Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1172

Cover Renegade Immortal 1

1172. วงกลมของขั้นทลายสวรรค์

หวังหลินไม่ได้พูดถึงเหตุผลเฉพาะและหลีกเลี่ยงหัวข้อสนทนา

ยิ่งเป็นแบบนี้ยิ่งทำให้โอวหยางหลงรู้สึกประหลาดใจ เขารู้สึกว่าหนุ่มชุดขาวดูธรรมดาคนนี้มีแต่ความลึกลับ

โอวหยางหลงไม่ได้บังคับให้หวังหลินตอบ ดังนั้นจึงยิ้มและเพียงส่ายศีรษะ เขาไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกและย้ำเตือนหวังหลิน “สหายเซียนที่นี่คือการประมูลแบบส่วนตัว ตามกฎแล้วสิ่งที่พวกเขาเกลียดที่สุดคือคนที่ซ่อนตัวตนของตัวเอง” หลังจากนั้นพวกเขาก็มาถึงสุดทางอุโมงค์และเคาะประตูหินอยู่สองสามครั้ง

ครู่ต่อมาประตูหินสั่นเทาและเกิดระลอกคลื่นแพร่กระจายออกมาบนผิวประตูราวกับกำลังหลอมละลาย โอวหยางหลงมองกลับไปหาหวังหลินก่อนจะหายตัวเข้าไปในระลอกคลื่น

หวังหลินขบคิดเล็กน้อยและไม่คลุมร่าง เมื่อกล้าเข้ามาเขาก็ไม่กลัวการสร้างปัญหา หวังหลินเดินเข้าไปในระลอกคลื่นและหายวับไป

ทัศนวิสัยพร่ามัว เมื่อชัดเจนอีกครั้งดวงตาหรี่แคบ มองไปรอบๆและเห็นห้องขนาดกว้างประมาณร้อยฟุต บนพื้นสร้างขึ้นจากวัตถุดิบประหลาดที่โปร่งใสซึ่งสามารถเห็นการต่อสู้ของอสูรดุร้ายด้านล่างได้

รอบๆห้องมีที่นั่งกระจัดกระจายกันออกไปโดยมีที่นั่งหนึ่งอยู่ตรงกลาง เซียนเจ็ดคนกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ของตัวเอง ไม่มีใครปกปิดใบหน้า ยามที่หวังหลินเข้ามาสายตาทุกคนจึงรวมมาที่เขา

สายตาพวกเขาดุจกระบี่และแหลมคมยิ่ง แทบก่อตัวเป็นรูปร่างและทำให้ใครต่อใครรู้สึกหนาวเย็น หนึ่งในนั้นตกลึงหลังจากเห็นหวังหลินแต่ในไม่นานก็กลับเป็นปกติและเผยรอยยิ้ม

คนที่นั่งอยู่ในเก้าอี้ข้างหน้าคือชายชราผมสีเงินสวมชุดคลุมสีเทา ลืมตาขึ้นเล็กน้อยแต่ซ่อนแสงกะพริบในตาเอาไว้ตอนที่มองหวังหลิน เซียนคนนั้นเป็นขั้นทลายสวรรค์ระดับกลาง ด้านหลังเป็นโอวหยางหลงก้มตัวลงและกระซิบบางอย่างเข้าในหูเขา

หวังหลินก้าวเดินมาข้างหน้าสายตาทุกคนอย่างเป็นธรรมชาติ พอมาถึงจึงนั่งลงอย่างสงบนิ่ง สายตามองไปยังฝูงชนก่อนจะคำนับฝ่ามือให้คนที่ยิ้มใส่เขา

หวู่ฉิงไม่คาดคิดว่าจะเห็นหวังหลินที่นี่จึงประหลาดใจ อย่างไรก็ตามการที่หวังหลินสามารถเข้าการประมูลส่วนตัวแบบนี้ได้ทำให้หวู่ฉิงเพิ่มคุณค่าให้หวังหลินมากไปอีก

ขณะที่หวังหลินค่อยๆกวาดสายตา ทุกคนตอนนี้นอกจากชายชราที่เห็นชัดว่าเป็นอาจารย์ลุงของโอวหยางหลงและหวู่ฉิงแล้ว คนอื่นๆต่างเป็นขั้นทลายสวรรค์ระดับต้น!

คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามหวังหลินคือผู้เยาว์คนหนึ่งผิวละเอียด เขาสะบัดพัดขนนกในมือไม่เผยอารมณ์อันใด ยามที่หวังหลินมองไป เขาก็มองกลับหวังหลินด้วยแววตาสนใจ

ด้านข้างเขาเป็นหญิงสาวสวยงาม นางสวมชุดราตรีดอกไม้สละสลวยและนั่งท่าทีเมื่อยๆ นางมองหวังหลินครั้งเดียวจากนั้นก็ไม่สนใจเขา

มีชายชราคนหนึ่งนั่งห่างออกไปไม่ไกล รูปลักษณ์ของเขาประหลาดยิ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลและเพียงมองคราแรกช่างน่าหวาดกลัว เขามีท่าทีมืดมนพลางหมุนแหวนบนนิ้วชี้ขวาไปเรื่อยๆ

นอกจากคนทั้งสามแล้วยังมีอีกสองคนที่มองหวังหลินด้วยท่าทีสงบ

ทางซ้ายห่างออกไปไม่ไกลมีชายชราชุดดำนั่งอยู่ เขาตัวผอมและมีแขนดุจกรงเล็บเหยี่ยว ในแขนซ้ายมีก้อนขนาดเท่ากำปั้นเด็กอยู่สองก้อน มันหมุนรอบๆกันอย่างต่อเนื่อง บางครั้งก็เกิดเสียงปะทะกัน

คนสุดท้ายเป็นหญิงชราผมสีขาวหิมะ ผิวกายเหี่ยวย่นและสวมชุดสีเขียว นางนั่งอยู่นิ่งๆ พอหวังหลินกวาดสายตาไป ดวงตานางหันมามองหวังหลินอีกครั้งอย่างเยือกเย็น

เห็นได้ชัดว่าการประมูลเล็กๆแห่งนี้เพียงเพื่อเซียนขั้นทลายสวรรค์เท่านั้น การจะเข้ามาที่นี่ได้จะต้องมีชื่อเสียงและความแข็งแกร่ง หากไม่ใช่เพราะหวังหลินทำให้คนสามคนจากสำนักรวมปีศาจบาดเจ็บได้ง่ายๆและการแลกเปลี่ยนของเขามีค่ามากพอ การที่เขาจะเข้ามาที่นี่ได้เป็นเรื่องยากยิ่ง

แม้จะเข้ามาได้เขาก็ยังอยู่ใต้สายตาทุกคนอยู่ดี

หลังโอวหยางหลงเอ่ยกับชายชราจบลง เขายืนตัวตนและยืนเคารพอยู่ข้างๆ

ขายชรากระแอมแห้งๆ สายตากวาดผ่านเซียนทุกคนในห้อง เอ่ยน้ำเสียงแหบพร่าดังสะท้อน

“วันนี้ข้าปรมาจารย์คังจงซื่อ จัดตั้งการพบปะกันครั้งนี้ขึ้นมาเป็นการส่วนตัว ทุกคนที่นี่คือสหายเก่าของข้าและแน่นอนว่าเรามีสหายสองคนมาด้วย ข้าจะไม่ขอใช้คำพูดสุภาพแล้วกัน ตามกฎอันเก่าแก่ เรามาเดิมพันของชิ้นแรกกันก่อนดีกว่า” หลังจากชายชราเอ่ยจบ โอวหยางหลงก้าวไปข้างหน้าและนำเศษหยกออกมาหกชิ้น เขาส่งมันให้แก่ทุกคนรวมถึงหวังหลิน และจากนั้นส่งให้ชายชราเป็นคนสุดท้าย

หวังหลินถือหินหยกและส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไป เขาเห็นข้อมูลว่าข้างในมีอสูรวิญญาณมากกว่าร้อยตัว

“มีแม้กระทั่งอสูรสิงโตกระบี่! ข้าจะขอเดิมพันกับอสูรตัวนี้!” ชายชราใบหน้ารอยแผลพลางหัวเราะ เขาใช้สัมผัสวิญญาณปรับเข้าไปในหินหยกและส่งให้โอวหยางหลง

หวังหลินตรวรจสอบอสูรดุร้ายในหินหยกแต่ละตัว เขาไม่มีความรู้เรื่องอสูรดุร้ายมากนัก ทุกอย่างที่เข้ารู้ก็มาจากบันทึกของสำนักต้นกำเนิดซึ่งมีไม่พอ อสูรส่วนใหญ่ข้างในก็ไม่มีอยู่ในบันทึกสำนักต้นกำเนิด

หวังหลินได้รับความรู้เรื่องอสูรมาจำนวนมากขณะที่ตรวจสอบหินหยก พอเห็นว่าคนส่วนใหญ่โยนหินหยกออกไปแล้ว หวังหลินเลือกอสูรที่เรียกกันว่า “เมฆาวายุ” วางเดิมพันไปใช้หยกสวรรค์ร้อยก้อนจากนั้นโยนกลับให้โอวหยางหลง

ชายชราผมขาวยิ้มและเอ่ยออกมา “วันนี้ข้าอยากจะเห็นว่าเราคนไหนที่ตัดสินใจได้ดีที่สุด เราจะรู้คำตอบหลังจากนั้น ตอนนี้ข้ามีสมบัติอยู่ที่นี่สามชิ้น หากใครคนใดสนใจสามารถเสนอมาได้อย่างอิสระ” ขณะที่ชายชราเอ่ย เขาพลันสะบัดแขนมีผลึกสามชิ้นลอยออกมากลางอากาศ

ของชิ้นแรกคือกระบี่เหิน สร้างขึ้นจากผลึกและปลดปล่อยกลิ่นอายเย็นเยียบ ข้างในมีเส้นสีแดงเคลื่อนไหวทำให้กระบี่เล่มนี้มีกลิ่นอายปีศาจ

ของชิ้นที่สองคือเกราะแตกหัก มันส่งกลิ่นอายเก่าแก่ราวกับผ่านกาลเวลามาจนสลักเอาไว้ข้างใน

ของชิ้นที่สามคือเม็ดยา เม็ดยานี้เป็นสีดำสนิทและไม่มีกลิ่นหอมของตัวยา มันส่งกลิ่นอายน่าหวาดกลัวซึ่งทำให้หวังหลินจ้องอยู่ชั่วครู่

“ของชิ้นแรกคือกระบี่ผลึกโลหิต ข้าสังหารอสูรระดับแปดไปเกือบพันตัวและใช้โลหิตพวกมันขัดเกลากระบี่เล่มนี้ ข้าได้ขอให้ผู้อาวุโสเต๋าเย่ปรับแต่งมันด้วยจึงเพิ่มพลังขึ้นมหาศาล เส้นโลหิตข้างในบรรจุพิษประหลาดเอาไว้เพื่อทำให้เสริมความเสียหาย แม้แต่วิญญาณดั้งเดิมก็จะได้รับพิษ”

“ผู้อาวุโสเต๋าเย่ปรับแต่งมัน?” สตรีเยาว์วัยคนสวยในชุดราตรีดอกไม้พลันสะบัดแขนให้กระบี่ผลึกโลหิตลอยเข้าหามือนาง มองดูอย่างละเอียดนางจึงปล่อยส่งมันกลับ

“ของชิ้นที่สองมีวิชาอยู่หนึ่งชุดบันทึกไว้แต่มันเสียหาย จึงไม่สามารถบ่มเพาะได้ ช่างน่าเสียดายนัก ส่วนของชิ้นที่สามขึ้นอยู่กับความเข้าใจของสหายเซียน หากต้องการแลกเปลี่ยนก็ต้องทำตามกฎข้า ข้าเพียงต้องการหินหยกสวรรค์เท่านั้น” ชายชรายิ้มและมองให้กับทุกคน

นอกจากหวังหลินและหญิงชราชุดเขียวที่ไม่ขยับเขยื้อนแล้ว อีกสี่คนทั้งหมดมองสมบัติทีละชิ้น สตรีคนสวยซื้อกระบี่ผลึก ส่วนเรื่องราคานั้นไม่มีใครรู้

ส่วนเรื่องผลึกไม่มีใครถามอะไร หวังหลินเพียงสะบัดแขนท่าทางสงบนิ่งให้ผลึกลอยเข้าไปในมือเขา ส่งสัมผัสวิญญาณออกมาปกคลุมแต่ไม่ได้เพ่งสมาธิบนวิชาข้างในแต่กลับเพ่งไปที่วัตถุดิบแทน

ชิ้นส่วนนี้เหมือนกระดูกแต่หากมองอย่างละเอียดมันกลับดูไม่เหมือน หวังหลินอดไม่ได้ที่จะขบคิด

ชายวัยกลางคนผู้รอบรู้ถือเม็ดยาสีดำในมือและดมกลิ่น เผยสีหน้าลังเลพลางหันมาหาชายชรา

“ปรมาจารย์คังจงซื่อ ข้าขอเสนอหินหยกสวรรค์ห้าร้อยก้อนสำหรับเม็ดยานี้!”

ปรมาจารย์คังจงซื่อส่ายศีรษะ “หนึ่งร้อยเท่า!”

ทันใดนั้นเซียนทั้งหมดรอบด้านดวงตาหรี่แคบและมองไปที่เม็ดยา พวกเขาทั้งหมดอยู่ที่ขั้นทลายสวรรค์จึงไม่แสดงสีหน้าอาการของตน แม้จะมองดูเม็ดยากันทั้งหมดแต่คนนอกไม่อาจรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่

ชายวัยกลางคนเงียบๆไปชั่วครู่ก่อนจะเผยรอยยิ้ม พอได้ยินราคาเขาถึงกับมั่นใจในการคาดเดา วางเม็ดยาเอาไว้และพยักหน้าให้ปรมาจารย์คังจงซื่อ

คังจงซื่อยิ้มออกมาพลางหันสายตาไปหาหวังหลินและหัวเราะ “สหายเซียนสนใจไหม?”

หวังหลินมองออกไปและเผยอาการลังเล เขาคิดอยู่เล็กน้อยและเอ่ยออกมา “ของสิ่งนี้ไร้ประโยชน์แต่ข้าสนใจในของหายาก ขอเสนอมันที่หินหยกสวรรค์ร้อยก้อน”

ปรมาจารย์คังจงซื่อขบคิดเล็กๆจากนั้นสะบัดแขนด้วยเสียงหัวเราะ “เดิมทีข้าไม่มีเจตนาจะขายมัน หลักๆแล้วข้าต้องการดูว่ามีใครจำมันได้เท่านั้น ในเมื่อสหายเซียนชอบมันข้าก็จะมอบให้”

หวังหลินคำนับฝ่ามือพลางเอ่ยขอบคุณและเก็บชิ้นส่วนกลับไป

ชายชราถือก้อนกลมๆสองก้อนพลางเอ่ยขึ้น “ข้าตาบอดจริงๆ ไม่คิดว่าเม็ดยานั่นจะเป็นเม็ดยาต้นกำเนิดความวุ่นวายที่สามารถคุกคามได้แม้กระทั่งเซียนขั้นทลายสวรรค์ อย่างไรเสียเพียงแค่เม็ดเดียวถือว่าไม่รุนแรงพอ”

ขณะที่เอ่ย ชายชราสะบัดแขนนำของสองชิ้นออกมาลอยกลางอากาศ

มันคือขนนกสีแดงและฟองสบู่ขนาดเท่าศีรษะ ข้างในฟองมีวิญญาณอสูรอยู่หนึ่งดวง ครึ่งนึงเป็นมังกรและอีกครึ่งเป็นสายหมอก มันกำลังดิ้นรนพยายามหลบหนีออกมาจากฟอง

ชั่วจังหวะของสองชิ้นนี้นำออกมา ทุกคนจึงมองดู หวังหลินเห็นขนนกสีแดงถึงกับตกตะลึงแต่ก็ปิดไว้สนิทจึงไม่ได้แสดงออกมา

“ของชิ้นแรกคือขนนกของวิหคเพลิงที่เล่าลือกัน แม้จะแยกจากของจริงได้ยากแต่พลังอัคคีดั้งเดิมข้างในแข็งแกร่งมาก ของชิ้นที่สองคงไม่จำเป็นต้องแนะนำ มันคือวิญญาณอสูรครึ่งหมอกระดับสิบสอง ข้าไม่ได้มีกฎอะไรมากนักและจะใช้สิ่งใดเป็นข้อแลกเปลี่ยนก็ได้ตราบใดที่ข้าชอบ” หลังชายชราเอ่ยจบ เขาก็ตรวจสอบทุกคน

“น่าเสียดายที่มันแค่อสูรครึ่งหมอกเท่านั้น…ช่างน่าสงสาร!” หวู่ฉิงมองอสูรในฟองตัวนั้นและส่ายศีรษะถอนหายใจ

“หากเป็นอสูรหมอกจริงๆ ข้าจะขายมันทำไม?” ชายชราพ่นลมหายใจเย็น

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!