948. ความลับของม้วนคัมภีร์รบ
ลี่หยุนจื่อรู้ว่าสิ่งที่เขาเห็นและรู้สึกนั้นเหลือล้ำเกินกว่าขีดจำกัดจิตใจ!
มีคนน้อยมากที่สามารถเปิดม้วนคัมภีร์เล่มที่สองได้ แม้กระนั้นก็สามารถเปิดได้เพียงเล็กน้อย ส่วนคนที่สามารถเปิดม้วนคัมภีร์เล่มสองได้อย่างสมบูรณ์ตลอดหลายชั่วอายุคน มีอยู่เพียงสามคนเท่านั้น รวมถึงเขาด้วย!
มีแค่สามคนนี้เท่านั้นที่สามารถเปิดม้วนคัมภีร์เล่มสองได้อย่างสมบูรณ์!
ใบหน้าซิ่วถิงซีดเผือดดุจคนตาย ร่างกายสั่นเทา เม็ดเหงื่อไหลรินจำนวนมาก สายตางงงวยจ้องมองคัมภีร์ที่เปิดออกมาได้เล็กน้อย
รู้สึกถึงกลิ่นอายดุดันพุ่งออกมาจากช่องว่างเล็กๆในม้วนคัมภีร์และมันต้องการกลืนกินเขา มันทำให้เขารู้สึกอึดอัดราวกับกำลังถูกกดดันอยู่ในอก เขาต้องการคำรามปลดปล่อยแต่ไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้
เสียงคำรามโผล่ออกมาจากยุคโบราณดังสะท้อนในหู จากนั้นสายลมรุนแรงพัดเข้าใส่ทำให้เสื้อผ้าและเส้นผมพัดกระพือ
ตกอยู่ในความมึนงงและเกิดภาพมายาดุจเรือโดดเดี่ยวดิ้นรนอยู่ในคลื่นเชี่ยวกราด
ทว่าซิ่วถิงเป็นผู้มีพรสวรรค์จากตระกูลซิ่วดาวตงหลิน เขาเข้าไปในสระเทพที่ที่ซึ่งเขตแดนหลอมละลายแต่ได้รับต้นกำเนิดเทพมา หากเขาอยู่ในโลกแห่งเซียนยุคโบราณ เขาคงจะเป็นเทพตัวจริง!
วินาทีนี้พลันสูดหายใจลึก ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า ภายใต้สถานการณ์เข้าตาขนาดนี้ เขาระงับความกลัวในใจพลางจ้องม้วนคัมภีร์ ฝ่ามือสั่นเทาค่อยๆเปิดขึ้น
ฉากเหตุการณ์นี้ทำให้ดวงตาลี่หยุนส่องสว่างขึ้นและเผยความชื่นชมอยู่เล็กๆ คิดขึ้นมาว่า ‘ซิ่วถิงเป็นหนึ่งในเซียนไม่กี่คนที่สามารถเข้าใจม้วนคัมภีร์แรกภายในสี่วินาที ปกติแล้วเมื่อเซียนแบบเขาเปิดเล่มที่สอง จะเปิดได้เพียงแค่สี่ในสิบส่วนเท่านั้น เข้าไม่รู้ว่าเขาจะเปิดได้มากแค่ไหน’
หวังหลินยังคงจ้องมองซิ่วถิงอย่างเยือกเย็น
แขนทั้งสองของซิ่วถิงสั่นเทารุนแรงมากขึ้น ทุกครั้งที่เปิดคัมภีร์ขึ้นอีกเล็กน้อย กลิ่นอายดุดันยิ่งหนาแน่น เขารู้สึกเหมือนกำลังถืออสูรโบราณในมือและการเปิดผนึกก็เพื่อให้มันกลืนกินเขา
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ยิ่งซิ่วถิงเปิดมากขึ้น แขนก็ยิ่งสั่นเทามากขึ้น เสื้อผ้าลุ่มไปด้วยเหงื่อ ใบหน้าซีดขาว ซิ่วถิงเปิดม้วนคัมภีร์ออกมาได้ราวๆสี่ในสิบส่วน เจตนาต่อสู้จากคัมภีร์เข้มข้นเรียบร้อย
พายุเกิดขึ้นมาและกวาดผ่านไปทำให้เกิดเสียงดังสนั่นเป็นชุด แสงสีดำระเบิดออกมาจากม้วนคัมภีร์และห่อหุ้มซิ่วถิง
ซิ่วถิงความคิดสั่นสะท้านแต่เขามีพลังไม่ยอมแพ้อยู่ในใจ กัดฟันแน่นใช้พลังเทพดั้งเดิมทั้งหมดกระตุ้นเปิดม้วนคัมภีร์อย่างรุนแรง จนมันเปิดขึ้นมาถึงเจ็ดในสิบส่วน!
ลี่หยุนจื่อยืนขึ้น แววตาประหลาดใจเหลือล้น
วินาทีที่ม้วนคัมภีร์เปิดขึ้นมาถึงเจ็ดในสิบส่วน เสียงอสูรคำรามดังออกมาจากข้างใน หมอกสีดำจำนวนมากโผล่ออกมาเปลี่ยนกลายเป็นอสูรยักษ์เข้ากลืนกินซิ่วถิง
“จับให้แน่น!” แววตาลี่หยุนจื่อเกินความคาดหมายไปมาก
ซิ่วถิงร่างสั่นสะท้าน จังหวะเจ้าอสูรดุร้ายพุ่งเข้าใส่ เขากระอักโลหิตและกระเด็นกลับอย่างรุนแรง
เผยรอยยิ้มเจ็บปวด ร่อนลงห่างออกไปร้อยฟุตเสียงดับตุบ
ส่วนม้วนคัมภีร์รบมันปิดลงทันทีและลอยอยู่กลางอากาศ ราวกับฉากเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่ได้เกิดขึ้น
ลี่หยุนจื่อถอนหายใจ ซิ่วถิงสามารถเปิดได้ถึงเจ็ดในสิบส่วน แม้จะไม่สามารถต้านทานอสูรในม้วนคัมภีร์ได้ เขาถือว่าโดดเด่นท่ามกลางคนที่พยายามเปิดมันตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ลี่หยุนจื่อโบกแขนขวา ม้วนคัมภีร์ลอยเข้าหาหวังหลิน “ซิ่วมู่ ตาเจ้าแล้ว!”
หวังหลินจับม้วนคัมภีร์ไว้และมองลี่หยุนจื่อ เขาไม่มีความสัมพันธ์อันใดกับอีกฝ่าย ดังนั้นลี่หยุนจื่อต้องมีแรงจูงใจอื่นที่ต้องการให้เขาดูม้วนคัมภีร์นี้ พอเห็นสถานะร่อแร่ของซิ่วถิง เขาจึงยิ่งมั่นใจ
สิ่งสำคัญที่สุดคือหวังหลินเห็นได้ชัดว่าเศษเสี้ยวต้นตอดั้งเดิมของซิ่วถิงที่ได้มาจากม้วนคัมภีร์แรกถูกอสูรตัวนั้นเอาไป
‘ม้วนคัมภีร์รบนี้น่าสนใจ!’ หวังหลินเผยรอยยิ้มพลางคว้าม้วนคัมภีร์รบและเปิดมันทันที!
เมื่อมันเปิดขึ้นทันที กลิ่นอายโบราณดุดันพุ่งออกมาหาหวังหลินราวกับจะกลืนกินเขา
ลี่หยุนจื่อจ้องหวังหลิน ตามจริงแล้วแม้ลี่หยุนจื่อจะคาดหวังตัวหวังหลินไว้มากแต่ก็ไม่ได้สูงนัก หวังหลินไม่ใช่สมาชิกนอกตระกูลคนแรกที่เขายอมให้ดูม้วนคัมภีร์รบ
ทว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่แค่เปิดได้ ไม่มีใครสามารถเปิดมันออกมาได้อย่างสมบูรณ์!
แต่ฉากเหตุการณ์ที่กางออกเบื้องหน้าเขาทำให้ความประทับใจของลี่หยุนจื่อต่อหวังหลินต้องเปลี่ยนไปมหาศาล หวังหลินสามารถตั้งเงื่อนไขและยืมเรื่องฉิงชุ่ยเพื่อกดดันเขา ทั้งหมดนี้ฟังดูง่ายแต่จะมีสักคนในโลกแห่งเซียนจะคว้าโอกาสอันสมบูรณ์แบบนี้ได้? ยิ่งไปกว่านั้นจะมีสักกี่คนที่กล้าทำเรื่องแบบนี้ต่อหน้าเขา?
เทียบกับซิ่วถิงแล้ว เขาคาดหวังประสิทธิภาพของหวังหลินไว้สูงมาก
กลิ่นอายโบราณดุดันเข้ารอบตัวเขาไม่ได้ทำให้หวังหลินเปลี่ยนสีหน้าอันใดเลย ในมุมมองเขามันไม่ใกล้เคียงกับกลิ่นอายเทพโบราณเลยด้วยซ้ำ! มันเหมือนอสูรเล็กๆกำลังร้องคำรามอยู่เบื้องหน้า มไ่ว่ามันจะร้องรุนแรงแค่ไหนก็ยังอ่อนแอ!
หวังหลินเปิดม้วนคัมภีร์อย่างสงบนิ่ง ขณะที่เปิดมันก็ยิ่งมีกลิ่นอายดุดันรุนแรงมากขึ้น เปลี่ยนกลายเป็นสายลมเข้ากวาดหาหวังหลิน ทว่าสายลมนี้ไม่สามารถทำให้หวังหลินขยับเขยื้อนได้เลย
ลี่หยุนจื่อหรี่ตา จ้องมองหวังหลินด้วยสายตาเปล่งประกายเจิดจ้า
วินาทีนี้พลังเทพต้นกำเนิดของซิ่วถิงเกือบพังทลายไปหมด เขามองหวังหลินด้วยความเกลียดชังฝังลึกและมีอารมณ์ซับซ้อนยิ่ง
การกระทำของหวังหลินไม่ได้เร็วนัก หลังจากเปิดไปได้สามในสิบส่วนเขาก็พ่นลมหายใจเย็น ไม่ต้องการเสียเวลาอีกต่อไปแล้ว จึงเปิดมันขึ้นมาเจ็ดในสิบส่วนทันที!
วินาทีนั้นเจ้าอสูรที่กลืนกินซิ่วถิงพลันก่อตัวด้วยเสียงคำรามสนั่นและพยายามกลืนกินหวังหลิน
หวังหลินจ้องเจ้าอสูรที่กำลังพุ่งเข้ามาหาด้วยสายตาเย็นเยียบ พลางร้องตะโกน “สัตว์บัดซบ เจ้ากล้าดียังไง?!”
เสียงคำรามดุจสายฟ้าแยกนภา สั่นสะเทือนกึกก้องไปทั่วดาวเคราะห์เซียน แม้กระทั่งยอดภูเขาที่หวังหลินยืนอยู่ยังสนั่นสะท้านและเกิดอาการแตกสลาย รอยร้าวเกิดขึ้นบนผืนดินใกล้ๆก่อตัวเป็นรอยแยกขนาดใหญ่
หากเขาเผชิญกับเซียนทรงพลัง หวังหลินอาจจะไม่แข็งแกร่งพอจะต่อกร แต่กับแค่วิญญาณอสูรโบราณนี้ไม่เพียงพอสั่นสะเทือนความคิดหวังหลินไปได้ เพราะหวังหลินคือเทพโบราณ!
อีกทั้งไม่ใช่เทพโบราณธรรมดา แต่เป็นเทพโบราณห้าดาวสายเลือดราชวงศ์!!
อสูรดุร้ายร้องคำรามจากนั้นร้องเอ๋ง ร่างที่กำลังพุ่งเข้าใส่หวังหลินหยุดชะงัก แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ตกใจคำพูดที่หวังหลินเอ่ยออกมาก่อนหน้านี้
พริบตานั้นมันรู้สึกกว่ากลิ่นอายที่สร้างขึ้นสั่นสะท้านเบื้องหน้าเซียนคนนี้ มันจดจำถึงกลิ่นอายนี้ได้อย่างชัดเจนว่าเป็นสิ่งที่มันไม่กล้าไปล่วงเกิน!
ฉากเหตุการณ์อันน่าเหลือเชื่อทำให้ดวงตาลี่หยุนจื่อต้องเบิกกว้าง แม้ลี่หยุนจื่อจะมีระดับบ่มเพาะสูงส่งก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ในไม่นานจิตใจก็เต็มไปด้วยความยินดี
‘ซิ่วมู่สามารถทำให้วิญญาณอสูรตนนี้ล่าถอยด้วยความกลัว!! คนเดียวในตระกูลจางที่สามารถทำเช่นนี้ได้คือบรรพชนจางฉิงเย่!’ ลี่หยุนจื่อไม่สนอย่างอื่นแล้วและจ้องมองแต่หวังหลิน
ซิ่วถิงกำหมัดแน่น แต่แววตาตกตะลึงรุนแรง
หวังหลินเปิดม้วนคัมภีร์จนหมดหลังจากร้องคำรามครั้งนั้น!
บนม้วนคัมภีร์มีตัวอักษรสีสันงดงามคำว่า “ต่อสู้” ซึ่งดูเหมือนมันกำลังบินออกมาจากข้างใน มันน่าอัศจรรย์ยิ่ง!
กลิ่นอายโบราณโผล่ออกมาจากคำว่า “ต่อสู้” พริบตานั้นดวงตาแต่ละข้างของหวังหลินเกิดเงาเต๋าแห่งการต่อสู้ ภาพวิสัยทัศน์พร่ามัวและจมลงเข้าไปในเขตแดนประหลาดนี้
ในอวกาศไร้ก้นบึ้งแห่งนี้ยังมีชายชราผู้นั้นสวมชุดสีขาว ทว่าคราวนี้ชายชรากำลังนั่ง แขนขวาวาดคำว่า “ต่อสู้” ในอากาศ!
“ข้าบรรลุดินแดนว่างเปล่าและคว้าขอบเขตโลกได้ ข้าทิ้งไว้เบื้องหลังโดยไม่มีลูกหลานสืบทอด การบ่มเพาะทั้งหมดของข้าคือการวาดคำว่า ‘ต่อสู้’ เวลานี้ก่อนที่ข้าจะพยายามทำลายขอบเขตโลก ข้าได้ทิ้งม้วนคัมภีร์รบหกเล่มไว้เบื้องหลังในกรณีที่ข้าล้มเหลวและเสียชีวิต หากมีใครสักคนในอนาคตได้รับมันทั้งหกเล่ม เมื่อนั้นจะกลายเป็นผู้ได้รับมรดกของข้า!”
ขณะที่ชายชราพึมพำ แขนขวาพลันหยุดชะงัก คำว่า “ต่อสู้” นับแสนนับล้านมีขนาดแตกต่างกันลอยอยู่รอบตัวเขา ชายชราชี้นิ้วจากนั้นคำทั้งหมดก็เต็มไปด้วยเจตนาต่อสู้ผสานกันกลายเป็นคำเดียวเบื้องหน้าชายชราในพริบตา!
“ต่อสู้!” ชายชราเอ่ยเสียงสงบนิ่งแต่วินาทีที่เขาพูดคำนั้น ตัวอักษร “ต่อสู้” สั่นเทากลายเป็นลำแสงสีดำและเข้าไปในความว่างเปล่า…
ร่างหวังหลินสั่นเทาพร้อมกับเงาเต๋าแห่งการต่อสู้หายไปจากดวงตาและเขาตื่นขึ้น
ลี่หยุนจื่อรีบเดินเข้ามาหา เอ่ยพรวดขึ้นมาด้วยสายตาตื่นเต้น “เจ้าเห็นมันใช่ไหม?!”
หวังหลินขบคิดเงียบๆและพยักหน้า ขณะที่กำลังจะพูดขึ้นมา ลี่หยุนจื่อโบกแขนเสื้อ ร่างซิ่วถิงโดนสายลมกรรโชกรุนแรงพัดออกไปมากกว่าร้อยฟุต โยนออกไปหลายลี้
ลี่หยุนจื่อระงับความตื่นเต้นในใจ “เอาหล่ะ บอกมาว่าเจ้าเห็นอะไร!”
หวังหลินเอ่ยขึ้นช้าๆ “การสืบทอด!”
“การสืบทอด มันคือการสืบทอดจริงๆ การหายตัวไปของบรรพชนต้องเกี่ยวพันกับการสืบทอดนี้!” ลี่หยุนจื่อสีหน้าเปลี่ยนไป เขามีวิธีรู้ว่าหวังหลินกำลังบอกความจริงหรือไม่ แต่ทั้งหมดนี้ไร้ค่าแล้ว การสามารถบอกคำว่า “การสืบทอด” ถือเป็นการพิสูจน์เพียงพอ
“ตอนที่บรรพชนจางฉิงเย่เห็นม้วนคัมภีร์เล่มที่สอง เขาก็พูดคล้ายๆกัน!”