน่ว่าทำไมข้าถึงรู้เรื่องทั้งหมดนี้” ลี่หยวนก้าวไปบนก้อนหินที่ยื่นออกมา จากนั้นมือขวาสร้างผนึกประทับมันลงไปในความว่างเปล่าแบบสุ่มๆ

แรงกดของเขาทำให้ทั้งภูเขากระพริบวาบและสั่นไหวรุนแรง เสียงดังสนั่นกึกก้องทั่วทั้งภูเขาและมันก็หดลงไปครึ่งนึง

แม้ว่ายังมองไม่เห็นยอด แต่ว่ายอดของมันลดลงมาน้อยลงมาก

“เช่นนั้น หากท่านเดินบนเส้นทางไปถึงยอดเล่า? เมื่อไร้หนทางในการทำลายกฏเกณฑ์ แม้จะค้นไปทั่วทั้งภูเขาก็ไม่อาจมองทะลุก้อนเมฆไปได้!” ลี่หยวนหันกลับมามองหวังหลินด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม

“พี่ซิ่ว ท่านมีคำถามอะไรไหม?”

หวังหลินมองลี่หยวนและเอ่ยด้วยท่าทีสงบ “เจ้าช่างเสียงดังจริงๆ!”

ลี่หยวนขมวดคิ้วและยิ้มทันทีก่อนจะหันตัวกลับและเดินต่อไป อย่างไรก็ตามเขาหยุดพูด สายตามีแต่ความคำนึงถึง ราวกับต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นบนภูเขาเป็นสิ่งที่คุ้นเคย

เมื่อทั้งสามมาถึงใจกลางของภูเขา คราวนี้ฝ่ามือของลี่หยวนสร้างผนึกที่ซับซ้อนมากกว่าเดิมและกดลงไปบนความว่างเปล่า ภูเขาส่งเสียงดังก้องอีกครั้งและหดลงมาอีก รูม่านตาหวังหลินหดเล็กลงราวกับสามารถเห็นยอดภูเขาได้เลือนลาง

ขณะที่ลี่หยวนกำลังสร้างผนึก เสียงเบาบางเข้าสู่หูของหวังหลิน “ผู้อาวุโสช่วยด้วย คนผู้นี้เป็นคนบ้า เขา…”

น้ำเสียงนี้ดังออกมาจากแม่นางเก้อ แต่ก่อนที่นางจะพูดจบ ลี่หยวนมองนางด้วยสายตาเย็นชาทำให้นางหยุดพูด

“เก้อหง หากเจ้าอยากจะพูดก็พูดตรงๆ ไม่จำเป็นต้องใช้สัมผัสวิญญาณ” สายตาของลี่หยวนเย็นเยียบแฝงการเยาะเย้ยเอาไว้ หลังจากเขาเข้ามาในภูเขา ท่าทีก็แตกต่างไปเป็นคนละคน

เก้อหงขบคิดเล็กน้อยก่อนจะกัดฟันแน่นและก้าวถอยหลังจนนางมาอยู่ข้างหวังหลิน ราวกับว่าเป็นสิ่งที่ทำให้นางรู้สึกปลอดภัย

“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร แต่เจ้าไม่ได้มาที่ตระกูลข้าด้วยอุบัติเหตุ เจ้ามีจุดประสงค์อื่น!” เก้อหงไม่ต้องการจะตาย แม้นางจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้วแต่นางต้องการต่อสู้เพื่อโอกาสรอด

ลี่หยวนยิ้มและพยักหน้า “ถูกต้อง!”

ใบหน้าของเก้อหงซีดเผือดและนางพูดเสียงเร็ว “ทำไมถึงเป็นข้า? คนที่นำของของอาจารย์ของเจ้าไปไม่ใช่ข้าแต่เป็นบรรพชนเก้อ!”

สายตาของลี่หยวนเย็นเฉียบและยิ้มขึ้นมา “เพราะเจ้าเป็นลูกหลานสายตรงของโจรคนนั้น ในทั้งตระกูลเก้อ เจ้าเป็นลูกหลานสายตรงเพียงคนเดียว”

แววตาเก้อหงเผยความหวาดกลัวพร้อมกับนำกระเป๋าออกมาและกรีดร้อง “ข้าจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างในนี้กับเจ้า มีทั้งม้วนคัมภีร์ กระบี่เหล็กและเข็มทิศ ทั้งหมดมีแค่สามสิ่งนี้เท่านั้น ข้าจะให้เจ้าทั้งหมดแล้วปล่อยข้าไป ข้าขอร้องเถอะให้เจ้าปล่อยข้าไป”

ลี่หยวนรับกระเป๋าเอาไว้ สายตาเต็มไปด้วยความซับซ้อน จากนั้นตบกระเป๋าอย่างเบามือและของสามสิ่งลอยออกมา สิ่งแรกคือกระบี่เหล็ก จากนั้นเป็นเข็มทิศและท้ายที่สุดเป็นม้วนคัมภีร์โบราณ

ลี่หยวนหิบม้วนคัมภีร์ขึ้นมาและเปิดมันด้วยการเขย่า เขาจ้องภาพวาดข้างใน สายตาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก

ภาพวาดบนม้วนคัมภีร์คือภูเขาลูกหนึ่ง ภูเขาลูกนี้สูงมากและส่วนใหญ่อยู่ในก้อนเมฆ ใต้ฐานภูเขามีกระบี่เหินอยู่หนึ่งเล่มกำลังมุ่งหน้าเข้าหาท้องฟ้า

มีชายผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่บนด้ามจับกระบี่ คนผู้นี้เป็นเพียงแค่เงาพร่าเลือน ทั้งยังมีอีกร่างหนึ่งยืนอยู่บนปลายกระบี่ แผ่นหลังของเขาคล้ายกับลี่หยวนอย่างมาก

สายตาหวังหลินส่องสว่างขึ้น เขามองลี่หยวนและคาดคำนวณอยู่ในใจ ภาพวาดนี้เห็นได้ชัดว่ามีมาก่อนที่แดนสวรรค์จะล่มสลาย หากเป็นกรณีนั้นหรือว่าลี่หยวนเป็นเทพ!?

หวังหลินสูดหายใจหนาวเหน็บเข้าไปแต่เขาก็ยังรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง!

ลี่หยวนถอนหายใจพร้อมกับเก็บม้วนคัมภีร์ จากนั้นเก็บกระบี่และเข็มทิศไปด้วย เขามองเก้อหงและเอ่ยขึ้นอย่างสงบนิ่ง “ไปกันเถอะ!” เขาหันกลับมาและเดินไปหายอดภูเขา

สีหน้าเก้อหงซีดขาวและกัดฟันแน่น นางไม่ได้ติดตามเขาขึ้นไปแต่เปลี่ยนทิศทางให้ลงภูเขาด้วยความเร็วสูงสุด

หวังหลินเดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าดังเดิม

ส่วนลี่หยวน เขาไม่ได้คิดมากว่าเก้อหงจะจากไป เขาเดินไปข้างหน้าต่อเนื่องโดยไม่หันกลับมาหรือหยุดชะงัก

“พี่ซิ่วต้องมีข้อสงสัยอยู่มากแน่ โปรดอย่าถามเลย เมื่อเราถึงยอดข้าจะบอกท่านเอง แม้แต่ข้าเองก็สับสนเรื่องนี้อยู่เล็กน้อย…” น้ำเสียงลี่หยวนแปลกประหลาดไปเล็กน้อย

หวังหลินเดินขึ้นไปหายอดเขาพร้อมกับลี่หยวนโดยไม่ได้พูด

ระหว่างทาง กฏเกณฑ์ทั้งหมดถูกทำลายด้วยเพียงแค่ลี่หยวนสะบัดมือ กฏเกณฑ์ที่เขาใช้ซับซ้อนขึ้นมากเรื่อยๆและยิ่งทำให้ภูเขาหดลงมากขึ้นและมากขึ้น

ทุกครั้งที่ภูเขาหดลง ยอดภูเขาก็เข้ามาใกล้ขึ้น จนกระทั่งยอดภูเขาสามารถมองเห็นได้ด้วยระดับสายตา

บนยอดภูเขามีรูปปั้นหินขนาดใหญ่อยู่หนึ่งรูป นี่คือรูปปั้นแกะสลักชายวัยกลางคน ด้านข้างเขาเป็นกระบี่เหินอยู่หนึ่งเล่ม มีอีกคนกำลังยืนอยู่บนปลายกระบี่

ตอนที่เขาเห็นรูปปั้นหิน ลี่หยวนก็ตื่นเต้นและเร่งความเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาพุ่งเข้าหาและมาถึงข้างรูปปั้นในพริบตา ยืนอยู่เบื้องหน้ารูปปั้นหินสูงร้อยฟุต สายตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

หวังหลินมาถึงยอดภูเขาด้วยเช่นเดียวกันและมองรูปปั้นหิน รูปปั้นหินส่งสัมผัสธรรมชาติและมีบารมีออกมา ทั้งยังแฝงกฏเกณฑ์อยู่ด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งแขนขวาของรูปปั้นนี้ได้กำขึ้นมาเหมือนผนึกธรรมดา แต่เมื่อสังเกตอย่างใกล้ชิดมันกลับซับซ้อนอย่างยิ่ง ตอนที่สายตาหวังหลินตกลงไป ความคิดก็สั่นเทา ราวกับว่ามีพลังลึกลับสายหนึ่งพยายามดึงวิญญาณเขาออกไป

เสียงหวีดหวิวของกระบี่นับไม่ถ้วนเข้าสู่หูของเขา วิสัยทัศน์เปลี่ยนเป็นภาพเบลอ หวังหลินมองไปรอบด้านและเห็นเทพนับไม่ถ้วนกำลังถืออาวุธหลากหลายแบบ พวกเขากำลังพุ่งเข้าไปในท้องฟ้าเพื่อต่อสู้กับสวรรค์!

เทพเหล่านี้ปลดปล่อยสายฟ้ากระพริบวูบวาบ ตอนที่แต่ละคนยกแขนของตัวเองขึ้นมา พวกเขาปลดปล่อยสายฟ้าทรงพลังพุ่งเข้าไปในท้องฟ้า

แต่ท้องฟ้าว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง! ไม่มีศัตรูใดที่กำลังต่อสู้กับเทพเหล่านี้ ทว่าเทพแต่ละคนกลับระเบิดตายทีละคน!

ฉากเหตุการณ์ประหลาดนี้ทำให้ความคิดหวังหลินตื่นตะลึง ณ ตอนนี้เทพตนหนึ่งเหาะเหินออกมาจากกลุ่ม กระบี่ของเขาปกคลุมด้วยสายฟ้าสีม่วงและมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่บนด้ามจับ เขาคือคนเดียวกับที่เป็นรูปปั้นหิน

ยังมีอีกคนอยู่บนปลายกระบี่ แต่เขาดูไม่คล้ายกับลี่หยวนเลย!

เมื่อกระบี่พุ่งออกไป เหล่าเทพทั้งหมดแตกกระจาย เพียงแค่หวังหลินชำเลืองมองมันก็ปลดปล่อยปราณกระบี่จนทำให้วิญญาณเขาสั่นไหว จากนั้นกระบี่ก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า

ระหว่างเสี้ยววินาทีนั้น ดูเหมือนเขาจะได้ยินเสียงร้องไห้เงียบๆในภาพมายาแห่งนี้

“ตราบใดที่ข้ามีชีวิต วิญญาณจะไม่ตาย!”

ขณะที่เสียงนี้ดังออกมา ชายที่ยืนอยู่บนด้ามกระบี่พลันแตกสลายทิ้งไว้แต่เพียงผู้ติดตามที่ยืนอยู่บนปลายกระบี่ เขากำลังจ้องด้ามจับกระบี่ที่ว่างเปล่าแห่งนั้น

สัมผัสแห่งความเศร้ารุนแรงออกมาจากแววตาผู้ติดตามคนนั้น ราวกับว่าอาจารย์ที่อยู่บนด้ามกระบี่เป็นท้องฟ้า ตอนนี้ท้องฟ้าได้แตกสลายและไม่มีใครอยู่บนด้าม…

ตั้งแต่นั้นมา เหลือแต่เพียงเขาและกระบี่ที่ถูกทิ้งไว้ในโลกนี้ เหลือแต่เพียงสิ่งว่างเปล่าอยู่บนด้ามกระบี่เท่านั้น…

เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความอยากตาย เขาก้าวไปบนปลายกระบี่และตามรอยเท้าผู้เป็นอาจารย์ พุ่งเข้าไปในท้องฟ้า

“เมื่ออาจารย์ตาย ข้ารับใช้ขอติดตามไปด้วย!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!