1154. ขอบเหว
“เฉียนกุ้ยจง” ดูเหมือนจะเป็นชื่อคำหยาบคายแต่ในเขตระดับหกมันเป็นตัวแทนของคำว่า “โหดเหี้ยม!” เขาคือผู้อาวุโสของสำนักดอกไม้กระจ่างซึ่งบรรลุขั้นทลายสวรรค์ระดับต้นแล้ว
เขามีวิชาอันน่าตกตะลึงและด้วยนิสัยส่วนตัว หากไปล่วงเกินและไม่มีระดับบ่มเพาะสูงส่งหรือสำนักเก่งๆคานอำนาจ เมื่อนั้นผลลัพธ์ที่ทำเอาไว้คือความตายเท่านั้น
เมื่อพันปีก่อนมีสำนักเล็กๆแห่งหนึ่งของเขตระดับหกได้ไปสังหารศิษย์ของเขาคนนึง เขาถึงกับอาละวาดและกวาดล้างสำนักนั้นอย่างสิ้นเชิงพร้อมกับสหายบางส่วน ทิ้งเอาไว้แต่คราบโลหิต
การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้เขามีชื่อเสียงและสำนักทุกแห่งในเขตระดับหกรับรู้ชื่อเขา
ณ ตอนนี้เขาสีหน้าท่าทางมืดมนพลางนั่งอยู่ศีรษะอสรพิษตัวหนึ่งที่มีเศียรเป็นรูปมังกร เจ้าอสูรวิญญาณเดินทางผ่านเขตระดับห้าโดยมีเหล่าศิษย์ของสำนักดอกไม้กระจ่างติดตามมา
“ไม่คิดว่าเบาะแสนั่นจะเป็นจริง!” ทุกครั้งที่เฉียนกุ้ยจงคิดเรื่องนี้ หัวใจจะเต้นเร็วขึ้น หลายเดือนก่อนสำนักดอกไม้กระจ่างค้นพบเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับเม็ดยาสวรรค์ดับสูญและหินหยกที่เกี่ยวกับวิธีการกลายเป็นศิษย์หลักของสำนักทะลวงสวรรค์เข้าโดยบังเอิญ
สำหรับเซียนที่มีถิ่นฐานอยู่ทะเลเมฆา เฉียนกุ้ยจงรู้จักเหตุการณ์สั่นสะเทือนสวรรค์ที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งหมื่นแปดพันปีก่อนได้เป็นอย่างดี
หนึ่งหมื่นแปดพันปีก่อนในทะเลเมฆา สำนักทะลวงสวรรค์คือสำนักระดับแปดที่พร้อมจะเคลื่อนย้ายไปสู่เขตระดับเก้าอย่างเกรียงไกร สองเดือนก่อนเคลื่อนย้ายพวกเขาเกิดเหตุไปพบกับรอยร้าวอวกาศเข้า มันเต็มไปด้วยเขตอาคมและอันตราย สำนักทะลวงสวรรค์จึงรวบรวมเซียนจำนวนมากเข้าไปในรอยร้าวรวมถึงผู้อาวุโสที่อยู่ในสถานะทลายสวรรค์ พวกเขาพบเจออุปสรรคขวางทางและมีผู้เสียชีวิตไปจำนวนมาก
ท้ายที่สุดพบร่างศพหนึ่งอยู่ในส่วนลึกของรอยร้าวอวกาศ
ข้างๆร่างศพมีของอยู่สามชิ้น เม็ดยา กระบี่หักและเศษกระดูกสัตว์ หลังจากได้ของสามชิ้นมาผู้อาวุโสสำนักทะลวงสวรรค์จึงบ้าคลั่งและรีบออกมาจากรอยร้าวอวกาศกลับมาที่สำนักทะลวงสวรรค์
เป็นเพราะการค้นพบครั้งนี้น่าเหลือเชื่อเกินไปและทำให้ทั้งดาราจักรทะเลเมฆาถึงกับสั่นสะเทือน! มีโอกาสที่สำนักทะลวงสวรรค์จะทำให้ผู้ทรงอำนาจสูงสุดแห่งสำนักเทพระดับเก้าต้องสนใจ!
อย่างไรก็ตามในกลุ่มพวกเขามีคนทรยศและเกิดข่าวรั่วไหลออกไป สิ่งที่เกิดขึ้นคือทั้งเขตระดับแปดเคลื่อนไหวเข้าต่อสู้ เซียนเฒ่านับไม่ถ้วนที่หาได้ยากปรากฏตัวขึ้นมาเข้าร่วมการต่อสู้นองเลือดครั้งนั้น
อย่างไรก็ตามสำนักทะลวงสวรรค์ซึ่งมีสิทธิ์เข้าสู่เขตระดับเก้าก็มีพลังอำนาจพอจะต่อสู้กับทั้งเขตระดับแปด ดังนั้นจึงเกิดการเข่นฆ่าขึ้นในเขตระดับแปด
เขตระดับเจ็ดได้รับผลกระทบด้วยและส่งเซียนออกไปเช่นเดียวกันรวมถึงเขตระดับหกก็ถูกลากเข้าไปเกี่ยว แม้แต่เขตระดับห้าก็ได้ผลกระทบต่อกันเป็นทอดๆ เกิดหายนะที่กวาดไปทั่วทะเลเมฆา
เรื่องนี้รุนแรงมาก แม้จะผ่านไปหนึ่งหมื่นแปดพันปีแล้ว เฉียนกุ้ยจงยังคงสั่นเทาเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
ท้ายที่สุดจึงทำให้เขตระดับเก้าที่แทบไม่เคยแทรกแซงต้องก้าวเข้ามา เรื่องนี้ทำให้สำนักทะลวงสวรรค์เสียเปรียบเล็กน้อยและตอนนั้นเองสำนักทะลวงสวรรค์ก็ต้องแยกตัว!
คนจำนวนมากในสำนักไม่ยอมต่อสู้เพื่อของสามสิ่งนี้ พวกเขาแลกเปลี่ยนเม็ดยาและกระบี่หักเพื่อความอยู่รอด ทั้งยังประคองการเคลื่อนย้ายเดิมไปสู่เขตระดับเก้า
คนส่วนเล็กๆของสำนักนำเศษกระดูกอสูรไปและเริ่มการต่อสู้เป็นตายกับเหล่าคนที่พยายามแย่งชิงจนในที่สุดก็หายไปในกระแสธารแห่งกาลเวลา
ส่วนเรื่องกระดูกสัตว์กับสูตรยานั้นมันหายไปและไม่มีใครรู้ว่าไปอยู่ไหน บางคนเชื่อว่ามันถูกเซียนแห่งเขตระดับเก้าเอาไปและคนอื่นๆเชื่อว่ามันถูกซ่อนเอาไว้ในแคว้นระดับแปดที่ต่อสู้กับสำนักทะลวงสวรรค์
ในที่สุดเรื่องนี้ก็จบ กระดูกสัตว์หลงเหลือไว้เป็นความลึกลับ จนเมื่อหนึ่งหมื่นแปดพันปีต่อมาสำนักดอกไม้กระจ่างก็พบเบาะแสเข้า
ไม่ว่าเบาะแสนี้จะเป็นจริงหรือเท็จ มันทำให้ทั้งสำนักดอกไม้กระจ่างตกตะลึงอย่างมาก พวกเขาวางค่ายกลและกระทั่งสังหารศิษย์บางคนที่รู้เรื่องนี้
เรื่องราวน่าตกตะลึงเกินไป หากประมาทเพียงนิดเดียวมันคงนำหายนะมาสู่สำนัก อีกทั้งบทเรียนนองเลือดของสำนักทะลวงสวรรค์ก็เตือนทุกคนได้เพียงพอแล้ว
หากเทียบกับสำนักทะลวงสวรรค์ในอดีต สำนักดอกไม้กระจ่างเป็นเสมือนมดแมลง พวกเขาไม่มีคุณสมบัติพอจะถือครองกระดูกอสูรนี้เลยด้วยซ้ำ แม้จะโลภมากแต่ไม่มีเจตนาจะเก็บไว้กับตัวเอง
พวกเขาหวังเพียงว่าจะค้นพบเศษกระดูกและมอบมันให้สำนักระดับแปดที่แข็งแกร่งเพื่อแลกผลประโยชน์มหาศาลและการปกป้องอันยาวนาน ทั้งยังว่าจะใช้มันให้ได้รับการช่วยเหลือจากสำนักเขตระดับแปดให้กลายเป็นผู้ปกครองเขตระดับหก
อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับว่าเบาะแสเป็นเรื่องจริงหรือไม่! หากมอบเบาะแสให้แก่สำนักระดับแปดและมันกลายเป็นเท็จขึ้นมา เมื่อนั้นสำนักดอกไม้สวรรค์อาจทำให้สำนักระดับแปดโกรธขึ้นมาก็ได้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาไม่กล้ามอบเบาะแสและลองตรวจสอบมันด้วยตัวเอง
แต่หากต้องตรวจสอบก็จะต้องป้องกันข่าวลือที่จะแพร่กระจายออกไปสู่สำนักระดับหกด้วยเพื่อไม่ให้รับรู้ถึงสิ่งผิดปกติ อีกทั้งเบาะแสนี้นำทางไปสู่สำนักแห่งหนึ่งในเขตระดับสาม หากเหล่าศิษย์สำนักดอกไม้กระจ่างเคลื่อนไหว คงทำให้สำนักอื่นๆสงสัย
นี่คือเรื่องหนึ่งที่สำนักดอกไม้กระจ่างเป็นกังวล ท้ายที่สุดพวกเขาก็เลือกหัวหน้าศิษย์ที่เชื่อใจได้ ฉีเล่าซิง นำพาศิษย์ไปสิบเก้าคนและลอบมุ่งหน้าสู่เขตระดับสามอย่างลับๆ
ระดับบ่มเพาะของฉีเล่าซิงไม่ได้สูงที่สุดในเขตระดับหก ดังนั้นเขาจึงนำเหล่าศิษย์ออกไปโดยไม่ให้เกิดความสนใจมากเกินไป เพื่อเป็นข้อยืนยันว่าจะไม่เกิดปัญหาอะไรหลังจากเข้าไปสู่เขตระดับสาม
อย่างไรก็ตามฉีเล่าซิงไม่คิดว่าเบาะแสนั้นจะเป็นจริง! เขาได้รับเศษกระดูกสัตว์และหินหยกมาง่ายๆ
ทว่าขณะที่กำลังจะกลับไปสำนักดอกไม้กระจ่าง เขาได้ถูกสำนักห้าพิษไล่ตาม สำนักอื่นๆของเขตระดับหกก็รู้เรื่องนี้ด้วย
“ฉีเล่าซิง อดทนไว้!” เฉียนกุ้ยจงเติมพลังดั้งเดิมเข้าไปในอสูรวิญญาณเบื้องล่าง มันเคลื่อนร่างเร็วขึ้นพร้อมกับทะลวงผ่านม่านหมอกเข้าหาแผ่นดินป่า
เขาเป็นเพียงผู้นำในหน่วยช่วยเหลือกองแรก ด้านหลังยังมีอีกเกือบทั้งสำนักกำลังเคลื่อนไหวออกมา
ขณะที่กำลังพุ่งผ่านสายหมอกดวงดาว สายตาเฉียนกุ้ยจงหรี่แคบเมื่อเห็นเซียนคนหนึ่งภายในระยะสัมผัสวิญญาณ เขาเป็นเซียนที่กำลังขี่อยู่บนวานรทมิฬขนาดพันฟุต
ระหว่างทางมาที่นี่ เซียนผมขาวคนนี้ไม่ใช่เซียนคนแรกที่เขาเจอ ทว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ได้ไกลจากแผ่นดินป่า ดังนั้นเฉียนกุ้ยจงจึงอดไม่ได้ที่จะสนใจ
ขณะที่เขาเดินทาง สายตายังคงจดจ้องไปบนเซียนผมขาว ไม่ใช่เพียงแค่เขาเท่านั้นศิษย์สำนักดอกไม้กระจ่างกว่าสิบคนกำลังมองดูเซียนคนนั้นด้วย
สายตาแต่ละคนดูแข็งกร้าว ใบหน้าหวังหลินเปลี่ยนเป็นซีดขาวและเผยสายตาตกตะลึงจ้องมองลำแสงมากกว่าสิบสาย เขาหยุดกลางอากาศราวกับลืมวิธีการเหาะเหิน รู้ว่าระดับบ่มเพาะของตัวเองแปลกเล็กน้อยและคนภายนอกไม่สามารถมองทะลุได้ดังนั้นอาจจะทำให้เกิดความพิรุธ หวังหลินจึงกระตุ้นพลังดั้งเดิมเอาไว้ตลอดเวลาที่ขั้นส่องสวรรค์ระดับกลาง
เฉียนกุ้ยจงถอนสายตา เขาใจร้อนเข้าไปในแผ่นดินป่า ชำเลืองมองคราแรกไม่พบอะไรผิดปกติกับเซียนผมขาวซึ่งเห็นได้ชัดว่ารูปลักษณ์น่าตะลึงมาก
ตามแผนที่ดวงดาวที่เขามี ใกล้ๆนี้มีแผ่นดินป่าหลายแห่ง พอเห็นเส้นทางของเซียนผมขาว เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้มาจากแผ่นดินป่าแห่งอื่น
เขาไม่ให้ความสนใจหวังหลินอีก จากนั้นสั่งการอสูรวิญญาณให้ผ่านหวังหลินไป ศิษย์คนอื่นๆถอนสายตาออกมาเช่นกันและผ่านหวังหลินไป
หวังหลินลอบโล่งอก เขามองไม่ออกว่าอีกฝ่ายมาจากสำนักอะไรแต่เห็นได้ชัดว่ามาจากเขตระดับหกซึ่งกำลังเข้าหาแผ่นดินป่า
ทว่าขณะนั้นเองลำแสงหนึ่งทะลวงผ่านเข้ามาไกลด้วยความเร็วสูงสุด ลำแสงส่องสว่างและหวังหลินเห็นข้างในเป็นหินหยกได้อย่างชัดเจน!
มันคือหินหยกสื่อสารที่มีคนส่งข้อความมา วิชานี้ถูกใช้กันภายในสำนักเพื่อส่งข้อความโดยใช้หินหยกที่เคลื่อนไหวได้เร็วกว่าเหล่าเซียน ไม่ต้องกังวลว่าจะมีอะไรขัดขวาง หินหยกจะแตกสลายทันทีหากมีเหตุสุดวิสัยเว้นแต่จะมีคนรู้จักผนึกที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันเหตุไปด้วยจึงมีหินหยกส่งออกมามากกว่าหนึ่งชิ้นในเวลาเดียวกัน
หินหยกเคลื่อนไหวเร็วมากและผ่านหวังหลินไปในพริบตา ร่อนลงในมือเฉียนกุ้ยจงซึ่งอยู่ไม่ไกล สีหน้าเขาเปลี่ยนไปจากนั้นแขนซ้ายสร้างผนึกใช้ผนึกฝ่ามืออันเป็นเอกลักษณ์เข้าตรวจสอบหินหยก เมื่อส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปในหินหยก ร่างกายสั่นเทาทันที
หินหยกก้อนนี้ถูกส่งมาจากเซียนในระลอกที่สอง ข้างในมีข้อมูลอยู่เพียงเสี้ยวเดียวและบ่งบอกว่าแผ่นจารึกชีวิตของฉีเล่าซิงแตกสลายแล้ว!
ฉีเล่าซิงตาย!
เฉียนกุ้ยจงสีหน้ามืดมนทันทีและบีบหินหยกอย่างโหดเหี้ยม สายตาพลันตกลงบนหวังหลิน เขาไม่ได้สงสัยหวังหลินแต่ตอนนี้ฉีเล่าซิงตายและไม่รู้ว่าใครเป็นคนฆ่า ไม่ว่าจะเป็นสำนักห้าพิษหรือใครก็ตามในสำนักระดับหก ทุกคนคือผู้ต้องสงสัย!
เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เฉียนกุ้ยจงยอมฆ่าคนไม่เกี่ยวข้องพันคนมากกว่ายอมปล่อยให้หนีไปสักหนึ่งคน!
“นำเขาไปที่แผ่นดินป่า!” เฉียนกุ้ยจงชี้หวังหลิน ศิษย์อีกแปดคนเหาะเข้าหาหวังหลินทันที
หวังหลินสีหน้าเปลี่ยนไป เขายืนขึ้นด้วยความสงสัยแต่ก็ตื่นตระหนกมาก “สหายเซียน นี่มันหมายความว่าอะไร?”
“อย่าให้เราต้องลงมือ สหายเซียนรีบติดตามเราไป!” ในศิษย์แปดคนนั้นมีอยู่หกคนอยู่ที่ขั้นรูปธรรมหยางและมีสองคนอยู่ขั้นส่องสวรรค์
หากพวกเขาพบเจอหวังหลินในสถานการณ์ปกติคงไม่กล้าทำแบบนี้ ยิ่งหวังหลินมีระดับบ่มเพาะสูงกว่าด้วย ทว่าเพราะมีเฉียนกุ้ยจงอยู่ด้วยและเป็นเรื่องสำคัญมากในสำนัก พวกเขาจึงกระทำการอย่างไม่เป็นมิตร
………………………………………..