1196. ความลับของซือหม่าโม่
หวังหลินคว้าลิ่มเจ็ดสีและถอยด้วยการใช้แรงกระแทกช่วย เขาตกลงไปด้านล่างภูเขา อสูรเหยี่ยวสามตัวร้องคำรามไล่ตามมาดุจลำแสงสีดำสามสาย
หวังหลินพุ่งเข้าไปในอุโมงค์โดยไม่ลังเล อดทนต่อความเจ็บปวดจากร่างกายและมุ่งหน้าตรงไป
เสียงร้องคำรามของอสูรเหยี่ยวดังก้องในหูแต่ไม่ได้เข้ามาในอุโมงค์ พวกมันบินวนอยู่นอกถ้ำด้วยสายตาดุดัน ผ่านไปสักพักพวกมันก็ค่อยๆกลับไปที่ยอดเขาและเปลี่ยนกลายเป็นสายหมอกอีกครั้ง
หวังหลินค้นพบสถานที่ซ่อนตัวในอุโมงค์และนั่งลง วางเขตอาคมจำนวนมาก นำเม็ดยาออกมากลืนกินและเริ่มบ่มเพาะ
ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ร่างเทพโบราณไม่ได้มีแค่พลังอย่างเดียวเท่านั้น มันยังมีการฟื้นตัวที่น่าอัศจรรย์ด้วย ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงอาการบาดเจ็บก็กำลังฟื้นฟู
ทว่าหวังหลินไม่ได้ออกไปไหน เขานั่งโคจรพลังเทพโบราณให้แก่ทุกส่วนของร่างกาย ขณะที่กำลังฟื้นฟู พลังดั้งเดิมก็เคลื่อนผ่านร่างกายไปด้วย
เมื่อไร้ลิ่มเจ็ดสีแล้วจึงไม่มีอะไรหยุดการฟื้นตัวได้อีก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็ผ่านไปอีกสองวัน หวังลินลืมตาขึ้นเป็นประกายในอุโมงค์มืด ยืนขึ้นและขยับร่าง อาการบาดเจ็บแทบทั้งหมดได้รับการฟื้นตัวไปแล้ว วิญญาณดั้งเดิมไม่อ่อนแออีก พลังดั้งเดิมในร่างกายทั้งหมดฟื้นฟูจากการบ่มเพาะสองวัน
เขาอยู่ในระดับสูงสุดอีกครั้ง หากปรมาจารย์คังจงซื่อไม่บาดเจ็บ หวังหลินสามารถสู้ได้อีกครั้ง!
หวังหลินพุ่งออกไปผ่านทางดินและปรากฏตัวในหุบเขา สูดลมหายใจลึกและคิดถึงอันตรายที่พึ่งเผชิญหน้า สะบัดแขนขวาปรากฏลิ่มเจ็ดสีในฝ่ามือ
เขายังหวาดกลัวต่อลิ่มนี้อยู่ โชคดีที่มีร่างเทพโบราณซึ่งสามารถป้องกันไม่ทำให้กระดูกกลายเป็นเจ็ดสีในทันที มันช่วยชะลอความบ้าคลั่งหรือการขาดสติไปได้ ต้องขอบคุณร่างเทพโบราณที่เขาสามารถทนต่ออาการบาดเจ็บสาหัสเพื่อหยิบยืมพลังภายนอกมาบังคับให้ลิ่มออกมา
หากเป็นเซียนคนอื่นคงไม่สามารถทำแบบนี้ได้ ถึงแม้จะเป็นเซียนขั้นทลายสวรรค์ระดับปลายก็ตาม หากไร้ซึ่งร่างเทพโบราณแล้วก็คงตายอยู่ดี
‘ของชิ้นนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน ไม่เพียงแต่จะทำลายกระบี่เหล็กได้แล้วมันยังแทงร่างกายข้าได้ด้วย ข้ากลัวว่าหากกระบี่เหล็กขวางมันไม่ได้เลย คงแทงใส่กระดูกข้าไปตรงๆและเปลี่ยนให้กลายเป็นแสงเจ็ดสีในทันที’ หวังหลินจ้องมองลิ่มเจ็ดสีในมือ ส่งสัมผัสวิญญาณออกไปและทิ้งอักขระของตัวเองประทับเอาไว้
‘แม้ข้าจะเสียกระบี่เหล็ก ข้ากลับได้ลิ่มเจ็ดสีที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า มันจะกลายเป็นไพ่ตายข้าในอนาคต ซึ่งแม้แต่เซียนขั้นทลายสวรรค์ระดับกลางก็ต้องตาย!’
หวังหลินยื่นแขนขวาเปิดมิติเก็บของ นำเอาแหวนของผางเต๋อข่ายและวางไว้บนนิ้วโป้งซ้าย พลังป้องของกันของสมบัติชิ้นนี้เยี่ยมยอดมากและถือได้ว่าเป็นการป้องกันที่ดี
จากนั้นนำของชิ้นอื่นออกมา เป็นกระบี่สั้นที่ถูกแทงเข้าไปในกระดูกอสูรของถ้ำแห่งนั้น โชคร้ายที่ตอนนี้เขาไม่สามารถเปิดผนึกได้ ดังนั้นจึงเก็บกลับไปหลังจากมองดูได้แวบเดียว
สิ่งสุดท้ายที่นำออกมาคือวิญญาณแรกกำเนิดที่เป็นของปรมาจารย์คังจงซื่อ มันอ่อนแอแต่ยังมีท่าทีแข็งกร้าวและร้องคำรามใส่หวังหลิน
‘เจ้าสิ่งนี้น่าสนใจ’ หวังหลินพ่นพลังดั้งเดิมออกมาล้อมรอบมัน จากนั้นกลืนกินเข้าไปและให้หล่อหลอมในวิญญาณดั้งเดิมของเขา มันเหมือนจะเป็นวิญญาณแรกกำเนิดแต่ก็เหมือนสมบัติด้วย ช่างน่าประหลาด แม้หวังหลินจะไม่รู้ว่ามันมาจากไหน แต่มันขัดขวางเขาไม่ให้หลอมไม่ได้
หวังหลินกำลังจะหลอมด้วยวิญญาณดั้งเดิมและกวาดอักขระของคังจงซื่อออกไป จากนั้นมันก็จะกลายเป็นของหวังหลินซึ่งเขาสามารถศึกษามันได้
‘แม้ทั้งข้าและคังจงซื่อจะบาดเจ็บสาหัส ข้าเสียไปหนักหน่วงแต่ก็ได้มาเยอะเช่นกัน ขวดหยกที่มีของเหลวสีดำ ลิ่มเจ็ดสี วิญญาณโลหิตแรกกำเนิดและกระบี่ผลึก!’ หวังหลินสะบัดแขนปรากฏตรีศูลใมือ เขาสั่งให้กระบี่ผลึกเล็กๆลอยออกมา
พอคว้ากระบี่ไว้ กลิ่นอายสมบัติเทียมสวรรค์ดับสูญก็ปรากฏขึ้นมา แม้จะเทียบกระบี่เหล็กไม่ได้แต่พลังของมันไม่ใช่ธรรมดา
หลังจากจัดเรียงสมบัติ หวังหลินดวงตาส่องสว่าง จากสมบัติทั้งหมดของปรมาจารย์คังจงซื่อ หวังหลินเดาได้ไม่ยากว่าดินแดนเจ็ดสีแห่งนี้มีสมบัติอยู่จำนวนมาก สมบัติส่วนใหญ่ของคังจงซื่อต้องมาจากที่นี่ โดยเฉพาะลูกปัดที่สามารถเรียกใช้วิชาพวกนั้นได้
‘ที่นี่มันขุมทรัพย์สมบัติโดยแท้ หากปรมาจารย์คังจงซื่อเอาสมบัติมาได้ ถ้างั้นข้า…การต่อสู้ในอนาคตจะขึ้นอยู่กับว่าใครได้สมบัติที่แข็งแกร่งกว่าและมีเม็ดยาในการเพิ่มระดับบ่มเพาะ!’ หวังหลินเลียริมฝีปากและพุ่งเข้าไปในหุบเขาข้างหน้า
เป้าหมายแรกคือถ้ำของซื่อหม่าโม่จากความทรงจำของผางเต๋อข่าย!
ในความทรงจำของผางเต๋อข่ายนั้น หลังจากพวกเขาค้นพบถ้ำของซือหม่าโม่ก็ไม่ได้เปิดมันออกมาอย่างสมบูรณ์ เพียงแค่เปิดมาส่วนหนึ่งแทน ครั้งนี้พวกเขาเตรียมการมาเพื่อมาเอาอสูรวิญญาณและหลอมให้กลายเป็นเม็ดยา เมื่อระดับบ่มเพาะแต่ละคนเพิ่มขึ้นจะสามารถทะลวงเปิดถ้ำของซือหม่าโม่ได้อย่างสมบูรณ์
‘ถ้ำนั่นไม่ได้เปิดออกอย่างสมบูรณ์และยังไม่บุบสลาย!’ หวังหลินรีบเดินทางตามความทรงจำของผางเต๋อข่าย เคลื่อนร่างผ่านหุบเขาแต่ไม่ได้ไปกระตุ้นเขตอาคมเลยสักที่
สถานที่แห่งนี้กว้างใหญ่และหุบเขาเต็มไปด้วยเขตอาคม เขตอาคมส่วนใหญ่พังเสียหาย แม้จะมีถ้ำอยู่มากแต่ก็ล้วนว่างเปล่า
หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน หวังหลินหยุดลงด้านนอกหุบเขาแห่งหนึ่ง หุบเขาแห่งนี้ธรรมดามากแต่เมื่อเขาหลับตากลับรู้สึกถึงเจตนามืดมนเข้ามาในจิตใจ
หุบเขาเต็มไปด้วยวัชพืชและมีสัญญาณของเขตอาคมที่กำลังพังทลาย ที่แห่งนี้คือที่ตั้งของถ้ำซือหม่าโม่ในความทรงจำของผางเต๋อข่าย
หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียด หวังหลินจึงก้าวตรงไป พอใกล้ทางเข้าหุบเขาจึงหยุดลงและหรี่ตาแคบ วินาทีต่อมาแขนขวาสร้างผนึกยิงเขตอาคมออกไป
หุบเขาสั่นสะเทือนราวกับภาพวาดถูกหวังหลินฉีกกระชากและปลิวออกในพริบตา
หลายสิ่งเปลี่ยนไปเบื้องหน้า หุบเขาที่ดูธรรมดากลายเป็นสีม่วง วัชพืชบนพื้นถูกแทนที่ด้วยพื้นดินสีดำ แม้แต่ทางเข้าก็เปลี่ยนไป มีแสงสีดำป้องกันคนไม่ให้ก้าวไปข้างหน้า
บนหุบเขาแห่งนี้มีเขตอาคมอยู่สองชั้น ชั้นแรกคือภาพลวงตา ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนจะไม่มีวันเข้าไปข้างในถ้ำได้ ผางเต๋อข่ายและพรรคพวกต่างก็ติดอยู่ที่ชั้นแรก
ทว่าในสายตาหวังหลิน ด้วยความเข้าในด้านเขตอาคมเขาจึงมองทะลุออกได้ทันที ยกแขนขวาขึ้นมาเพื่อสร้างผนึกที่สองและจึงเผยรูปร่างจริงๆของถ้ำ
หวังหลินเผยรอยยิ้มพลางจ้องมองแสงสีดำ แสงสีดำนี้เป็นเหมือนผู้ปกป้องสถานที่ตอนที่คังจงซื่อเข้าไปเอาขวด มันต่างก็เป็นเขตอาคมแห่งเวลา!
หวังหลินวางแขนขวาออกไปและขบคิด ด้วยความเข้าใจด้านเขตอาคม เขาสามารถคาดคำนวณว่ามันมีอายุประมาณสองหมื่นปี แม้จะเทียบไม่ได้กับอันที่มีขวดหยก การทำให้แตกยังคงยากอยู่ดีแม้จะเสียสมบัติและเปิดด้วยกำลัง
พอเห็นลำแสงสีดำ หวังหลินเริ่มขบคิด ไม่นานหลังจากนั้นดวงตาก็ส่องสว่าง แขนขวาขยับออกไปปรากฏหินหยกก้อนหนึ่งในมือทันที หินหยกก้อนนี้เขาได้มาจากแผ่นดินป่าที่เป็นของซือหม่าโม่!
‘ข้าได้ของตกทอดของซือหม่าโม่บนแผ่นดินป่า ที่นี่ข้าได้เห็นถ้ำของซือหม่าโม่ ช่างน่าสนใจ…’ ท่าทางหวังหลินไม่เผยความยินดีหรือโกรธเกรี้ยวอะไร
เขาถือหินหยก ค่อยๆผลักมันเข้าหาแสงสีดำ วินาทีนั้นลำแสงก็เกิดการผันผวนรุนแรง ปรากฏระลอกคลื่นขึ้นมานับไม่ถ้วน ท้ายที่สุดแสงก็รวมกันเข้าหาหยกในมือหวังหลิน จากนั้นเกิดเสียงดังปัง แสงสีดำที่ไม่สามารถเปิดออกมาได้พลันเริ่มแตกสลายโดยมีหินหยกอยู่ตรงกลางและมีทางผ่านเปิดขึ้นมา
หวังหลินดวงตาส่องสว่างและขบคิด จากนั้นก้าวเข้าไปในช่องทางที่เปิดอยู่ หลังจากเข้ามาแล้วรอยแตกร้าวก็ปิดตัวลง ระลอกคลื่นหายไป ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ
ภาพมายาหนึ่งปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง หุบเขาสีม่วงกลับมาเป็นปกติ พื้นหินสีดำถูกปกคลุมด้วยวัชพืช ทุกอย่างกลับมาเหมือนก่อนที่หวังหลินจะมาถึง
หลังจากผ่านลำแสงสีดำไป สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าหวังหลินคือหุบเขาสีเขียวขจี หุบเขาแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่มาก กว้างราวพันฟุตเท่านั้น มีถ้ำจำนวนเก้าถ้ำอยู่บนภูเขารอบๆหุบเขา แต่ละถ้ำถูกผนึกด้วยก้อนหินหนึ่งก้อน
ในหุบเขามีโครงกระดูกร่างหนึ่งอยู่ในทุ่งหญ้า มันนั่งอยู่บนพื้นต้านกับผนังหุบเขาด้านหน้าหวังหลิน ศีรษะก้มลงเล็กน้อย นิ้วชี้ขวาชี้ไปที่พื้น
เบื้องหน้าร่างของมันมีหินหยกวางอยู่สามชิ้น
หวังหลินมองโครงกระดูกเงียบๆและหรี่สายตา โครงกระดูกเรืองแสงเจ็ดสีเจือจางเล็กน้อย
เขาค่อยๆเดินไปที่โครงกระดูกก่อนจะย่อตัวลงสำรวจอย่างละเอียด จากนั้นหยิบหินหยกแรกขึ้นมาส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไป
“…ข้าไม่คิดว่าข้าจะกลับมาที่นี่…ตอนนั้นอาจารย์ลุงข้าและข้าเองร่วมกับสหายสำนักหลายคนค้นพบรอยแยกลึกลับตามคำขอของเขา…รอยร้าวแห่งนี้ประหลาดมากและเต็มไปด้วยแสงเจ็ดสี มันสวยงามยิ่ง…น้องสาวหลงใหลกับแสงเจ็ดสีมากและข้าสัญญาว่าจะนำกลับไปให้นาง…”
“เราเข้ามาในรอยแยกและเจอกับฝันร้ายน่าสยดสยอง…ตอนนั้นข้าไม่อาจคาดการณ์อะไรได้เลย…”
“เราเข้ามาในส่วนลึกที่สุดและค้นพบตัวตนที่น่าหวาดหวั่น ความลับที่สามารถสั่นสะเทือนโลกแห่งเซียนได้ ไม่เพียงแค่ทะเลเมฆาของเรา แต่ยังรวมไปถึงทุกชั้นฟ้า อัญเชิญนทีและฟ้ากระจ่าง!”
“อย่างไรก็ตามมันสายเกินไป…เราทำลายความหวังด้วยมือของเราเอง…เรามันคนบาป…อาจารย์ขับไล่เราออกจากสำนัก ข้ารู้ว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่น ข้าจากสำนักมาพร้อมกับศิษย์ร่วมสำนักและกลายเป็นคนเร่ร่อนในสายหมอกของทะเลเมฆา พอมองไปที่สายหมอก ข้ารู้สึกกลัว…เพราะความลับนั่น…”
“ข้าไม่คิดว่าหายนะที่วัดไม่ได้แบบนั้นจะกลับมาในช่วงเวลาสิ้นหวังของเรา เราหนีอีกครั้งเพื่อกลับมาที่นี่…บางทีข้าคงไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้อีกกระมัง…มันยุติธรรมแล้วหรือ? ข้าเชื่อในโชคชะตาและข้าขอยอมแพ้แก่โชคชะตา…”