1179. รวบรวมเหล่าปีศาจ
‘ขั้นทลายสวรรค์ระดับกลาง!’ ตอนที่หวังหลินเข้าไปใกล้ เขาเห็นชายชราสวมมงกุฎและรู้สึกถึงจิตสังหารมหึมาโผล่ออกมาจากเขา คนผู้นี้ก็ใช้วิญญาณในวิชาเซียนด้วย เห็นได้ชัดว่าเป็นเซียนปีศาจที่มีชื่อเสียงในทะเลเมฆา
ขณะที่จ้าววิญญาณเมฆาสะบัดแขนเสื้อ คลื่นดวงวิญญาณนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าหาหวังหลินหมายจะกลืนกิน
ดวงตาหวังหลินส่องสว่าง แขนขวากำหมดและส่งกำปั้นออกไป พลังรุนแรงสายหนึ่งเข้าปะทะกับวิญญาณพวกนั้น
เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง หมอกดวงดาวรอบด้านถูกผลักออกไป สายลมกรรโชกพัดพาพร้อมกับเกิดเสียงร้องโหยหวน ส่วนหนึ่งพวกมันแตกสลายทันที
ร่างหวังหลินกะพริบวาบและถอยหลังไปห้าก้าว ทุกก้าวทำให้พื้นดินสั่นเทาและทิ้งรอยฝ่าเท้าลึกๆเอาไว้ หลังจากผ่านห้าก้าวไป ใบหน้าซีดเล็กน้อยจ้องมองปรมาจารย์คังจงซื่อและร้องตะโกน “ปรมาจารย์คังจงซื่อ นี่มันหมายความว่าอะไร!?”
คังจงซื่อหัวเราะพลางยืนขึ้นและโบกแขน แสงสีทองกะพริบวาบเปลี่ยนกลายเป็นกระบี่เหินหลายพันเล่ม เหล่ากระบี่เชื่อมต่อกันสร้างเป็นม่านกระบี่หยุดเหล่าวิญญาณของจ้าววิญญาณเมฆาไม่ให้โจมตีได้อีกครั้ง
“จ้าววิญญาณเมฆา สหายเซียนหลิวเป็นแขกที่ข้าชวนมา ข้าหวังว่าท่านจะไว้หน้าข้าบ้าง!”
จ้าววิญญาณเมฆาซึ่งสวมมงกุฎพลันมองหวังหลินอย่างเย็นชาและเผยรอยยิ้มจอมปลอม “เจ้าซ่อนตัวเองแต่เจ้ากลับมีวิชาของขั้นทลายสวรรค์” เขายื่นแขนขวาออกไปรวบรวมเศษวิญญาณนับไม่ถ้วน มันเปลี่ยนกลายเป็นเพลิงวิญญาณยักษ์เก้าตัวอยู่ด้านหลัง ส่งเสียงเผาไหม้ประทุออกมา
“สหายเซียนหลิว จ้าววิญญาณเมฆาเพียงแค่ทดสอบความแข็งแกร่งและไม่มีเจตนาร้าย โปรดอย่าถือสา” ปรมาจารย์คังจงซื่อยิ้มและคำนับฝ่ามือ
หวังหลินสีหน้ามืดมนและไม่ได้เอ่ยอะไรมา นั่งลงไม่ไกลจากพวกเขาและมองออกไปไกล เผยใบหน้าไร้อารมณ์จนคนภายนอกดูไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ปรมาจารย์คังจงซื่อเยาะเย้ยในใจ เขาและจ้าววิญญาณเมฆามองหน้ากันเองด้วยสายตาลึกลับและจากนั้นก็ถอนสายตาออกมาอย่างรวดเร็ว
จ้าววิญญาณเมฆาส่งข้อความให้กับปรมาจารย์คังจงซื่อ “เขามีความสามารถในการฆ่าหวู่ฉิง แต่ยังมีช่องว่างระหว่างเขากับเซียนขั้นทลายสวรรค์แบบเรา หากข้าโจมตีเอง ข้าสามารถฆ่าเขาได้ภายในเวลาสิบลมหายใจ! หากเราร่วมมือกันเราสามารถฆ่าเขาได้ทันที!”
ปรมาจารย์คังจงซื่อหลับตาพลางส่งข้อความให้จ้าววิญญาณเมฆา “สิ่งที่ทำให้ข้ากลัวเขามากที่สุดไม่ใช่ตัวตนที่เป็นคนของสำนักเทพเจ้า เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นเซียนขั้นชำระสวรรค์แต่วิชาเขาสามารถฆ่าหวู่ฉิงได้ง่ายๆ เขาซ่อนระดับบ่มเพาะไว้แน่นอน หากข้าไม่รู้ระดับบ่มเพาะจริงๆของเขาก็อาจจะขัดขวางไปแล้ว แต่หลังจากเห็นเจ้าทั้งสองสู้กัน ข้าเชื่อไปแล้วเล็กน้อย กระนั้นคนผู้นี้ก็เจ้าเล่ห์ยิ่ง เมื่อเราเข้าไปลองพยายามทดสอบเขาดูอีก!”
จ้าววิญญาณเมฆาดวงตาส่องสว่างเป็นเชิงเห็นด้วย
หวังหลินก้มศีรษะลงพลางนั่งอยู่งตรงนั้นจึงไม่มีใครเห็นแววตาเย็นเยียบ แม้เขาจะดูเหมือนใช้พลังเต็มที่แต่ก็รั้งเอาไว้จริงๆ คงไม่ฉลาดนักถ้าจะเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงเบื้องหน้าเซียนเฒ่าพวกนี้
‘ขั้นทลายสวรรค์ระดับกลาง…แข็งแกร่งจริงๆ แค่พลังดั้งเดิมที่แฝงในวิชาก็ไม่ใช่สิ่งที่เซียนขั้นทลายสวรรค์จะต่อกรได้แล้ว ความแตกต่างเช่นนี้เหมือนผู้เยาว์และชายแข็งแกร่ง…แต่หากข้าต่อสู้ด้วยสมบัติที่ทรงพลังที่สุด ข้าไม่คิดว่าจะแพ้! ที่ข้าต้องระมัดระวังคือปรมาจารย์คังจงซื่อและคนผู้นั้นไม่ให้ร่วมมือกัน’ หวังหลินมีท่าทีสงบนิ่ง ไม่เผยจุดสังเกตว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ชายชราใบหน้ารอยแผลเป็นเห็นการต่อสู้ทั้งหมด เขาหมุนแหวนบนนิ้ว สายตากวาดผ่านปรมาจารย์คังจงซื่อเป็นพักๆ
ยังมีสตรีชราชุดเขียวที่นั่งหลับตาอยู่ นางดูเหมือนไม่ได้ดูว่าอะไรเกิดขึ้นเลยราวกับหลับไป
วันเวลาค่อยๆผ่านไป กลางวันและกลางคืนผสมกันอยู่บนแผ่นดินป่าที่ปกคลุมด้วยสายหมอกจนแยกไม่ออกระหว่างกลางวันและกลางคืน หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ปราณกระบี่สายหนึ่งลอยเข้ามาไกล
ปราณกระบี่แหลมคมยิ่งและแฝงพลังอันรุนแรง ปราณกระบี่นี้ไม่ได้ทำให้สายหมอกเคลื่อนไหวแต่แทงทะลุผ่านเข้าหาทั้งห้าคน
ก่อนที่ปราณกระบี่จะเข้ามาใกล้ กระบี่เล่มหนึ่งส่งแรงกดดันออกมาจากท้องฟ้า แฝงกลิ่นอายโหดเหี้ยมดุดัน ปรมาจารย์คังจงซื่อเงยศีรษะขึ้นและยิ้มออกมา
ปราณกระบี่ลงมาถึงและแทงเข้าไปในพื้นดินเบื้องหน้าผู้อาวุโสผาง กระบี่ยาวเจ็ดฟุตหนาสองนิ้ว กระบี่สีขาวห่อหุ้มเป็นไอน้ำพร้อมพลังเย็นแพร่กระจายออกมา
พู่สีทองติดอยู่ด้ามกระบี่และวนอยู่ในอากาศทำให้เกิดระลอกคลื่นขึ้นเหนือกระบี่ ระลอกคลื่นรุนแรงยิ่งขึ้นและมีคนผู้หนึ่งเดินออกมา!
เขาตัวเล็กมาก มองคราเดียวดูเหมือนเด็กหนุ่ม แต่หากมองใกล้ๆจะมีรูปลักษณ์ที่บิดเบี้ยวคือเป็นภูตผีสีเขียวดูน่ากลัว หากคนธรรมดาเห็นเขาคงกวาดกลัวจนตาย
เขาก้าวออกมาจากระลอกคลื่นและนั่งใกล้ๆกระบี่ เขาสูงกว่ากระบี่ที่แทงลงไปในพื้นดินเพียงครึ่งศีรษะเท่านั้น
“ปรมาจารย์คังจงซื่อ เจ้าให้แผนที่อะไรข้ามา? ข้าใช้เวลานานยิ่งกว่าจะหาเจอ!” น้ำเสียงแหลมคม มองดูทุกคนอย่างมืดมนและตกตะลึงที่เห็นหวังหลินแต่ไม่ได้พูดอะไร
ปรมาจารย์คังจงซื่อยิ้มกว้าง “น้องตวนมู่ อย่ามากล่าวหาข้าเลย เจ้าเองที่ไม่สามารถหาที่นี่เจอ”
ตวนมู่พ่นลมหายใจเย็นและเอ่ยเสียงแหลม “เจ้าบอกว่าสถานที่แห่งนั้นมีเม็ดยาเกิดใหม่ เป็นเรื่องจริงหรือ?”
ปรมาจารย์คังจงซื่อพยักหน้า “เป็นเรื่องจริงแน่นอน ตอนที่ข้าเข้าไปอยู่แต่เพียงเขตชั้นนอกเท่านั้นและเข้าไปลึกกว่านี้ไม่ได้ แต่ข้าเห็นเม็ดยาเกิดใหม่อยู่หนึ่งเม็ด ทว่ามันถูกคุ้มครองด้วยอสูรดุร้ายที่ข้าเอามาไม่ได้”
“อสูรอะไร?”
“มังกรหมอกระดับสิบสอง!”
ตวนมู่ครุ่นคิดเงียบๆและดวงตาส่องสว่าง
‘เม็ดยาเกิดใหม่…’ ตอนที่หวังหลินได้ยิน สีหน้าท่าทางยังปกติแต่จิตใจไม่นิ่งเฉย อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่เคยได้ยินเม็ดยาเกิดใหม่มาก่อน พอเห็นสีหน้าท่าทางของปรมาจารย์คังจงซื่อ ดูเหมือนเม็ดยาเกิดใหม่นี้ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญหลักในการเดินทางครั้งนี้
ขณะที่ขบคิด หวังหลินกวาดสายตาผ่านเด็กหนุ่มไป เด็กหนุ่มคนนี้ก็เป็นเซียนขั้นทลายสวรรค์ระดับกลางเช่นเดียวกัน
เด็กหนุ่มตวนมู่ขบคิดอยู่สักพักและเอ่ยพูดคุยกับปรมาจารย์คังจงซื่อ “ถ้าเรายังไม่ไป นั่นหมายความว่ายังมีคนอื่นอีกหรือ?”
“ยังมีอีกคนที่ยังไม่มา…” ก่อนปรมาจารย์คังจงซื่อจะพูดจบ ทันใดนั้นเงยศีรษะขึ้นมองออกไปไกล ตวนมู่และจ้าววิญญาณเมฆามองขึ้นไปในเลาเดียวกันด้วย
หวังหลินสัมผัสถึงแรงสั่นบนพื้นดินเล็กน้อย เขามองขึ้นไปและเห็นร่างใหญ่โตกำลังเข้ามาใกล้บนแผ่นดินป่า ร่างนั้นใกล้ขึ้นจนกระทั่งเผยออกมาเป็นชายร่างกำยำใหญ่โตสวมชุดสีม่วง
ขณะที่เข้ามาใกล้ พื้นดินสั่นไหวรุนแรงยิ่งขึ้น เศษหินเล็กน้อยพัดปลิวกระจายว่อนไปทุกที่
หวังหลินหรี่ตาแคบและมองไปยังด้านหลังชายร่างกำยำ มีอสูรดุร้ายกำลังไล่ตามเขา แม้จะไม่ได้มีมากนักแต่ก็หลักร้อย อย่างไรเสียระดับพวกมันก็ไม่ได้สูง
พริบตาเดียว ชายกำยำก็มาถึงหน้าทุกคน มองอย่างเยือกเย็นและเอ่ยขึ้น “ข้ามาแล้ว!”
จังหวะที่เขาเปล่งเสียง อสูรดุร้ายด้านหลังเริ่มร้องคำราม เสียงดังสนั่นสะเทือนพื้นดิน บางตัวแตกสลายกลายเป็นกองเลือดเนื้อ ไม่นานนักอสูรทั้งหมดด้านหลังเขาก็ตายกันหมด
พอพวกอสูรเหล่านี้ตายไป พื้นดินจึงถูกย้อมแห้งด้วยสีแดง กลิ่นคาวเลือดโชยออกมา ขณะเดียวกันวิญญาณพวกมันจึงรวมอยู่เบื้องหน้าชายร่างกำยำและควบแน่นอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดกลายเป็นวังวนสีดำ เขาบีบมันด้วยแขนขวา วังวนควบแน่นกลายเป็นเม็ดยาสีดำทันที
ชายร่างกำยำกลืนเม็ดยาในมือและเอ่ยขึ้น “ข้ามาที่นี่ก่อนแล้ว จึงได้หลอมอสูรทั้งหมดที่นี่ไปแล้วด้วย”
‘สำนักอสูรรบ!’ จ้าววิญญาณเมฆาสีหน้าเคร่งเครียดและคำนับฝ่ามือให้ชายร่างกำยำ “ข้าสงสัยเหลือกินว่าสหายเซียนอยู่ในสำนักอสูรรบใช่ไหม? ข้าจ้าววิญญาณเมฆา เป็นสหายกับปรมาจารย์โป้เทียน”
เด็กหนุ่มตัวเล็กสีหน้าเคร่งเครียด คำนับฝ่ามือให้ชายร่างกำยำ
“ปรมาจารย์โป้เทียนเป็นพี่ชายข้า ข้าเฉินเทียนจุน” น้ำเสียงร่างกำยำสงบนิ่งและแฝงความภูมิใจเอาไว้
‘เขาเป็นเซียนขั้นทลายสวรรค์ระดับต้น…แต่ทำให้เซียนเฒ่าขั้นทลายสวรรค์ระดับกลางทั้งหมดให้ความสนใจได้นั่นหมายความว่านอกจากสำนักแล้วยังมีอย่างอื่น สิ่งสำคัญกว่าก็คือวิชาของสำนักอสูรรบนี้น่าสนใจ อีกทั้งเขาบอกว่าเขามาที่นี่แล้วแต่ไม่มีใครสังเกตเห็น นี่มันช่างประหลาด!’ หวังหลินถอนสายตาออกมาจากชายร่างกำยำ
“การซ่อนตัวของสำนักอสูรรบช่างอัศจรรย์จริงๆ ข้าไม่รู้ว่าน้องเฉินจะอยู่ที่นี่เลย!” ปรมาจารย์คังจงซื่อลุกขึ้นและหัวเราะ
เฉินเทียนจุนพยักหน้าเล็กน้อย “ปรมาจารย์คังจงซื่อ ข้าถูกเขตระดับเก้าเรียกตัวและต้องรีบกลับไปที่สำนัก ข้าไม่มีเวลามากนัก ดังนั้นเจ้าต้องรีบเร่งเสียแล้ว”
ปรมาจารย์คังจงซื่อพยักหน้า จากนั้นกวาดสายตาหาทุกคนและเอ่ยขึ้น “ข้ายินดียิ่งที่พวกท่านมา เราทั้งหมดจะได้อะไรบางอย่างในการเดินทางครั้งนี้ จะไม่มีใครกลับมามือเปล่า” เขาหยุดชะงักก่อนจะมองหวังหลิน “สหายเซียนหลิว นอกจากผลึกดั้งเดิมของเจ้าแล้ว เจ้าสามารถเลือกสมบัติได้อีกสองสามชิ้นเพื่อเป็นการขอบคุณของข้า!”
หวังหลินพยักหน้า
“ข้าจะไม่พูดอะไรมากความอีก เมื่อเราอยู่กันที่นี่ข้าจะขอมอบรายละเอียดเลย! ทางนี้!” หลังกล่าวจบจึงก้าวเท้าและพุ่งเข้าไปในหมอกดวงดาว
ผู้อาวุโสผางติดตามหลังไปอย่างใกล้ชิดและสตรีชราชุดเขียวด้วย เฉินเทียนจุนแห่งสำนักอสูรรบก้าวเท้าพลางติดตามไปพร้อมกับควันสีขาวสองสายที่เปลี่ยนกลายเป็นอสูรคล้ายเหยี่ยว
“สหายเซียนหลิว ทางนี้” จ้าววิญญาณเมฆามองหวังหลินด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม
หวังหลินเหาะเหินไปข้างหน้าด้วยท่าทางสงบนิ่ง จ้าววิญญาณเมฆาเหาะอยู่ด้านหลังและมองหวังหลินอย่างเย็นชา ทั้งหกคนก่อตัวเป็นลำแสงหกสายข้ามผ่านอวกาศโดยมีปรมาจารย์คังจงซื่อเป็นคนนำทาง