Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1163

Cover Renegade Immortal 1

1163. โปรดอภัยให้เราด้วย

เสื้อผ้าบนหน้าอกฉีกขาดและผสมกับหมอกโลหิต กลายเป็นฝ่ามือประทับสีดำที่เด่นชัด ร่างโจวไฮ่ถูกโยนออกไปจากลานทิศใต้ พลังชีวิตหลายเส้นสายผุดออกมาจากประทับฝ่ามือสีดำ ใช้เวลาเพียงครู่เดียวร่างเขาก็หดลีบจนเหมือนกระดูก

พลังชีวิตที่ปรากฏขึ้นมาถูกเคลื่อนด้วยพลังอำนาจและเข้าสู่ร่างศิษย์สำนักต้นกำเนิดที่ได้รับบาดเจ็บ ร่างเขาสั่นเทาพลางแสงสีฟ้าหายไปและกลับคืนสู่ปกติ

ร่างโจวไฮ่ร่อนลงพื้นเสียงดังปัง ใบหน้าถอดสี ร่างกายบิดเบี้ยวและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

รอบด้านเงียบกริบ เงียบจนน่ากลัว!

จ้าวยู่อ้าปากค้างและตกตะลึง จ้องมองลานทิศใต้และถอยไปหลายสิบฟุต ไม่คาดคิดว่าอาจารย์ลุงของสำนักต้นกำเนิดจะแข็งแกร่งขนาดนี้

พอคิดถึงคำพูดคำจาไม่จริงจังที่แกล้งหลิวหยานเฟยเอาไว้ เขารู้สึกศีรษะด้านชา ไม่ใช่ว่าเขาอยากได้หลิวหยานเฟยแต่นิสัยเขาเป็นแบบนี้ อีกทั้งสำนักระดับห้าทั้งหมดที่พวกเขาเจอต่างก็สุภาพและเคารพจนยอมให้ทำอะไรได้ตามต้องการ

‘สำนักต้นกำเนิดมีเซียนที่แข็งแกร่งเช่นนี้ด้วยหรือ!?’ เฟิ่งเปยซานหรี่ตาแคบและสีหน้าท่าทางเคร่งขรึม คนที่สามารถทำให้โจวไฮ่บาดเจ็บได้ง่ายๆจะต้องเป็นเซียนเฒ่าที่ทรงพลัง

“ใครให้สิทธิ์เจ้าทำร้ายคนของสำนักต้นกำเนิด!?” น้ำเสียงเย็นเยียบดังสะท้อนออกไปทั่ว มันไม่ได้แฝงกฎหรือคำพูดสั่นสะเทือนเหมือนของเฟิ่งเปยซาน แต่คำพูดราบเรียบนี้ดุจมีดอันคมกริบแทงเข้าหัวใจเฟิ่งเปยซาน โจวไฮ่และจ้าวยู่เข้าอย่างจัง

คำพูดนี้ยังมีแรงกดดันน่าสะพรึงกลัวด้วย

เสียงฝีเท้ากรอบแกรบดังออกมาจากลานทิศใต้ หวังหลินค่อยๆเดินออกมาพร้อมกับไพล่มือไปด้านหลัง เขาไม่ได้มีเรือนผมสีขาวแต่เป็นเรือนผมสีดำสะบัดพลิ้วโดยไร้แรรงลม ส่งสัมผัสแห่งอำนาจออกมาโดยไม่ต้องโกรธและมีสายตาดุจดวงดาว ยามที่มองเข้าไปจะให้ความรู้สึกเหมือนวิญญาณถูกดูดเข้าไปในภาพมายาแห่งความจริงเท็จ

ความรู้สึกเช่นนี้ประหลาดมากและไม่มีใครสามารถอธิบายได้ พวกเขารู้สึกถึงมันได้ชัดเจนราวกับโลกถูกเปลี่ยนไปเพียงแค่คิด จริงและเท็จก่อตัวเป็นวงโคจร

‘เขตแดนเต๋า!!!’ เฟิ่งเปยซานหน้าถอดสี ที่นี่เขามีระดับบ่มเพาะสูงที่สุดและยังเป็นศิษย์หลักของหนึ่งในสำนักระดับหก ดังนั้นจึงรู้ได้ทันทีว่าอาจารย์ลุงของสำนักต้นกำเนิดกำลังใช้เขตแดนเต๋า!

สิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัวยิ่งขึ้นก็คืออีกฝ่ายไม่ได้จงใจทำขึ้นมาแต่เต๋านั้นแฝงมาในคำพูดและการกระทำอย่างเป็นธรรมชาติ ขอบเขตนี้เหนือล้ำยิ่งกว่ากฎแห่งวาจาเสียอีก

สำนักวิชาเต๋ามุ่งเน้นคำว่า “เต๋า” ในความทรงจำของเฟิ่งเปยซานมีเพียงหัวหน้าผู้อาวุโสของสำนักเท่านั้นที่มีเขตแดนเต๋าแบบนี้

‘ยามที่เขายืนอยู่ที่นี่ เขาคือเต๋า!’ เฟิ่งเปยซานก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัวและคิดถึงคำพูดที่หัวหน้าผู้อาวุโสเคยบอก

“เจ้า?” หวังหลินเดินไปข้างๆโจวไฮ่ที่กำลังสั่นงันงก มองลงมาราวกับกำลังมองดูมดแมลง!

ร่างโจวไฮ่สั่นเทา ตอนที่เขามองดวงตาหวังหลินโดยไม่รู้ตัวนั้น ร่างกายสั่นเทาอย่างรุนแรง เข้าไปในภาพมายาราวกับคนที่ทำร้ายเขาคือโลกและเขาเป็นเพียงแค่คนอ่อนแอในโลกใบนั้น

หัวใจเต้นกระดอนอย่างบ้าคลั่ง ความคิดสับสนวุ่นวาย ไม่สามารถมองทะลุระดับบ่มเพาะคนตรงหน้าได้แต่วินาทีนั้นเขารู้สึกว่าไม่มีผู้อาวุโสคนไหนหรือจ้าวสำนักของตัวเองจะสามารถทำให้เขาหวาดกลัวแบบนี้ได้

หวังหลินถอนสายตาและหันไปมองจ้าวยู่แห่งสำนักรวมปีศาจ เอ่ยถามขึ้น “หรือจะเป็นเจ้า?”

จ้าวยู่เลียริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว เขามองโจวไฮ่ที่กำลังสั่นเทาอยู่บนพื้นและจากนั้นก็มองหวังหลิน สีหน้าท่าทางพลันเปลี่ยนเป็นเคารพทันที

“ผู้น้อยจ้าวยู่แห่งสำนักรวมปีศาจ ขอคารวะผู้อาวุโส” เพื่อซ่อนความหวาดกลัว จ้าวยู่คำนับฝ่ามือและเคารพทันที อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่กล้าจ้องดวงตาหวังหลินเลย

“หรือจะเป็นเจ้า?” หวังหลินหันสายตาไปบนเฟิ่งเปยซานแห่งสำนักวิชาเต๋า

เฟิ่งเปยซานหน้าซีดพลางคำนับฝ่ามือด้วยความเคารพและเอ่ยเสียงเบา “ผู้อาวุโสได้โปรดอภัยให้เราด้วย”

“ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าหากหยุดเจ้าจากการทำร้ายศิษย์สำนักต้นกำเนิดของข้า เราจะต้องเจอผลที่ตามมา” หวังหลินมองเฟิ่งเปยซานอย่างเยือกเย็น

เหงื่อเม็ดโปงไหลออกมาบนหน้าผากเฟิ่งเปยซาน เขาไม่กล้ามองตาหวังหลิน รู้สึกว่าหากคนผู้นี้โกรธเขาคงตายในพริบตา

เฟิ่งเปยซานกัดฟันแน่น ขบคิดเล็กน้อยแล้วจึงตีเข้าหน้าอกตัวเองอย่างรุนแรงเสียงดังปัง ร่างกายสั่นสะท้านกระอักโลหิตออกมาคำโต สีหน้าท่าทางซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม วิญญาณดั้งเดิมได้รับบาดเจ็บ

เฟิ่งเปยซานไม่ได้ปาดเลือดออกจากมุมปาก เอ่ยขึ้นอย่างเจ็บปวด “เท่านี้ระงับความโกรธของผู้อาวุโสได้ไหม?”

หวังหลินสีหน้าเป็นธรรมชาติ จากนั้นมองจ้าวยู่

จ้าวยู่ยิ้มอย่างบิดเบี้ยว เมื่อเฟิ่งเปยซานไม่กล้าไปล่วงเกินคนผู้นี้ เขาจะกล้าได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่เห็นว่าคนผู้นี้โจมตีอย่างไรถึงทำให้โจวไฮ่บาดเจ็บสาหัส แม้จะอยากต่อต้านแค่ไหนก็คงไร้ประโยชน์

โจวยู่กัดฟันแน่นพลางยกแขนขวาตีเข้าหน้าอกตัวเองอย่างรุนแรง เขากระอักโลหิตออกมาพลางก้าวถอยและคำนับฝ่ามือ “ได้โปรดอย่าโกรธเกรี้ยว ผู้อาวุโส”

ฉากเหตุการณ์นี้ทำให้ศิษย์ทั้งหมดของสำนักต้นกำเนิดถึงกับตื่นเต้นยิ่ง พวกเขามองหวังหลินด้วยความเคารพนับถือ ลี่เซียงตงและคนอื่นๆก็ด้วย

หวังหลินเอ่ยอย่างราบเรียบ “พวกเจ้าสามารถค้นหาต่อได้”

“ไม่จำเป็น…” เฟิ่งเปยซานรีบพูดขึ้นมาแต่ก่อนจะพูดจบหวังหลินก็ขัดจังหวะ”

“หลังจากค้นเสร็จแล้ว จงรีบออกไปจากแผ่นดินโม่หลัวซะ!”

“น้อมรับคำสั่ง” เฟิ่งเปยซานยิ้มบิดเบี้ยว เขารู้ว่าการกระทำของพวกเขาทำให้อาจารย์ลุงของสำนักต้นกำเนิดโกรธเกรี้ยวไปแล้ว เหตุผลที่อีกฝ่ายไม่ฆ่าพวกเขาก็เพราะกังวลว่ามาจากหลายสำนัก

‘หากอาจารย์รู้ว่าเราไปล่วงเกินเซียนเฒ่าที่มีเขตแดนเต๋า คงหลีกเลี่ยงการลงโทษได้ยากยิ่ง แม้แต่อาจารย์คงไม่สามารถต่อสู้กับเซียนทรงพลังเช่นนี้ได้ง่ายๆ คงไม่ต้องกล่าวถึงโจวไฮ่ที่บาดเจ็บสาหัสเพียงแค่สะบัดแขนเลย หากเขาต้องการฆ่าโจวไฮ่ โจวไฮ่คงตายไปแล้ว’ หลังจากถอนหายใจ เฟิ่งเปยซานนึกถึงสิ่งที่อาจารย์พูดไว้ก่อนที่เขาจะออกมา

อาจารย์บอกไว้คราหนึ่งว่ามีอีกหลายคนสูงกว่าเขาและมีอสูรเฒ่าหลายคนซ่อนตัวอยู่ที่นี่ มีอยู่ไม่กี่คนที่อาศัยอยู่ในสำนักระดับห้า สำนักระดับห้าหลายแห่งสืบทอดมานานหลายปีและอาจจะมีคนเหลืออยู่แต่มีพลังอำนาจสั่นสะเทือนสวรรรค์ แม้คนเหล่านี้จะไม่ได้มีชื่อเสียงแต่หากพบเจอเข้าต้องระมัดระวังมาก

นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงชี้แจงอย่างสุภาพและไม่ไปล่วงเกินถ้าเจอเซียนเฒ่าระหว่างการค้นหา

เฟิ่งเปยซานจากไปด้วยความเคารพ แต่หลังจากขบคิดเล็กน้อยเขายังค้นหาแผ่นดินโม่หลัวอย่างระมัดระวัง พอไม่เจออะไรเหล่าศิษย์ทั้งหมดจึงรวมตัวและจากไปโดยช่วยเหลือโจวไฮ่ไปด้วย

จนกระทั่งพวกเขาออกไปจากม่านพลังแล้วเฟิ่งเปยซานและโจวยู่จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก สำหรับโจวไฮ่เขากลืนเม็ดยาไปบางส่วนและฟื้นพลังพอให้เหาะเหินได้ สีหน้าท่าทางยังคงซีดเผือดแต่ยังมีสายตาหวาดกลัว

เฟิ่งเปยซานเอ่ยขึ้น “สหายโจว โปรดลองอธิบายรายละเอียดว่าผู้อาวุโสนั่นโจมตีเจ้าได้ยังไงหลังจากเข้าไปในลานทิศใต้”

โจวไฮ่ยังคงหวาดกลัวในใจ ขบคิดชั่วครู่แล้วเอ่ยออกมา “ระดับบ่มเพาะผู้อาวุโสคนนั้นอย่างน้อยก็ขั้นทลายสวรรค์ระดับกลางหรือสูงกว่า ข้าไม่เห็นเขาโจมตี ตอนที่ข้าเข้าไปในลานทิศใต้ข้ารู้สึกถึงพลังดั้งเดิมเหนือจินตนาการรรวมกันไว้ในฝ่ามือและร่อนลงบนหน้าอกข้า” หลังพูดเช่นนี้เขาก็มองหน้าอก ประทับฝ่ามือยังเป็นสีดำ

จ้าวยู่ถามขึ้นทันที “โจมตีด้วยพิษหรือ?”

โจวไฮ่ส่ายศีรษะ “ผู้อาวุโสนั่นไม่มีทีท่าว่าจะใช้พิษโจมตี ดังนั้นมันไม่ใช่นางเฒ่าพิษหรอก อีกทั้งนางก็ไม่ได้แข็งแกร่งแบบนี้ด้วย ข้าลอบตรวจสอบศิษย์สำนักต้นกำเนิดอย่างลับๆ ความน่าเกรงขามและบารมีไม่ใช่ของปลอม เขาเป็นอาจารย์ลุงของพวกนั้นจริงๆ”

“นั่นก็จริง” เฟิ่งเปยซานพยักหน้า “หากคนผู้นั้นเกี่ยวข้องกับนางเฒ่าพิษจริงๆหรือรู้เรื่องเกี่ยวกับหินหยก เขาคงไม่ต้องลงมือและซ่อนตัวไว้ ซึ่งการทำแบบนั้นทำได้ง่ายๆ เขาคงไม่ต้องทำร้ายโจวไฮ่หรือทำให้จ้าวยู่และข้าต้องโดนลงโทษ”

จ้าวยู่พยักหน้าคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น “อาจารย์ลุงของสำนักต้นกำเนิดนั้นทรงพลังเกินไป แม้แต่ในเขตระดับหกเขาคงเป็นคนที่ทุกคนต้องระวัง โชคดีที่เขาเพียงทำให้บาดเจ็บและไม่สังหาร ไม่เช่นนั้น…” ขณะพูดขึ้นมาเขาก็มองโจวไฮ่ไปด้วย

โจวไฮ่ขบคิดเงียบๆ จิตใจเปลี่ยนจากความหวาดกลัวเป็นหนาวเย็น

“ก่อนหน้านี้ตอนที่เรากำลังมาที่นี่ เราเห็นคนจากสำนักเต๋าม่วงกำลังมาทางนี้ด้วย ดูเหมือนผู้นำของสำนักต้นกำเนิดจะมีข้อบาดหมางกัน ลั่วหยุนคงเตะใส่เหล็กกล้าเข้าแล้ว!” จ้าวหยุนยิ้มและมีความสุขที่เห็นคนอื่นทำผิดพลาด

“เขาไม่ใช่คนธรรมดา!” เฟิ่งเปยซานดูเหมือนจะไม่ยอมพูดเรื่องนี้อีกแล้ว

“ช่างมันเถอะ เราสามคนควรระมัดระวังมากขึ้นในอนาคต ไปแผ่นดินอื่นต่อ” ทั้งสามคนนำเหล่าศิษย์และเหาะเหินออกไปไกล

‘การทำให้หัวหน้าผู้อาวุโสพอใจไม่ง่ายนัก…ต้นกำเนิดของลั่วหยุนคงดูเหมือนลึกลับยิ่ง’ ข้างในลำแสง เฟิ่งเปยซานส่ายศีรษะและหยุดคิดเรื่องนั้น

หวังหลินถอนสายตาออกมาจากเส้นขอบฟ้า ตอนที่โจมตีเขาคิดไว้ในใจแล้ว หวังหลินเร่งรีบกลับมาจากแผ่นดินป่า แม้จะเปลี่ยนข้อครหาไปแล้วเขาก็ยังทิ้งเบาะแสบางอย่างเอาไว้

หวังหลินไม่สามารถขจัดเบาะแสพวกนั้นออกไปได้และไม่มีเวลามากพอ สิ่งสำคัญกว่าก็คือยิ่งเขาพยายามขจัดไปเท่าไหร่ก็ยิ่งทิ้งเบาะแสไว้มากเท่านั้น

‘สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือยกระดับบ่มเพาะให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้! หากข้าถูกพบเจอคงต้องเดินทางไปที่แดนสวรรค์วายุ!’ จากความทรงจำของนางเฒ่าพิษและบันทึกของสำนักต้นกำเนิด เขาศึกษามาว่าเมื่อแดนสวรรค์วายุถูกเปิดขึ้น ทางเข้ามันอยู่ในทิศเหนือของเขตระดับแปด แต่ไม่มีใครกล้าเสี่ยงเข้าไปลึกเกิน พวกเขาเก็บสมบัติบางส่วนตรงชายขอบเท่านั้น

‘แดนสวรรค์วายุเป็นไพ่ตายในการฆ่าต้าเสินของข้า…’ หวังหลินแววตาเย็นเยียบ เหตุผลที่เขาใช้ความพยายามไปกับวิชากลายพันธุ์ในความทรงจำของนางเฒ่าและพยายามลองเสี่ยงดูก็คือเพราะเมื่อมันสำเร็จ โอกาสรอดในแดนสวรรค์วายุจะเพิ่มขึ้นสูงมาก

หวังหลินวางเขตอาคมมากขึ้นตรงสถานที่ที่เขาทำการทดลองจึงไม่มีใครหาเจอได้เว้นแต่จะมีคนที่มีวิชาเขตอาคมมากกว่าหวังหลิน อีกทั้งเขาแค่คิดคราเดียวก็ทำลายทุกอย่างข้างในได้แล้ว จึงไม่กลัวว่าจะมีคนอื่นหาเจอ

…………………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!