907. กลุ่มวิหคศักดิ์สิทธิ์
ณ ชั้นสิบเจ็ด สุสานอมตะบนดาวซูซาคุ วินาทีที่ต้าซานกำลังจะก้าวเข้าไปชั้นสิบแปด น้ำเสียงภูมิฐานดังกึกก้องในชั้นสิบเจ็ด!
“ชั้นสิบแปดจะเข้าไปไม่ได้!”
น้ำเสียงทรงพลังจนร่างต้าซานถูกผลักกลับไปหลายสิบฟุต ราวกับถูกตีเข้าด้วยพลังแข็งแกร่งและกระอักโลหิตคำใหญ่
ร่างเด็กหัวโตถูกผลักกลับไปเช่นกัน ส่วนเล่ยจีรู้สึกพร่ามัวและความคิดว่างเปล่า เขารู้แต่เพียงว่ากำลังถูกดันถอยร่น
หยุนเชว่จื่อก็เช่นเดียวกัน เขามีระดับบ่มเพาะน้อยที่สุดจึงถูกโยนกลับจนกระแทกใส่ผนัง กระอักโลหิตจำนวนมากออกมาและอื้ออึง
หวังหลินแววตาเย็นเยียบ วินาทีที่น้ำเสียงปรากฏขึ้นมา พลังดั้งเดิมกระตุ้นขึ้นและถูกบังคับให้ถอยกลับไปหลายสิบฟุตก่อนจะประคองร่างให้มั่นคงได้ ใบหน้าซีดขาวจ้องมองไปข้างหน้า
ระลอกคลื่นปรากฏขึ้นมาและเซียนชราหน้าตาคล้ายฮวงหลงพลันก้าวเท้าออกมาด้วย วินาทีที่เขาปรากฏตัว อุณหภูมิสูงยิ่งพลันเพิ่มขึ้น พริบตานั้นรอยแยกที่เกิดขึ้นบนผนึกเส้นทางชั้นสิบแปดก็ปิดตัวลง!
เซียนชรามีกลิ่นอายของเทพและปลดปล่อยแรงกดดันโดยไม่ได้กำลังโกรธอยู่ ผู้คนสามารถสัมผัสกลิ่นอายแข็งแกร่งจากตัวเขาเพียงแค่มองดูเท่านั้น อย่างไรก็ตามกลิ่นอายพลันหายไปทันทีและถูกควบคุมเอาไว้ซึ่งทำให้เขาให้ความรู้สึกอันตรายมากกว่าเดิม
หลังปรากฏตัว เขาโบกสะบัดแขนเสื้อ หยุนเชว่จื่อ ต้าซาน เด็กหัวโตและเล่ยจีรู้สึกเพียสายลมพัดรุนแรง พวกเขาหายตัววับและถูกส่งออกไปนอกสุสานอมตะ
หวังหลินหดรูม่านตาแคบ ความคิดนับร้อยแล่นผ่าน เซียนชราคนนี้ส่งคนอื่นออกไปยกเว้นเขา ดังนั้นการกระทำของเขาจึงมีความหมายล้ำลึกบางอย่าง แววตาหวังหลินกระพริบวาบก่อนจะโค้งตัวทันทีและเอ่ยอย่างเคารพ “ศิษย์หวังหลินสำนักเหิงยั่ว ขอคารวะท่านจ้าวสำนัก!”
เซียนชรามองหวังหลินด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม พลันเอ่ยถาม “ใครเป็นจ้าวสำนักของเจ้ากัน?”
หวังหลินเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นปกติ “หากผู้อาวุโสไม่ยอมรับ เช่นนั้นผู้น้อยก็คงเข้าใจผิดเอง”
เซียนชราหัวเราะ “สหายน้อยช่างน่าสนใจ ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าเป็นจ้าวสำนักของสำนักเหิงยั่ว?”
หวังหลินเอ่ยอย่างสงบ “ผู้น้อยเข้าไปในดินแดนวิญญาณปิศาจและเห็นภาพวาดหนึ่งที่มีผู้อาวุโสอยู่ในนั้น”
เซียนชราขบคิดเล็กน้อยและยิ้มออกมา “สหายน้อย เจ้าไม่สามารถไปเรียกใครก็ตามได้ว่า ‘จ้าวสำนัก’ ซิ่วมู่ เทพสายฟ้าผู้ทรงเกียรติแห่งดาราจักรทุกชั้นฟ้า ข้าไปมีศิษย์เช่นเจ้าเมื่อไหร่กัน?”
หวังหลินความคิดสั่นเทาแต่สีหน้าไม่เปลี่ยนอันใด เขาเอ่ยอีก “ผู้น้อยเข้าใจผิดว่าท่านเป็นคนอื่น”
เซียนชราเผยความชื่นชมพร้อมกับพึงพอใจต่อท่าทีและการตอบสนองของหวังหลินเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาส่องสว่างและเอ่ยขึ้นมา “ไว้เราค่อยพูดเรื่องความเข้าใจผิดของเจ้าทีหลัง เจ้ารู้ไหมว่าเกือบจะทำความผิดพลาดร้ายแรงเสียแล้ว? ชั้นสิบแปดไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะเข้าไปได้ โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้มาจากเผ่าอมตะที่ถูกเลือก หากเขาได้รับพลังต้นกำเนิด คงไม่ต้องกล่าวถึงซูซาคุ กระทั่งทั้งดาราจักรพันธมิตรเซียนคงเผชิญกับหายนะ!”
หวังหลินสีหน้าเคารพไร้การต่อต้าน ราวกับเขากำลังถูกดุด่าอย่างจริงจัง
เซียนชรามองหวังหลิน ขบคิดเล็กน้อยและเอ่ยขึ้นมา “หวังหลิน ข้าอยากจะถามเจ้าสักหน่อย เจ้าคิดจริงๆหรือว่าข้าคืออดีตจ้าวสำนักเหิงยั่วและคิดจริงๆหรือว่าตัวเจ้าเองเป็นศิษย์สำนักเหิงยั่ว?”
หวังหลินขบคิดเงียบๆ เขามีเรื่องเสียใจต่อสำนักเหิงยั่วมาก อีกทั้งสำนักเหิงยั่วยังเป็นสำนักแรกของเขาและเป็นก้าวแรกในการเข้าสู่โลกแห่งเซียน
หวังหลินมองชายชราและเอ่ยขึ้นมา “สำนักเหิงยั่วคือสำนักแรกของผู้น้อยและดาวซูซาคุคือบ้านของข้า”
“โอ้?” ดวงตาชายชราส่องสว่างขึ้นมา “เช่นนั้นแล้ว เทพสายฟ้าแห่งอารามเทพอัสนี จะจัดการอย่างไร?” น้ำเสียงเขาดุจสายฟ้าและคล้ายโกรธเกรี้ยว
“หลายสิ่งหลายอย่างบังคับให้ข้าเข้าสู่สถานการณ์นั้น!” หวังหลินจ้องมองเซียนเฒ่าด้วยสายตากระจ่างชัด
สายตาของเซียนเฒ่าคล้ายจะสามารถเจาะทะลวงความคิดหวังหลินได้ หลังผ่านไปสักพักเขาก็เอ่ยท่าทีอ่อนลง “ข้าไม่สนเรื่องตัวตนของเจ้าในดาราจักรทุกชั้นฟ้าหรือเจ้าเข้าร่วมสำนักไปมากมายแค่ไหน สิ่งหนึ่งที่เจ้าจำเป็นต้องจำให้ได้คือแม้เจ้าจะเป็นเซียนของดาราจักรพันธมิตรเซียน เจ้าคือคนจากดาวซูซาคุ! เจ้าคือศิษย์คนหนึ่งของสำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์ในสาขาวิหคศักดิ์สิทธิ์! ตราบใดที่เจ้าจดจำสิ่งนี้ ข้าคือจ้าวสำนักของเจ้าตลอดมา!”
หวังหลินพยักหน้า
“การต่อสู้กับดาราจักรทุกชั้นฟ้าครั้งนี้คือการต่อสู้ของพันธมิตรเซียน ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับสำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์!” เซียนชราคล้ายต้องเอ่ยสิ่งนี้ด้วยท่าทีสบาย
หวังหลินมองเซียนชราด้วยท่าทีเปลี่ยนไป
เซียนชราไม่พูดเรื่องนี้อีกแต่ก็มองหวังหลิน ขบคิดเล็กน้อยจึงเอ่ยขึ้นมา “หวังหลิน เมื่อเจ้าเห็นชั้นสิบเจ็ดแล้วเจ้าน่าจะคาดเดาบางอย่างในใจได้ ด้วยระดับบ่มเพาะในปัจจุบัน ด้วยการช่วยเหลือของข้า เจ้าสามารถเข้าไปในชั้นสิบแปดเพื่อทำความเข้าใจว่าข้างในคืออะไร เจ้าจะได้อะไรกลับมาหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชคของตัวเองแล้ว!”
ชายชราเอ่ยขึ้นมา เขาไม่เอ่ยถามก่อนว่าหวังหลินยินยอมหรือไม่ พลันโบกสะบัดแขนเสื้อ หวังหลินรู้สึกถึงพลังแข็งแกร่งล้อมรอบตัวเอง แม้ยังคงระมัดระวังอยู่ เขาไม่ได้ต่อต้านและยังมีสีหน้าเคารพ
เมื่อนำหวังหลินไป เซียนชราก้าวเท้า อุณหภูมิสูงมากพลันปรากฏรอบตัวเอง จากนั้นวงกลมคล้ายลาวาปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้า เพลิงสีดำพุ่งขึ้นไปในอากาศและล้อมรอบเซียนชรา
วินาทีถัดมาร่างเขาก็หายไป แม้กระทั่งหวังหลินก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หวังหลินรู้สึกถึงเพียงคลื่นความร้อนและกระทั่งมีร่องรอยต้นตอพลังดั้งเดิมอยู่ด้วย หวังหลินตกตะลึงกับเปลวเพลิงรอบตัวเองแต่ก็ระมัดระวังยิ่งกว่าเดิม
แววตาพร่ามัว เมื่อวิสัยทัศน์กระจ่างชัดเขาจึงพบว่าตัวเองอยู่ในห้องลับที่กว้างเพียงพันฟุต!
ตรงกลางมีเปลวเพลิงกระพริบวูบวาบ ส่วนด้านข้างมืดสนิทจนทำให้สถานที่แห่งนี้มืดมน ราวกับมีภูติพรายซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิดล้อมรอบเปลวเพลิงเป็นวงกลมและต้องการกลืนกิน อย่างไรเสียมันก็ถูกเปลวเพลิงผลักออกไปทุกครั้ง
“ที่นี่คือชั้นสิบแปด ไฟนั้นคือเศษเสี้ยวต้นตอดั้งเดิมของบรรพชน เจ้าสามารถไปลองทำความเข้าใจได้ และไม่ว่าเจ้าจะได้อะไรกลับมาก็ขึ้นอยู่กับโชคของตัวเองแล้ว!” น้ำเสียงชายชราดังก้องอยู่ในห้อง หวังหลินขบคิดชั่วครู่จากนั้นสายตาตกลงบนเปลวเพลิง
วินาทีที่สายตาตกลงบนเปลวเพลิง ความคิดสั่นเทาราวกับมีพลังลึกลับหนึ่งโผล่ออกมาและพุ่งเข้าไปในความคิดหวังหลิน
เปลวเพลิงบรรจุแรงปรารถนาแห่งชีวิต ความเข้าใจและรู้แจ้งในพลัง ทั้งยังแฝงกลิ่นคาวเลือดอยู่ด้วย
วินาทีนั้นเปลวเพลิงวูบไหวรุนแรง หวังหลินรู้สึกเสียงดังเปรี้ยง จากนั้นข้อมูลจำนวนมากพุ่งเข้าไปในหัว
ข้อมูลมีมากเกินไปและยุ่งเหยิงไร้ที่สิ้นสุดเป็นอย่างยิ่ง ข้อมูลกระหน่ำใส่หวังหลินราวกับต้องการให้ศีรษะเขาระเบิดออกมา พริบตานั้นบางอย่างเกิดขึ้นต่อดวงตาหวังหลิน ดวงอาทิตย์ปรากฏในตาซ้าย ดวงจันทร์ปรากฏในตาขวา เขตแดนแห่งเวรกรรมเต็มไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว
ปลาหยินหยางปรากฏในความคิด พวกมันหมุนเป็นวงกลม ความคิดวอกแวกทั้งหมดถูกลบออกไป ท้ายที่สุดมีฉากเหตุการณ์หนึ่งสั่นสะเทือนจิตใจหวังหลินปรากฏขึ้นมา!
วินาทีนี้ร่างเซียนชราปรากฏตัวขึ้นข้างๆหวังหลิน เขามองดูหวังหลินอย่างละเอียดยิบและเผยความชื่นชม พึมพำออกมา “ไม่เลว สหายตัวน้อยกำลังได้รับข้อมูลเชิงลึกจากระดับต้นตอดั้งเดิม หลังจากสังเกตไปบางส่วนแล้ว ข้าจะให้สหายตัวน้อยคนนี้เข้าสู่กลุ่มวิหคศักดิ์สิทธิ์!”
วินาทีนี้นั้นหวังหลินจมดิ่งอยู่ในท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาว เขาเห็นเหล่าเทพนับไม่ถ้วนกำลังใช้สมบัติวิเศษหลายรูปแบบ เบื้องหน้าพวกเขาคือยันต์สีเหลืองความยาว สิบฟุต ร้อยฟุต พันฟุตและกระทั่งหมื่นฟุตก็ยังมี
ยันต์เซียนสีเหลืองทุกแผ่นมีผู้คนประหลาดต่างๆกันยืนอยู่ พวกเขาแต่งตัวไม่ได้แตกต่างกันมากนักแต่กลับมีรอยสักเผ่าอมตะที่ถูกเลือกประทับเอาไว้ สิ่งที่แตกต่างก็คือจำนวนใบไม้บนรอยสักเหล่านั้น
แต่ละคนมีรอยสักกระพริบวูบวาบระหว่างคิ้ว
นี่คือสงคราม!
ทั้งสองด้านกำลังต่อสู้กัน ยันต์เซียนกระพริบวูบวาบ ส่วนคนที่มีรอยสักนั้นต่างก็ใช้วิชาประหลาดของตัวเองและไม่อาจคาดเดาได้ พวกเขามุ่งเน้นไปที่รอยสักและมักจะใช้ผนึกฟ้าดินทำให้พลังดั้งเดิมของโลกต้องสั่นเทา
หลังจากนั้นไม่นานมีชายชราคนหนึ่งอยู่บนยันต์เซียนยาวหมื่นฟุตพุ่งออกไป เขามีใบไม้หลายใบบนรอยสักพร้อมกับใบไม้สีทองด้วยหนึ่งใบ เขาอ้าแขน รอยสักรอบตัวพุ่งออกไปข้างหน้า วินาทีนั้นมิติเกิดสั่นไหวและเทพทั้งหมดอุทานออกมา พวกเขาถูกรอยสักนับไม่ถ้วนล้อมรอบและสูญเสียต้นกำเนิดเทพของตน
ขณะในช่วงวิกฤตนี้ แสงสีดำกระพริบวาบออกมาไกล ร่างหนึ่งปรากฏแต่มิอาจมองเห็นรูปลักษณ์ได้เนื่องจากถูกแสงสีดำครอบคลุม เขามาถึงและเริ่มต่อสู้กับชายชรา ในเสี้ยวพริบตาเขาก็ถูกแสงสีดำล้อมรอบเอาไว้และถูกคว้าเข้าไปในพื้นที่ระหว่างคิ้วชายชรา ถูกดึงก้อนเปลวเพลิงชีวิตอย่างโหดเหี้ยมออกมา!
เปลวเพลิงแตกสลายกลายเป็นละอองเพลิง หนึ่งในละอองนั้นพุ่งตรงเข้าหาหวังหลินและประทับระหว่างคิ้วหวังหลินทันที
หน้าผากหวังหลินไหม้เกรียม ร่างกายสั่นเทาราวกับมีพลังแข็งแกร่งบังคับให้เขาต้องล่าถอย พลังสายนี้แข็งแกร่งเกินไปราวกับมันสามารถเจาะทะลวงเวลาได้ด้วยตัวเอง เขารู้สึกเสียงดังเปรี้ยง ลืมตาตื่นขึ้นมาทันที
วินาทีที่ตื่นขึ้นมา เขามองเปลวเพลิงนั้นทันที ยิ่งมองก็ยิ่งดูคล้ายกับเปลวเพลิงระหว่างคิ้วของชายชราที่ปกคลุมอยู่ในรอยสัก
ฉากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้คล้ายกับความฝัน แต่ความร้อนที่กำลังโผล่ออกมาจากระหว่างคิ้วยังคงเหลืออยู่ซึ่งบ่งบอกว่าทุกอย่างเบื้องหน้าคือของจริง!
หวังหลินสัมผัสระหว่างคิ้วอย่างไม่รู้ตัวแต่มันไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น…
ขณะนั้นเองก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งกำลังเหาะเหินผ่านท้องฟ้าดวงดารามุ่งหน้าไปส่วนตะวันตกของดาราจักรพันธมิตรเซียน บนก้อนหินมีคนผู้หนุ่งสวมชุดสีแดง แววตาโหดเหี้ยมและเยือกเย็น จ้องมองออกไปยังดวงดาวห่างไกลและพึมพำ “ซิ่วมู่ เทพสายฟ้าแห่งดาราจักรทุกชั้นฟ้า…ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่อ่อนแอเกินไป…”