1184. รอคอยเส้นทางแห่งการฝึกฝน
เซียนผางอ้าปากค้างและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว รู้สึกหนาวเย็นไม่กล้าแพร่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมาแต่ก็คุ้นเคยกับความหนาวเย็นเช่นนี้
เขายังไม่ลืมว่าเป็นเพราะเผชิญหน้ากับเจ้าสิ่งนี้ เซียนกว่าครึ่งที่มาในรอบสองจึงหายไป เบื้องหน้าตัวตนลึกลับนี้พวกเขาเหมือนเป็นคนธรรมดาและไม่สามารถต่อต้านได้เลย
ด้วยตำแหน่งของหวังหลินตอนนี้จึงทำให้เขาเห็นสถานการณ์ได้ชัดเจน ไม่มีใครคนอื่นจะเห็นได้
“จำไว้ว่าห้ามแพร่กระจายสัมผัสวิญญาณออกไป!” ปรมาจารย์คังจงซื่อส่งข้อความสัมผัสวิญญาณครั้งสุดท้ายออกมาและไม่ส่งอีก ร่างกายไร้การเคลื่อนไหว แม้แต่ตาก็ปิดสนิท
ในสายตาหวังหลิน มีคนผู้หนึ่งปรากฏด้านหลังทุกคน
คนผู้นี้สวมชุดสีเทาแต่ครึ่งท่อนล่างโปร่งใส่ทำให้เห็นเลือดเนื้อในร่าง เขาไม่มีเส้นผม ดวงตาไร้ชีวิตค่อยๆเดินเข้ามา
เขาไม่ได้เร็วนักและใช้เวลานานกว่าจะมาถึงซากศพมังกร เขาดูเหมือนไม่ได้ทำอะไรแต่เจ้ามังกรเหี่ยวแห้งกลายเป็นกองเลือดทันที เรื่องน่าประหลาดก็คือกองเลือดนี้กลับเข้าไปในร่างเขาด้วย
ชายชุดเทาเดินไปข้างหน้าช้าๆทั้งยังมีแววตาไร้ชีวิต
ตวนมู่อยู่ท้ายกลุ่ม ไร้การเคลื่อนไหวแต่พลันขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าความหนาวเย็นใกล้ขึ้นอย่างชัดเจนขึ้น พลันเห็นคนชุดเทาผ่านไป ในแววตาเขากะพริบแสงเยือกเย็น
ทว่าวินาทีนั้นคนชุดเทาหยุดลงและหันศีรษะหาตวนมู่
สายตาที่ประสานกันทำให้ตวนมู่จิตใจสั่นสะท้าน ความคิดว่างเปล่าและสายตาสับสน เหนือศีรษะปรากฏตะวันและจันทราขึ้นและเริ่มหมุนวนกลายเป็นวังวนเหมือนวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ของดวงตะวันและจันทรา
วัฏจักรนี้คือแก่นแท้ของตวนมู่ มีอักขระจำนวนมากซึ่งเป็นตัวแทนของวิชาเขา
ทว่านาทีนั้นสิ่งทีทำให้จิตใจหวังหลินสั่นเทาก็คือวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ของตวนมู่กลับเคลื่อนไหวประหลาดเข้าหาชายชุดเทา มันค่อยๆแยกออกมาจากร่างตวนมู่และผสานเข้ากับชายชุดเทา
แววตางุนนงงสับสนของตวนมู่หายไปและแทนที่ด้วยความตาย ไร้ร่องรอยแห่งชีวิตในตัวเขาไปแล้ว
จากนั้นชายชุดเทาหันกลับมาและเดินหน้าต่อไป
ตวนมู่ยกเท้าขึ้นและติดตามชายชุดเทาอย่างช้าๆ เดินในจังหวะเดียวกับเขา
ฉากเหตุการณ์นี้ทุกคนตะลึงยิ่ง หญิงชราชุดเขียวไม่แม้แต่กะพริบตาและนิ่งงัน เบื้องหน้านางเฉินเทียนจุนก็เช่นเดียวกัน อารมณ์เขาไม่มีความผันผวนเลย
ชายชุดเทาเดินผ่านทุกคนอย่างเงียบๆและมีตวนมู่ติดตาม เส้นผมเขาค่อยๆหลุดร่วงลงบนพื้น
ร่างกายใต้เสื้อผ้าค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นโปร่งใส
ใช้เวลาไม่นานชายชุดเทาก็มาถึงเบื้องหน้าหวังหลิน หวังหลินนิ่งงันไม่ไหวติงและเพ่งสมาธิตลอดเวลา ชายชุดเทาไม่หยุดชะงักและผ่านหวังหลินไปพร้อมกับตวนมู่ ทั้งสองคนค่อยๆหายเข้าไปไกล
ความหนาวเย็นรอบด้านค่อยๆหายไปจนกระทั่งสิ้นสุดลงในที่สุด
ปรมาจารย์คังจงซื่อร่างกายสั่นเทาและสูดหายใจลึก หน้าผากผุดเหงื่อเย็นเยียบและปาดมันออกไป คนด้านหลังเขาผ่อนคลายไปด้วย แววตายังมีความตกตะลึง
เฉินเทียนจุนความคิดสั่นเทาพลางกระซิบ “เขา…เขาเป็นใคร?”
ปรมาจารย์คังจงซื่อตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่าทั้งยังมีสายตาหวาดกลัว “ผู้หลงทาง”
“ปรมาจารย์คังจงซื่อ สถานที่แห่งนี้มันอะไรกัน!?” หญิงชราชุดเขียวจ้องมองปรมาจารย์คังจงซื่อด้วยท่าทางไม่เป็นมิตร นางอยู่ข้างตวนมู่ดังนั้นจึงเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน
“สหายตวนมู่ไม่ฟังคำแนะนำ โธ่” เซียนผางยังคงหวาดกลัวและส่ายศีรษะ
“ข้าไม่รู้ว่าที่นี่มันเรียกว่าอะไร ข้าเรียกว่าดินแดนเจ็ดสี! ชายชุดเทานั่นข้าเรียกว่าผู้หลงทาง ”
“ในโลกเจ็ดสีไม่มีผู้หลงทางมากนัก หากพวกเขาปรากฏตัว ตราบใดที่ไม่แพร่กระจายสัมผัสวิญญาณและไม่เคลื่อนไหวจะไม่มีอันตราย หากเคลื่อนไหวก็จะจบลงแบบสหายเซียนตวนมู่!” ปรมาจารย์คังจงซื่อเอ่ยน้ำเสียงเคร่งเครียด
หวังหลินยืนขึ้นมองปรมาจารย์คังจงซื่อและเอ่ยกล่าว “เดิมทีไม่ได้มีผู้หลงทางมากนัก แต่หลังจากท่านเข้ามา จำนวนก็เพิ่มขึ้น”
หญิงชุดเขียวเยาะเย้ยแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เฉินเทียนจุนจ้องมองปรมาจารย์คังจงซื่อด้วยสีหน้ามืดมน “สหายคังจงซื่อ ท่านมาที่นี่สองครั้งแล้ว แต่ละครั้งได้ทิ้งคนให้กลายเป็นผู้หลงทางคนใหม่ใช่ไหม?”
ปรมาจารย์คังจงซื่อเยือกเย็นและเงียบไปนาน จากนั้นพยักหน้าและเอ่ยอย่างขมขื่น “ชายชุดเทานั่นเป็นสหายข้าที่เข้ามาด้วยกันครั้งแรก เขาถูกผู้หลงทางนำตัวไป”
เฉินเทียนจุนพ่นลมหายใจเย็น “การมาที่นี่เป็นเรื่องผิดพลาด ข้าจะกลับ!” ขณะที่เอ่ยขึ้นพลันหันตัวกลับและเดินไปทางที่เข้ามา เขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ปรมาจารย์คังจงซื่อไม่หยุดเขา หลังเฉินเทียนจุนจากไปเขาก็เอ่ยขึ้นมา “เมื่อไร้ข้านำทาง เขาจะไม่สามารถกลับไปได้ ข้าไม่คิดว่าเราจะเจอผู้หลงทางเร็วๆนี้ สหายเซียนหลิวและจ้าว ข้ารู้จักถ้ำฝึกฝนแห่งหนึ่งอยู่ระหว่างเขตชั้นนอกกับเขตชั้นในของดินแดนเจ็ดสีแห่งนี้”
“พวกท่านทั้งหมดต่างรู้จักเจ้าของถ้ำนั้น เพราะเป็นหัวหน้าศิษย์ของสำนักทะลวงสวรรค์เมื่อหนึ่งหมื่นแปดพันปีก่อน ซือหม่าโม่!”
หญิงชราชุดเขียวท่าทางเหมือนเดิมราวกับไม่ได้ยินเขา
หวังหลินขบคิดเงียบๆ มองปรมาจารย์คังจงซื่อรอการฟื้นฟู
“หากไม่สนว่าซือหม่าโม่ทรงพลังแค่ไหน เขาปรุงยาได้เยี่ยมทีเดียว เขาได้สูตรยาที่ทำให้เกิดหายนะและจากไป แม้ข้าจะไม่รู้ว่าสูตรยานั่นปรากฏขึ้นในเขตระดับห้าได้อย่างไร ข้ามั่นใจว่ามันมีถ้ำของซือหม่าโม่อยู่จริงๆ”
“ส่วนเรื่องที่เขาหลอมยาได้สำเร็จหรือไม่ข้าก็ไม่รู้ ถึงจะไม่มีมันก็ต้องมีสมบัติจำนวนมากที่นั่น” พอเขาพูดจบ นำหินหยกออกมาโยนให้หวังหลิน
หวังหลินรับไว้และตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณก่อนจะส่งต่อให้หญิงชราชุดเขียว
“ข้าพบหินหยกที่นี่มาก่อน ดังนั้นข้าถึงได้มั่นใจ” ปรมาจารย์คังจงซื่อเอ่ยอย่างสงบนิ่ง ทว่าหลังจากเห็นได้ว่าสีหน้าแต่ละคนยังไม่เปลี่ยนไปและพวกเขาไม่ยอมสำรวจต่อ เขาจึงขมวดคิ้ว
“สหายเซียนจ้าว ตั้งแต่จุดนี้ไปข้าและสหายเซียนผางจะแบ่งปันส่วนอสูรที่เราฆ่าทั้งหมด ข้าสัญญาว่าเจ้าจะได้รับของสิบอย่างแรกจากตอนที่ข้าบอกไว้คราวก่อน”
หญิงชราชุดเขียวลังเลและเอ่ยถาม “เจ้ามั่นใจแค่ไหนในการเข้าไปสถานที่แห่งนั้น?”
ปรมาจารย์คังจงซื่อขบคิดและเอ่ยขึ้น “หากเจ้าและสหายหลิวช่วยเหลือ ข้ามั่นใจหกในสิบส่วน”
“ตกลง!” นางหลับตาชั่วขณะและพยักหน้า
ปรมาจารย์คังจงซื่อมองหวังหลินและเอ่ยขึ้น “สถานที่ที่ข้าและสหายเซียนจ้าวพูดถึงอยู่ในเขตชั้นในของดินแดนเจ็ดสี แม้มันจะอันตรายแต่เก็บเกี่ยวได้มหาศาล ตามเบาะแสที่ข้าพบ มีวิญญาณอสูรระดับแปดถึงสิบสามจำนวนหลายดวงที่ผนึกไว้ที่นี่ ข้าเตรียมสมุนไพรมามากพอ ตราบใดที่มีเวลาข้าสามารถสร้างเม็ดยาขึ้นจำนวนมากได้ หากสหายเซียนหลิวตกลง เจ้าเลือกสิบอย่างแรกก่อนได้เช่นกัน”
หวังหลินครุ่นคิดเงียบๆ ในความคิดเขาไม่มีทางที่เป้าหมายของคังจงซื่อจะเรียบง่าย ด้วยความเจ้าเล่ห์อีกจึงไม่มีทางที่เขาจะเผยเป้าหมายด้วย
ปรมาจารย์คังจงซื่อกล่าวต่อ “สหายเซียนหลิว ข้าสามารถพาเจ้าไปยังสถานที่ปลอดภัยที่มีอสูรหมอกและรวบรวมพลังดั้งเดิมทั้งหมดได้ อีกทั้งข้าจะไม่เอาอะไรเลยจากถ้ำของซือหม่าโม่”
“ให้ข้าได้ผลึกดั้งเดิมก่อน” หวังหลินมองปรมาจารย์คังจงซื่อ
“ได้เลย!” ปรมาจารย์คังจงซื่อไม่กล่าวอะไรอีกและมองรอบๆ เขาไม่ได้เดินลงบนถนนแคบๆต่อไปแต่เปลี่ยนทิศทาง ทั้งสามคนมุ่งหน้าออกไปไกล
ปรมาจารย์คังจงซื่อคุ้นเคยกับที่นี่ ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเขาก็มาถึงสถานที่อีกแห่งที่เต็มไปด้วยสายหมอก มีความน่ากลัวห่อหุ้มอยู่ในสายหมอกด้วย
หลังจากเข้ามาที่นี่ ปรมาจารย์คังจงซื่อระมัดระวังมากและเคลื่อนที่ช้าลง เมื่อห่างจากสายหมอกได้พันฟุตจึงหยุดลง ยื่นแขนขวาออกไปนำเอาหินหยกสวรรค์จำนวนมากหมุนรอบตัว จากนั้นปิดแขน หินหยกสวรรค์ทั้งหมดเปลี่ยนกลายเป็นฝุ่นผง
เขาสูดหายใจลึก สะบัดฝุ่นพวกนั้นเข้าหาสายหมอกอย่างระมัดระวัง
ชั่วขณะนั้นเสียงคำรามดังออกมาจาสายหมอกพร้อมกับมีอสูรเหมือนเต่ายื่นหัวออกมา มันสูดฝุ่นหยกสวรรค์เข้าไป
ปรมาจารย์คังจงซื่อนำหินหยกสวรรค์ออกมาอีก เขาบดสลายกลายเป็นฝุ่นและเอ่ยขึ้นเบาๆ “สหายเซียนผาง”
เซียนผางร่วมมือกับคังจงซื่อหลายครั้งและพุ่งเข้าไปในสายหมอกอย่างชำนาญ เต่าอสูรหมอกมองกลับหลังและลังเล แต่วินาทีนั้นมีฝุ่นหินหยกสวรรค์ลอยเข้ามา มันจึงกลืนกินทันที
พอหวังหลินเห็นแบบนี้ ดวงตาจึงส่องสว่างแต่สงบนิ่ง หลังจากนั้นไม่นานเซียนผางก็โผล่กลับออกมาจากสายหมอก ปรมาจารย์คังจงซื่อบดขยี้หยกสวรรค์ให้มากขึ้นและค่อยๆถอย
จนเมื่อเขาถอยห่างมาได้หมื่นฟุตจึงหยุดสลายฝุ่นหยกสวรรค์
“เท่าไหร่?” คังจงซื่อมองไปทางเซียนผาง
“น้อยกว่าสามพัน” เซียนผางยื่นกระเป๋าให้หวังหลินโดยไม่ลังเล
“อสูรระดับสิบสองบางตัวชอบกินหยกสวรรค์ เจ้าสามารถใช้หินหยกสวรรค์เพื่อให้ได้ผลึกดั้งเดิมมาบ้าง” หลังจากปรมาจารย์คังจงซื่อพูดขึ้น เขาก็นำทุกคนไปที่อสูรหมอกตัวอื่น
ใช้วิธีเดียวกันจึงทำให้พวกอสูรสับสนมากขึ้นและได้ผลึกดั้งเดิมกลับมาเกือบสองหมื่นชิ้น ปรมาจารย์คังจงซื่อหยุดแค่นั้นและกลับมาที่ถนนแคบๆสายหลัก
“ระหว่างทางกลับ ข้าจะให้ผลึกดั้งเดิมกับสหายเซียนหลิวมากขึ้นในเส้นทางอื่น คิดรวมกับที่ผ่านมาน่าจะมีผลึกดั้งเดิมทั้งหมดอยู่ราวหกหมื่นถึงเจ็ดหมื่นชิ้น”
“จงรู้ว่า ผู้จองจำแห่งเต๋าสวรรค์ สรรพสัตว์ทั้งหมดต้องทุกข์ทรมานกับภัยพิบัติที่ไม่อาจวัดได้ เพียงแค่คิดก็พันธนาการในส่วนลึกของจิตใจ รอคอยเส้นทางแห่งการฝึกฝน…” ข้อมูลจากหินหยกข้างๆโครงกระดูกดังสะท้อนในใจหวังหลิน เขามองดินแดนเจ็ดสีและพยักหน้าเงียบๆ