893. ขอบคุณทั้งหมด
หวังหลินมองทั้งหมดคร่าวๆและก้าวเท้า เพียงก้าวนี้เขาก็หายตัวไปอย่างสมบูรณ์และปรากฏตัวอีกครั้งอยู่ในกำแพง
ตอนนี้ดวงอาทิตย์ลับฟ้า กลางคืนปกคลุมผืนแผ่นดิน หวังหลินมองทุกสิ่งทุกอย่างเบื้องหน้าโดยเฉพาะหลุมฝังศพซึ่งชนรุ่นต่อมาสร้างขึ้น หวังหลินคุกเข่าลง สองหยาดน้ำตาไหลรินโดยไม่รู้ตัว…
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ไท้จูกลับมาแล้ว”
หยดน้ำตาไหลริน แววตาโหยหาอาวรณ์ ความเศร้าเกาะกุมทั่วร่าง การคุกเข่าครั้งนี้รู้สึกเหมือนมันคงอยู่ไปชั่วกาลนาน เวลาค่อยๆผ่านไปช้าๆ
ต้าซานและเด็กหัวโตอยู่ที่นี่ด้วย แววตาต้าซานยังคงเยือกเย็น แต่เมื่อเด็กหัวโตมองทั้งหมดนี้ สายตาเผยสีหน้าอารมณ์ซับซ้อน
เดิมทีเขาไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้คือสิ่งใด แต่หลังจากเห็นการกระทำของหวังหลินจึงรู้ได้ว่าที่นี่เป็นบ้านบรรพชนของซิ่วมู่ เด็กหัวโตไม่เคยพบเจอกับความรักอันใด ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะคิดถึงวัยเด็กของตัวเอง
หวังหลินมองป้ายบนหลุมฝังศพ หลังจากนั้นอีกสักพักเขาก็ค่อยๆยืนขึ้นมองไปยังหมู่บ้าน ราวกลับคืนสู่เมื่อพันปีก่อน กลับหาความทรงจำที่มีค่าที่สุด
ตอนที่เขาเปิดประตูลานบ้านมันเกิดเสียงแหลมดังกระทบ ไม่มีสิ่งใดในลานกว้างเปลี่ยนไป โต๊ะอยู่ที่เดิมเพียงแต่ไม่มีคนเท่านั้น
หวังหลินคล้ายจะได้ยินเสียงเมื่อพันปีก่อน
“ไท้จู เรียนเป็นยังไงบ้าง?”
“ไท้จู เจ้าต้องเรียนให้เก่ง ปีหน้าจะมีการทดสอบใหญ่ของแคว้น นั่นจะเป็นตัวกำหนดอนาคตของเจ้า หาทำเหมือนพ่อที่พักอยู่ในหมู่บ้านนี้ไปทั้งชีวิต”
“พอเลย เจ้าเอาแต่พูดเรื่องนี้ทุกวัน ข้าเชื่อว่าไท้จูของเราจะผ่านไปได้แน่นอน”
“ไท้จู ลุงสี่เจ้าเป็นคนดี ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาต้องขอบคุณเขาที่ช่วยเอาไม้แกะสลักของพ่อเจ้าไปขายทำเงิน หากเจ้ามีอนาคตที่สดใส อย่าลืมตอบแทนลุงสี่ด้วยนะ”
กลิ่นอายความเศร้าแพร่กระจายออกมาจากตัวหวังหลิน เขาก้าวเท้าเข้าไปในลานและถึงบ้านที่จากไปหลายร้อยปี
หลังเปิดประตู แม้หวังหลินยังดูเหมือนวัยรุ่นแต่ก็ปลดปล่อยกลิ่นอายโบราณออกมา หวังหลินเหมือนคนชราที่ไม่ได้กลับบ้านมานานและเข้าแตะสัมผัสทุกอย่างด้วยมือ
ยามสัมผัสผนัง ฉากเหตุการณ์ครั้งวัยเด็กแล่นผ่านสมอง ความเศร้าในใจล้ำลึกยิ่งขึ้น โหยหาอ้อมกอดจากครอบครัว
หวังหลินนั่งคนเดียวในบ้านชรรพชน สัมผัสกลิ่นอายของบ้าน ลืมเลือนเรื่องโลกแห่งเซียน นึกถึงวัยเด็กยามสนุกสนาน เติบโตขึ้นมาภายใต้ความรักของพ่อแม่
รอบด้านเงียบสนิท หัวใจผ่านการชำระล้าง ความทรงจำวัยเด็กค่อยๆผุดขึ้นมาขณะที่นั่งอยู่คนเดียวตรงนี้
หวังหลินนั่งอยู่เงียบๆ บางครั้งก็เผยรอยยิ้มมีความสุข บางครั้งก็เผยความเศร้า เขานึกถึงคนที่เล่นด้วยยามเด็กๆจนหวนรำลึกถึงพวกเขา
ความสุขของเขาช่างโดดเดี่ยว รอยยิ้มเต็มไปด้วยความเศร้าเงียบงัน…หยาดน้ำตาไหลรินจากมุมสายตา หล่นลงบนพื้นดุจร่องรอยแห่งความทรงจำ…
แสงจันทราค่อยๆผ่านไปและดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาขับไล่ความมืดมิด แสงอาทิตย์ส่องกระทบบนพื้นดิน ยืดยาวปกคลุมเมืองบรรพชนหวัง
ขณะแสงอาทิตย์ลอดเข้ามาจากหน้าต่าง หวังหลินตื่นขึ้นมาจากภวังค์ มองไปรอบตัวก่อนจะยืนขึ้นเดินออกมา
ต้าซานยืนอยู่ที่นี่ตลอดทั้งคืน นิ่งเงียบไม่ไหวติง ส่วนเด็กหัวโตสีหน้าซับซ้อนมากขึ้น เขาใช้เวลาทั้งคืนนึกถึงความเจ็บปวดวัยเด็ก ด้วยเหตุผลไม่ทราบบางอย่างเขาสามารถค้นพบสถานที่ปลอดภัยในความทรงจำเจ็บปวดพวกนั้นได้
สิ่งเดียวที่อยู่ในความคิดเขามากที่สุดคือแม่มักจะดุด่าเขาตลอดมา ก่อนนั้นความทรงจำชิ้นนี้เป็นต้นตอแห่งความเจ็บปวดแสนสาหัส แต่ตอนนี้มันลดความเจ็บปวดลงไปอย่างมาก
กลุ่มของหวังหลินไม่ได้ซ่อนตัวเอง เมื่อแสงแดดส่องลงมาจึงถูกเหล่าทหารนอกกำแพงสังเกตได้ทันที เหล่าทหารรวมตัวกันพร้อมเกิดเสียงอุทานออกมาจากข้างนอก จิตสังหารจับจ้องลงมาราวกับทหารกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูร้าย
ขณะเดียวกันเหล่าเซียนมากกว่าสิบคนระดับบ่มเพาะแตกต่างกันตั้งแต่ขั้นพื้นฐานลมปราณไปจนถึงขั้นตัดวิญญาณ พวกเขาพุ่งเข้ามา ส่งสัมผัสวิญญาณเข้าจับจ้อง
เสียงคำรามโกรธหนึ่งดังออกมาจากนอกกำแพง “อสูรร้าย เจ้ากล้าแหกกฏเข้าไปในบ้านบรรพชนหวังได้อย่างไร? เจ้ารู้ไหมว่านี่มันเป็นสิ่งต้องห้ามแม้กระทั่งทั้งตระกูลเจ้าก็จะถูกลงโทษ!?”
ปราณกระบี่กระพริบวาบในท้องฟ้าพร้อมกับเหล่าเซียนเข้ามาถึง ทั้งหมดดูโกรธเกรี้ยว หวังหลินสัมผัสได้ว่านี่มันไม่ใช่ความโกรธหลอกลวงแต่เป็นความโกรธจริงๆ!
“การที่เจ้าสามคนเข้าไปในบ้านบรรพชนหวังโดยไม่มีใครตรวจจับได้นั่นหมายความว่าเจ้าต้องเป็นเซียน ไม่ว่าเจ้าจะมาจากสำนักไหน บรรพชนเจ้าไม่ได้เตือนหรอกหรือ? นอกจากสมาชิกตระกูลหวังแล้วไม่มีใครอนุญาตให้ก้าวล้ำเข้าไปข้างในแม้เพียงครึ่งก้าว” คนที่เอ่ยขึ้นมาเป็นชายชราในขั้นตัดวิญญาณ
ต้าซานไม่เผยสีหน้าและไม่ได้มองพวกเขาอันใด เด็กหัวโตกลอกตาแต่ก็ไม่พูดอะไรสักคำ
พอมองหลุมฝังศพพ่อและแม่แล้ว หวังหลินก็ถอนสายตามองออกไปยังเหล่าเซียนนับสิบคนและเอ่ยถามขึ้น “ใครสร้างหลุมศพนี้?”
น้ำเสียงหวังหลินเรียบง่ายแต่เมื่อมันร่อนเข้าไปในหูเหล่าเซียน ราวกับอำนาจแห่งสวรรค์พุ่งเข้าไปในหู เกิดความรู้สึกไม่อาจต่อต้านขึ้นในจิตใจ
ความรู้สึกนี้โผล่ขึ้นมาทันทีทำให้สีหน้าเหล่าเซียนเปลี่ยนไปมหาศาล เซียนขั้นตัดวิญญาณใบหน้าซีด เขาบรรลุขั้นตัดวิญญาณและมีเขตแดนของตัวเองดังนั้นความรู้สึกนี้จึงรุนแรงยิ่งกว่า เขารู้สึกเหมือนเขตแดนของตัวเองกำลังถูกกลืนกิน
ราวกับมีพลังสายหนึ่งทำให้เขาต้องตอบออกไป หากไม่ตอบเขาคงแตกสลายทันที พลางก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัวและเอ่ยขึ้น “นี่…มันถูกสร้างขึ้นโดยตระกูลเชื้อพระวงศ์ มันคือบ้านของเหล่าบรรพชนตระกูลหวังและยังเป็นบ้านวัยเด็กของบรรพชนดาวซูซาคุ!”
เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ เขามองหวังหลินและตกตะลึง สัมผัสเลือนลางว่าคนตรงหน้าดูคุ้นๆแต่ไม่ว่าจะนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก
“ตระกูลหวัง…” หวังหลินขบคิดเงียบๆและมองหลุมศพพ่อแม่ตัวเอง เขาหันกลับมา กำลังจะจากไปพร้อมต้าซานและเด็กหัวโต
ทว่าวินาทีนั้นเสียงกึกก้องดังสนั่นออกมาไกล ก้อนเมฆสีดำจำนวนมากพุ่งเข้ามา ขณะเดียวกันเสียงคำรามโกรธเกรี้ยวโผล่ออกมาภายในก้อนเมฆด้วย
“เจ้ากล้ามาก กล้าดีอย่างไรถึงบุกรุกบ้านบรรพชนหวัง!? สำนักซวนต้าวของข้าปกป้องสถานที่แห่งนี้มาทุกชั่วรุ่น การที่เจ้าบุกรุกที่นี่หมายความว่าไม่เห็นหัวสำนักซวนต้าวแล้ว!”
คนผู้หนึ่งเดินออกมาพร้อมส่งเสียงคำราม ผมศีรษะขาวโพลน ดวงตาเปล่งประกาย เมื่อเดินออกมากลิ่นอายทรงพลังของเซียนขั้นแปลงวิญญาณระดับต้นก็ปรากฏ
เมื่อเซียนรอบด้านเห็นชายชรา พวกเขาต่างก็เคารพยิ่ง เห็นได้ชัดว่าสถานของชายชราที่นี่สูงส่งแค่ไหน
‘สำนักซวนต้าว…’ สายตาหวังหลินมองไปหาชายชราด้วยความอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย เขาพยักหน้าเอ่ยตอบ “เมื่อเจ้าบรรลุขั้นแปลงวิญญาณแล้ว เช่นนั้นแคว้นจ้าวบรรลุระดับห้าแล้วหรือ?”
ชายชราโผล่ออกมาด้วยความโกรธแต่ก็ตกตะลึง เขาขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น “แคว้นจ้าวของเรากลายเป็นแคว้นเซียนระดับห้าเมื่อสามร้อยปีก่อนแล้ว เซียนทั้งหมดบนดาวซูซาคุรู้เรื่องนี้ดี เจ้าเป็นใคร!?” อย่างไรก็ตามเมื่อเขามองหวังหลินกลับรู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยเจอหวังหลินจากที่ไหนสักแห่งมาก่อน
‘แคว้นเซียนระดับห้า…’ หวังหลินมองพื้นดินและรู้สึกอิ่มเอมใจ ตอนที่จากไปแคว้นจ้าวเป็นเพียงระดับสามเท่านั้น แต่ตอนนี้แม้จะผ่านไปเพียงไม่กี่ร้อยปี มันได้บรรลุแคว้นระดับห้าไปแล้ว
หวังหลินมองชายชราอย่างละเอียด ยิ่งมองใกล้ๆก็ยิ่งเห็นเบาะแสบางอย่างและเผยรอยยิ้ม เขาสามารถตรวจจับกลิ่นอายเบาบางได้ กลิ่นอายนี้เป็นของตัวเขาเอง!
หวังหลินจำได้ว่าตอนที่เขาบรรลุขั้นตัดวิญญาณในแคว้นจ้าว เขาได้ทิ้งเมล็ดวิญญาณไว้สิบเม็ด ชายชราผู้นี้คือหนึ่งในทั้งสิบคนเหล่านั้น
หวังหลินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานี้ สำนักซวนต้าวได้ปกป้องที่นี่หรือ? เซียนทั้งหมดที่นี่มาจากสำนักซวนต้าวใช่ไหม?”
ชายชราขมวดคิ้วและมองกลุ่มหวังหลินอย่างระมัดระวัง ความโกรธเกรี้ยวถูกระงับไปด้วยเหตุผลบางอย่าง ราวกับคนตรงหน้าดูคุ้นหน้าคุ้นตา เขาลังเลเล็กน้อยและเอ่ยตอบ “ไม่ใช่เพียงแค่สำนักซวนต้าวเท่านั้น ทุกช่วงเวลาหนึ่งจะมีสำนักแตกต่างกันจากดาวซูซาคุเข้ามาปกป้องที่แห่งนี้ ทั้งหมดมาที่นี่ด้วยความเคารพหรือไม่ก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมเหมาะต่อการฝึกเซียน”
“การปกป้องบ้านบรรพชนหวังคือเกียรติยศอันยิ่งใหญ่สำหรับเหล่าเซียนแห่งดาวซูซาคุ!” ชายชราไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงอธิบายรายละเอียดนี้แก่หวังหลิน ทั้งยังไม่รู้ว่าทำไมถึงทำไปด้วย
หลังจากได้ยินเสียงชายชรา สายตาหวังหลินกวาดผ่านเซียนคนอื่นๆ แต่ละคนต่างก็มีพรสวรรค์อันดีเยี่ยม ด้วยประสบการณ์ของหวังหลินเขาจึงสามารถบอกได้ทันทีว่าชายชราตรงหน้าพูดความจริง
หวังหลินถอยหายใจ ขบคิดเงียบๆเล็กน้อยและเอ่ยขึ้นมา “ขอบคุณพวกเจ้าทั้งหมด!” สิ้นคำพูด หวังหลินโบกสะบักแขนเสื้อ ปรากฏพลังดั้งเดิม พวกมันเปลี่ยนกลายเป็นผลึกเล็กๆตกลงไปบนเซียนทุกคน แม้กระทั่งยามรักษาการณ์ที่นอนอยู่บนพื้นยังมีผลึกตกลงใส่
เซียนทุกคนตกตะลึงและรู้สึกถึงความร้อนไหลเวียนผ่านร่างกายทันที แต่ละคนมีสีหน้าประหลาดใจ
“เจ้า…” ชายชราขั้นแปลงวิญญาณกลับประหลาดใจยิ่งขึ้น เขามองหวังหลินและรู้สึกถึงความคุ้นเคยยิ่งไปอีก
“เจ้าเก่งมาก ไม่เสียแรงที่ข้ามอบเมล็ดวิญญาณให้เมื่อตอนนั้น!” ขณะที่หวังหลินเอ่ยขึ้นมา เขาหันตัวกลับและจากไปพร้อมกับต้าซานและเด็กหัวโต ทั้งสามหายวับไปเหนือเส้นขอบฟ้า
“เมล็ดวิญญาณ…วิญญาณ…” ร่างชายชราสั่นเทาและคิดถึงตัวตนของอีกฝ่ายได้ทันที ใบหน้าเผยความตื่นเต้นที่ไม่ปรากฏขึ้นมาในหลายร้อยปี เขาร้องอุทานออกมา “บรรพชนตระกูลหวัง!”
หลังเอ่ยคำนั้นออกไป เซียนรอบด้านทั้งหมดสั่นสะท้านและเผยความตื่นเต้น พวกเขาไม่เชื่อสายตาตัวเองพลางจ้องทิศทางที่หวังหลินหายไป
“เขา…เขาคือบรรพชนตระกูลหวังหรือ?”
“ผู้ปกปักษ์รักษาดาวซูซาคุ อันดับหนึ่งแห่งดาวตลอดมา บรรพชนตระกูลหวัง หวังหลิน!”