Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1167

Cover Renegade Immortal 1

1167. มองย้อนไปด้วยรอยยิ้ม

เพราะเขาไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างสองคำถาม

“สหายเก่าของข้าครั้งนึงเคยบอกว่าสายฝนถือกำเนิดขึ้นจากสวรรค์และตายบนผืนแผ่นดิน ระหว่างทางคือชีวิต…แต่สายฝนมาจากสวรรค์จริงหรือ…สายฝนมาจากความว่างเปล่าและไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสวรรค์ สายฝนตกลงบนพื้นดินและหล่อเลี้ยงทุกชีวิต แต่ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับพื้นดิน มันเป็นแค่ชะตาของสายฝน!”

“สายฝนก่อตัวเป็นหยกน้ำ หยดน้ำมาจากทุกสิ่งที่มีชีวิต เป็นธรรมดาที่สายฝนจำเป็นต้องกลับคืน มันคือวัฏจักร วัฏจักรแห่งเวรกรรมและถือได้ว่าเป็นโชคชะตาด้วย”

“มีกฎแห่งโชคชะตาอยู่ มันมองไม่เห็นแต่ล้อมรอบทุกชีวิตและเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเงียบๆ…” หวังหลินมองไปบนฟ้า สะบัดแขนออกไปพลันเกิดเสียงดังสนั่นออกมาจากท้องฟ้าและมีหยดน้ำรวมกันจากทุกรอบด้าน ปรากฏก้อนเมฆสีดำ ชั่วขณะต่อจากนั้นพลันมีสายฝนตกลงมา

“ดูชีวิตของหยาดฝนพวกนี้สิ มีเม็ดไหนที่ตกเป็นเส้นตรงบ้าง…ข้าสังเกตสายฝนมานานเหมือนกับที่ข้ากำลังมองดูชีวิต แต่ข้าไม่เห็นหยาดฝนเม็ดไหนที่ตกลงมาโดยไม่เปลี่ยนเส้นโคจรของตัวเองเลย พวกมัน…เปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาด้วยเพราะสายลมหรือก้อนเมฆหรือน้ำหนักของตัวมันเอง ปรับเปลี่ยนสถานที่ที่จะร่อนลงไป เจ้าเห็นความดื้อรั้นจากสายฝนไหม?”

“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้?” หวังหลินถอนสายตาและมองไปที่หลี่เฉียนเหมย

หลี่เฉียนเหมยมองดูสายฝน หลังจากนั้นสักพักนางก็เอ่ยขึ้นเบาๆ “อำนาจสวรรค์อยู่ที่ไหน โชคชะตาก็จะเปลี่ยนไป”

“ชีวิตของหยาดฝนสั้นมาก แต่ด้วยวงโคจรมันจึงยาวนาน…เหล่าเซียนแบบเรามีชีวิตยืนยาว แต่ด้วยอำนาจแห่งสวรรค์มันจึงสั้นมากเช่นกัน”

“อย่างไรก็ตามเพียงแค่ช่วงชีวิตสั้นๆของสายฝนหนึ่งเม็ด มันดิ้นรนหนีรอดจากลิขิตฟ้าอยู่หลายครั้ง เพื่อต่อกรกับลิขิตฟ้ามันจึงต้องเปลี่ยนแปลงสถานที่ที่มันจะร่อนลงไปเรื่อยๆ!”

“ช่วงชีวิตอันยาวนานของเซียนแบบเราไม่ใช่สิ่งที่สายฝนจะเปรียบเทียบได้ แต่จะมีสักกี่ครั้งที่ต้องการดิ้นรนหนีความตายให้พ้นจากโชคชะตาเหมือนสายฝนเล่า?เพื่อดิ้นรนหนีความตายจึงต้องต่อต้านลิขิตสวรรค์ ดิ้นรนฝืนอำนาจสวรรค์จนกว่าจะตาย!”

หวังหลินสะบัดแขน ท้องฟ้าสั่นครืน สายฝนถูกผลักกลับไปในก้อนเมฆ ก้อนเมฆสีดำพังทลายไป สายฝนที่เปลี่ยนเป็นหยดน้ำได้หายเข้าไปในโลกแล้ว

“เจ้าเปลี่ยนแปลงโชคชะตาแห่งหยาดฝนจึงทำให้เจ้ารับรู้อำนาจสวรรค์ แมลงเม่าจะถูกเปลวไฟเผาไหม้ หากเจ้าบินออกมาจากเปลวไฟจะทำให้มันไม่ตายในกองเพลิง จากนั้นเจ้าจึงมีโอกาสเปลี่ยนแปลงชะตาของแมลงเม่า หากลิขิตฟ้าอยากให้คนตายแต่เจ้าช่วยเอาไว้ เมื่อนั้นเจ้าคืออำนาจสวรรค์! มีประโยคนึงกล่าวไว้ตั้งแต่ยุคโบราณ ‘คนที่เรียกตัวเองว่าราชาและขุนนางนั้นสูงศักดิ์ยิ่งกว่าเราใช่ไหม?’ ปรากฏว่ามันเป็นความจริง! ”

“เหล่าเทพก็พูดเช่นเดียวกันว่า ‘เมื่อสำเร็จเต๋า ทั้งไก่และสุนัขของเขาจะขึ้นสวรรค์ไปด้วย’ นี่ปรากฏความจริงอีก มันคือคำตอบต่อคำถามที่สองของเจ้า!”

น้ำเสียงหวังหลินเด็ดเดี่ยว หลังจากเอ่ยขึ้นมาทุกอย่างก็เงียบสนิท ลั่วหยุนคงจ้องมองหวังหลินด้วยความคิดสั่นเทา แววตาเต็มไปด้วยอาการซับซ้อนแต่อดไม่ได้ที่จะเคารพชายชุดขาวคนนี้

คำพูดของอีกฝ่ายตกลงมาในใจเขา ลั่วหยุนคงขบคิดชั่วครู่จากนั้นคำนับมือให้หวังหลิน เขาไม่ได้เอ่ยอะไรแต่ท่าทางเผยการชื่นชม

หลี่เฉียนเหมยมองไปที่ท้องฟ้า สายตาเต็มไปด้วยความงุนงง นางถอนหายใจและมองหวังหลิน คราวนี้สายตานางแตกต่างยิ่ง นางกัดริมฝีปากและเอ่ยขึ้นเบาๆ “น้องสาวถูกเต๋าของพี่หลิวชักจูงเข้าแล้ว” นางสะบัดแขนขวานำหินหยกและเม็ดยาออกมาจากมิติเก็บของ พลางส่งมันออกไปเบาๆ

“นี่คือเม็ดยากึ่งสมบูรณ์ผสมกับวิญญาณอสูรระดับสิบ สมุนไพรและวิธีที่ต้องทำให้เม็ดยาสมบูรณ์อยู่ในหินหยก” นางลังเลเล็กน้อยก่อนจะมองหวังหลิน “น้องสาวมีคำถามสุดท้ายอยากจะถาม”

หวังหลินเป็นคนแรกที่นางเจอแล้วทำให้ถามคำถามที่สาม ในแววตานางมีร่องรอยความซับซ้อนพลางมองหวังหลินอย่างละเอียดราวกับต้องการสลักเขาไว้ในใจ

ไม่มีใครรู้ถึงความสำคัญและของสามคำถามนี้เท่ากับนางเอง

“ข้าหวังว่าพี่หลิวสามารถขจัดข้อสงสัยในคำถามที่สามของน้องสาวได้…” หลี่เฉียนเหมยมีรอยสีแดงบนใบหน้าด้วยเหตุผลบางอย่าง

นางมองหวังหลินและเอ่ยขึ้นเบาๆ “คำถามที่สามยังเป็น ‘สวรรค์คืออะไร….’ ”

หวังหลินขบคิดเงียบๆและหลับตา เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ผ่านไปเจ็ดนาทีหวังหลินก็ลืมตาขึ้นมองหลี่เฉียนเหมยและเอ่ยตอบ

“ที่เจ้าถามไม่เกี่ยวกับสวรรค์ แต่เป็นเต๋า”

หลี่เฉียนเหมยขบคิดเล็กน้อยและพยักหน้าเบาๆ

“ข้าคิดถึงคำถามนี้มาเสมอ ครั้งนึงข้าคิดว่าข้าค้นพบคำตอบ แต่ดูตอนนี้สิ คำตอบนั้นดูเหมือนไม่สมบูรณ์…”

“ข้าสงสัยเหลือเกินว่าพี่หลิวได้รับคำตอบเป็นอะไร ท่านสามารถบอกน้องสาวได้ไหม?” หลี่เฉียนเหมยมองหวังหลินด้วยสายตาบริสุทธิ์

ลั่วหยุนคงยืนอยู่ข้างๆและถอนหายใจอยู่ในใจ เขารู้สึกว่าตนเองเป็นมือที่สาม เขาส่ายศีรษะและนั่งลงบนพื้นเรียบๆ สะบัดแขนขวานำสุราออกมาดื่มไปอึกใหญ่

หวังหลินขบคิดเล็กน้อยและค่อยๆตอบ “ข้าเป็นปลา เต๋าคือแห แม่น้ำคือสวรรค์ คนตกปลาที่ควบคุมแหคือโชคชะตา!”

ยามที่ลั่วหยุนคงได้ยินเช่นนี้ แขนขวาหยุดชะงัก ขบคิดอยู่นานดูเหมือนจะเกิดความเข้าใจ เขามองหวังหลินจากนั้นยื่นแขนออกไปหยิบสุราอีกหนึ่งไหโยนให้หวังหลิน

หวังหลินรับมาดื่มไปอึกใหญ่

ลั่วหยุนคงถอนหายใจและมองหวังหลินด้วยท่าทีซับซ้อน แม้คนผู้นี้จะดูธรรมดาแต่เขามีกลิ่นอายที่ทำให้ตนเองต้องยอมรับ

‘ลูกข้าบ้าไปแล้วจริงๆ ตายด้วยน้ำมือเขาถือเป็นโชคชะตาของตนเองแล้ว…’ ลั่วหยุนคงไม่ใช่คนธรรมดา หลังจากดื่มสุราไปหนึ่งคราเขาก็แก้ปมในใจได้

หลี่เฉียนเหมยขมวดคิ้วพลางค่อยๆนวดระหว่างคิ้วและเอ่ยขึ้นมา “ครั้งนึงอาจารย์ได้กล่าวอะไรที่คล้ายๆกัน เขาบอกว่ามนุษย์นั้นคือมด เต๋าคือภูเขาและอำนาจคือสวรรค์ หากสวรรค์โกรธเกรี้ยว เต๋าก็จะเคลื่อนด้วยสวรรค์ หากมดโกรธเกรี้ยวมันก็มีความแข็งแกร่งพอจะเคลื่อนย้ายภูเขาได้เช่นกัน!”

ขณะที่นางพูดพลางมองพื้น วางเสื้อสีขาวลงและนั่งลงด้วย

“เต๋าไม่ใช่แหหรือภูเขา แต่เป็นความคิด! ความคิดแตกต่างจากคนสู่คน บางคนคิดว่าเป็นแห คนอื่นๆอาจจะคิดว่าเป็นภูเขา…” เมื่อหวังหลินได้ยินคำพูดของหลี่เฉียนเหมย เขาเริ่มคิด ดวงตาค่อยๆเรืองแสงเจิดจ้า

“เต๋าคือความคิด?คนผู้หนึ่งจะเป็นคนได้เพราะมีความคิด ดังนั้นจึงสามารถแยกจากกายหยาบ ผสานกับโลกและขบคิดเรื่องที่ไม่รู้ได้…” ลั่วหยุนคงดูเหมือนจะเกิดความเข้าใจและพึมพำกับตัวเอง

หลี่เฉียนเหมยคิดอยู่เล็กน้อยและยิ้มออกมา “วิธีคิดของพี่หลิวช่างประหลาดยิ่ง”

ทั้งสามคนดูเหมือนจะลืมเลือนเรื่องกาลเวลาและเริ่มสนทนากันบนลาน กลิ่นอายเข่นฆ่าแต่เดิมถูกชำระล้างออกไปด้วยการสนทนาเต๋า ค่ำคืนและดวงจันทราแขวนลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า เงาจันทราปรากฏขึ้นเบื้องหน้าทั้งสามคน

ขณะที่สนทนาเรื่องเต๋า ทั้งสามลืมเลือนเรื่องเวลาแต่นี่กลับทำให้คนที่อยู่นอกม่านพลังถึงกับขมขื่น เดิมทีชายชราไม่ได้กังวลนัก แต่หลังจากรอไปครึ่งค่อนวันจึงเริ่มขมวดคิ้ว

เขาไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งสองถึงไม่กลับมา

หลังจากผ่านไปอีกหลายชั่วโมง ชายชราจึงเกิดความกระวนกระวายมากยิ่งขึ้น เขาเกิดความรู้สึกแย่ๆ กัดฟันแน่นและไม่ลังเลอีก เขาควบคุมอสูรพยัคฆ์และมุ่งหน้าสู่แผ่นดินโม่หลัวพร้อมกับศิษย์หลักอีกสามสิบคน!

ทว่าขณะที่พวกเขาเข้ามาใกล้ ก่อนที่จะทะลวงม่านป้องกันไปได้ น้ำเสียงสั่งการดังสะท้อนขึ้น

“กลับไป! หากไม่มีคำสั่งข้า พวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในแผ่นดินโม่หลัวแม้เพียงครึ่งก้าว!” น้ำเสียงนี้เป็นของลั่วหยุนคง ชายชราตกตะลึงและรีบควบคุมเจ้าพยัคฆ์ให้ถอยร่น ทว่าจิตใจยังคงสับสน

ตอนนี้แสงแดดจ้าห่อหุ้มภายในลาน ลั่วหยุนคงเข้าใจว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชายชุดขาวคนนี้ แม้ทั้งสำนักเต๋าม่วงจะเข้ามาก็คงไม่ต่างอะไร

หวังหลินมองหลี่เฉียนเหมยและเอ่ยขึ้นอย่างสงบน “สำหรับคำถามที่สาม ข้าบอกได้แค่ว่าเต๋านั้นเสมือนความคิด”

หลี่เฉียนเหมยเผยรอยยิ้มอย่างน่ารัก นางมองหวังหลินและเอ่ยขึ้นเบาๆ “ขอบคุณมากพี่หลิวที่ขจัดข้อสงสัยให้น้องสาว ข้าหวังว่าพี่จะแจ้งให้ข้าทราบเมื่อพบคำตอบของคำถามที่สาม ตั้งแต่วันนี้ต่อไปน้องสาวจะไม่ถามคำถามพวกนี้อีก”

หวังหลินตกตะลึง เขามองหลี่เฉียนเหมย ขบคิดเล็กน้อยจึงพยักหน้า

ลั่วหยุนคงถอนหายใจและยืนขึ้น คำนับฝ่ามือให้หวังหลิน “สหายเซียนหลิว ด้วยค่ำคืนการสนทนาเต๋าของเรา ความไม่เป็นมิตรของเราหายไปแล้ว! อย่างไรเถิดเจ้าต้องคืนธงเทพหยินมาให้ข้า!”

หวังหลินสายตาสงบนิ่งและส่ายศีรษะ

“เจ้า…” ลั่วหยุนคงสูดหายใจลึกและยิ้มอย่างขมขื่น

ลั่วหยุนคงถอนหายใจและเอ่ยออกมา “สหายเซียนหลิว ธงเทพหยินนี้ไม่ได้เป็นของสำนักเต๋าม่วง มันถูกสำนักหลักส่งมาเพื่อหล่อเลี้ยง ข้าต้องคืนมันไปในเวลาร้อยปี หากเจ้าไม่ต้องการคืนมันข้าก็ไม่เรียกร้อง แต่เมื่อช่วงเวลาร้อยปีหมดลงและสำนักหลักเข้ามาถามหา อย่าหาว่าข้าไม่บอกความจริงให้เขาเสียเล่า”

“ธงเทพหยินเป็นของสำนักหลักหรือ?” หวังหลินสีหน้าเป็นธรรมชาติแต่ในใจมีความคิดหลายอย่าง

“ใช่สิ! ช่างมันเถอะ ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการคืนมันข้าก็จะไม่เรียกร้อง ลาก่อน!” ลั่วหยุนคงคำนับฝ่ามือ จากนั้นมองหลี่เฉียนเหมยและเห็นว่านางไม่มีเจตนาจะจากไป เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขมขื่นในใจ พลางคำนับฝ่ามือให้หลี่เฉียนเหมยและจากไป

หลังลั่วหยุนคงจากไป หลี่เฉียนเหมยมองหวังหลินและยิ้มอย่างอ่อนโยน นางถือขลุ่ยขึ้นมาจ่อปากและเริ่มบรรเลง เสียงขลุ่ยดังสะท้อนเต็มไปด้วยความอบอุ่นและสมสง่า นิ่มนวลดุจลมทะเลพัดโชยมาและทำให้ผู้คนตกอยู่ในภวังค์

ขลุ่ยนี้มีเสน่ห์อันสงบสุข ดุจชีวิตในหมู่บ้านหรือเสียงน้ำไหลชัดของภูเขา กวาดล้างสิ่งสกปรกทั้งหมดในใจ ราวกับสะพานสีรุ้งที่เชื่อมสองคนและลดความบาดหมางให้หายไป

บทเพลงให้ความสงบเงียบและงดงาม หวังหลินลับตาราวกับเขาได้กลับไปยังดาวซูซาคุและเห็นสตรีที่กำลังเล่นพิณหรือไม่ก็คือสตรีตาบอดในดินแดนวิญญาณปีศาจ…

เพลงขลุ่ยเข้าสู่สองหูเขาและผสานเข้ากับเสียงพิณในใจจนยากจะแยกแยะออกได้

ลั่วหยุนคงจากไปพร้อมกับเสียงบทเพลงขลุ่ย ในใจเกิดความขมขื่นมากยิ่งขึ้น เขามองสำนักต้นกำเนิดและถอนหายใจก่อนจะจากไปโดยไม่หันกลับมา

ผ่านไปไม่รู้นานแค่ไหน เสียงขลุ่ยเลือนหายไป หลี่เฉียนเหมยยืนขึ้นและมองหวังหลินก่อนจะเดินเข้าหาประตูลาน นางหยุดลงและมองกลับมาด้วยรอยยิ้ม

ขณะที่รอยยิ้มเบ่งบาน หวังหลินพลันลืมตาขึ้นมา

“พี่หลิว แผ่นดินเพิ่งหลายจะมีการประมูลที่เกิดขึ้นทุกสามสิบปี ท่านสนใจจะไปไหม?”

……………………………..

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!