Skip to content

ฤทัยเทวา 3

Cover Rt For Web

Chapter 3

ป่าหิมพานต์

แพรพรรณลุกขึ้นจัดการปิดทีวีปิดไฟแล้วก็หิ้วถุงกระดาษเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนของตัวเอง เมื่อถึงห้องนอน เธอก็วางถุงกระดาษไว้บนโต๊ะทำงาน เธอเตรียมจะไปอาบน้ำแต่จู่ๆ ก็มีแสงสว่างเจิดจ้าสาดเข้ามาทางหางตา

“เอ๊ะ!…แสงอะไรน่ะ?” เธอหันไปมองที่มาของแสงนั้น แล้วเธอก็ตกใจยืนตะลึง!  “เฮ้ย!”

เธอเห็นใบจักรที่วางไว้บนโต๊ะข้างเตียงเปล่งแสงสีรุ้งเจิดจ้า แล้วใบจักรก็ค่อยๆ ลอยขึ้นจากแท่นวางพุ่งตรงมาหาเธอ

“เหวอ!” เธอตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ทั้งๆ ที่ใจสั่งให้วิ่งหนี ‘วิ่งซิ! วิ่ง!…’

แต่ร่างกายกลับไม่ยอมขยับเขยื้อนเลยแม้แต่นิดเดียว ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างอย่างตกใจสุดขีด พลัน! ใบจักรก็ลอยขึ้นไปอยู่เหนือศีรษะของเธอ แล้วใบจักรก็หมุนวนเร็วจี๋พร้อมกับเปล่งแสงสีรุ้งเจิดจ้าล้อมรอบเรือนร่างอรชรเอาไว้ แพรพรรณตกใจจนเป็นล้มล้มพับลงไป แล้วแสงสีรุ้งเจิดจ้าก็สว่างวาบแล้วจางหายไปพร้อมๆ กับเรือนร่างอรชร

กลางป่าหิมพานต์อันเต็มไปด้วยพฤกษานานาพันธุ์ สายธารนทีแห่งสีทันดร ขุนเขาสูงเสียดฟ้า และสรรพสัตว์หลากหลาย พลัน! จู่ๆ ก็ปรากฎแสงสีรุ้งสว่างวาบพร้อมๆ กับร่างของแพรพรรณซึ่งสลบไสลไม่ได้สติปรากฎขึ้น เหนือเรือนร่างระหงใบจักรหมุนวนเร็วจี๋ แล้วใบจักรก็ค่อยๆ หมุนช้าลงจนหยุดนิ่ง จากนั้นใบจักรก็ลอยหายเข้าไปในตัวของแพรพรรณ

“อือ” เปลือกตาคู่งามค่อยๆ กระพริบลืมตาขึ้น ภาพตรงหน้าดูเบลอๆ จนแพรพรรณต้องกระพริบตาหลายๆ ครั้ง ครั้นพอลืมตาขึ้นเห็นภาพตรงหน้าชัดเจนเธอก็กลอกตามองไปมาอย่างงุนงง ภาพแรกที่กระทบนัยน์ตาคือภาพสีเขียวของกิ่งไม้หนาทึบจนแสงตะวันไม่อาจส่องลอดลงมาได้

“เอ๊ะ!” เธอค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบๆ อย่างงุนงง

“ทำไมมีแต่ต้นไม้เต็มไปหมดเลยล่ะ? นี่ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย?”  เธอถามอย่างงงๆ

“นี่ฉันคงฝันไปอีกแล้วแหงๆ” เธอบอกตัวเองพลางนึกใจใจว่า ‘ช่วงนี้ฉันฝันได้ฝันดีซิน่า’

เธอลุกขึ้นยืนพลางมองไปรอบๆตัวอย่างงงๆ พลัน! เธอก็ได้ยินเสียงร้องดังขึ้น

“ฮือๆๆๆ…ปล่อยข้านะเจ้านักพรตชั่ว!” เสียงนั้นดังมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

“เอ๊ะ! เสียงอะไรน่ะ!?” แพรพรรณเงี่ยหูฟังอย่างสงสัย

“ปล่อยข้า! ฮือๆๆๆ…” เสียงร้องดังขึ้นอีก แพรพรรณจ้องมองต้นเสียงอย่างสงสัยแล้วรีบเดินไปดูทันทีเพราะเสียงที่ได้ยินน่าจะเป็นเสียงผู้หญิง เธอแหวกพุ่มไม้ออก แล้วเธอก็ได้เห็น… ผู้ชายคนหนึ่งสวมชุดสีขาวคล้ายพระสงฆ์ เขาแบกเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอยู่บนบ่า

“ฮือๆๆ…ปล่อยข้านะเจ้านักพรต…ฮือๆๆๆ…เจ้าจับข้ามาทำไม…ฮือๆๆๆ” เด็กหญิงทั้งดิ้นทั้งร้องน้ำตานองหน้า แล้วนักพรตคนนั้นก็โยนร่างของเด็กหญิงลงกับพื้นอย่างไร้ความปราณี ตุบ!

ร่างของเด็กน้อยกระแทกพื้นจนเด็กน้อยร้องออกมาด้วยความเจ็บ “โอ๊ย!”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” แพรพรรณตวาดลั่นพร้อมกับถลันเข้าไปหาเด็กน้อยทันที เธอโกรธจนตัวสั่นกับการกระทำอันป่าเถื่อนที่ได้เห็นเมื่อกี้นี้

“หืม!” นักพรตคนนั้นหันไปมองผู้ที่เข้ามาขวางอย่างตกใจ ส่วนเด็กหญิงก็ตกใจหยุดร้องไห้ทันที

“เจ็บมากไหมจ๊ะหนู?” แพรพรรณถามเด็กน้อยเสียงอ่อนโยนพร้อมกับดึงเด็กน้อยเข้าไปกอดอย่างต้องการจะปกป้อง นักพรตมองการกระทำนั้นอย่างไม่พอใจพร้อมกับตวาดลั่นอย่างโกรธจัด “เจ้าเป็นใคร!? ถอยไปนะ ไม่ใช่เรื่องของเจ้า!”

“ทำไมต้องทำร้ายเด็กด้วยห๊า!?” แพรพรรณหันไปตวาดใส่นักพรตอย่างโกรธจัด ทำให้นักพรตชะงักกึก! เมื่อได้เห็นหน้าคนที่เข้ามาขวางชัดเจน “เจ้าเป็นสตรีนี่!?”

นักพรตจ้องหน้าหญิงสาวอย่างลืมตัว “ช่างงดงามเสียจริง”

แล้วนักพรตก็เดินเข้าไปหาหญิงสาวพร้อมกับยื่นมือไปหมายจะลูบไล้ใบหน้างดงามหวานซึ้งอย่างลืมตัว

“เพี๊ยะ!” แพรพรรณรีบปัดมือนั้นทันที เธอตวาดลั่น “หยุดนะ! จะทำอะไรน่ะ?”

“เจ้าช่างงดงามยิ่งนักแม่หญิง” นักพรตบอกอย่างหลงไหล กริยาท่าทีเช่นนั้นทำให้แพรพรรณกลืนน้ำลายเอื๊อก!

ท่าทางไม่ดีแน่…

เธอรีบดึงเด็กหญิงถอยห่างทันที

“อย่าเข้ามานะ!” เธอตวาดลั่น ส่วนเด็กหญิงก็เกาะแพรพรรณแน่น

“พี่หญิง…ระวังนะ” เด็กหญิงบอกพลางซุกตัวเบียดหญิงสาวอย่างหวาดกลัว

“ข้าไม่เคยเห็นสตรีใดงดงามเช่นเจ้าเลย” แล้วนักพรตก็เดินย่างสามขุมเข้าหาทั้งสองคน ทำให้แพรพรรณและเด็กน้อยถอยกรู ทั้งสองคนกอดกันแน่นหน้าซีดเผือด

“หยุดนะ! อย่าเข้ามานะ!” แพรพรรณตวาดอีกครั้ง แต่เสียงตวาดห้ามนั้นกลับเหมือนจะยิ่งยั่วยุให้นักพรตสาวเท้าเข้าหาเร็วขึ้น

ฉับพลัน!…นั้นเอง…

“โฮกกกก!” เสือดำตัวใหญ่พุ่งกระโจนเข้าใส่นักพรต ตุ๊บ!

“เฮ้ย!” นักพรตตกใจล้มลงกับพื้น แล้วเสือดำตัวนั้นก็อ้าปากกว้างขบขย้ำลงบนช่วงไหล่ของนักพรต

“อ๊าก!” นักพรตร้องลั่นอย่างเจ็บปวด แล้วเสือดำก็คาบร่างของเหยื่อกระโจนหายเข้าไปในพุ่มไม้ สวบๆๆๆ…

“กรี๊ด!” แพรพรรณและเด็กน้อยกรีดร้องพร้อมกันด้วยความตกใจ ทั้งคู่กอดกันแน่น หน้าซีดเผือดอย่างหวาดผวาต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา แข้งขาอ่อนจนต้องทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง

“ฮือๆๆๆๆ” เด็กหญิงร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว ส่วนแพรพรรณก็ได้แต่ลูบหลังเด็กน้อยกอดปลอบประโลมทั้งๆ ที่ตัวเธอเองก็ตกใจขวัญหนีดีฝ่อเช่นกัน

“ไม่ต้องกลัวนะ ไม่มีอะไรแล้วนะ” เธอปลอบเด็กน้อย

จนกระทั่งเสียงสะอื้นหยุดลง เด็กหญิงเงยหน้ามองหญิงสาวทั้งน้ำตา

“ขอบใจพี่หญิงที่ช่วยเหลือข้า” เด็กน้อยพูดพลางยกหลังมือเช็ดน้ำตาบนใบหน้า

“พี่หญิงเป็นใครหรือ? เหตุใดจึงมาอยู่กลางป่าเขาเช่นนี้?” เด็กหญิงถามพร้อมกับมองตาแป๋ว

“เออ…พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันน่ะ”  แพรพรรณตอบแล้วก็มองไปรอบๆ ตัวอย่างงงๆ

“พี่หญิงไม่รู้!?”  เด็กหญิงทวนคำ วงหน้าจิ้มลิ้มน่ารักขมวดคิ้วแล้วถามว่า “พี่หญิงไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร? หรือพี่หญิงไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่กลางป่าหิมพานต์นี้ได้อย่างไรกันแน่?”

“อะไรนะป่าหิมพานต์?” แพรพรรณตกใจ เด็กหญิงพยักหน้า  “ก็ป่าหิมพานต์แห่งนี้น่ะซิพี่หญิง”

แพรพรรณตกตะลึงกับคำตอบ

“ป่าหิมพานต์?…นี่ฉันฝันเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้เชียวเหรอ?” เธอพึมพำ เด็กหญิงมองหญิงสาวอย่างไม่ค่อยเข้าใจแล้วแย้งว่า “พี่หญิงไม่ได้ฝันหรอก ที่นี่คือป่าหิมพานต์จริงๆ”

แล้วเด็กหญิงก็พูดว่า “หากพี่หญิงคิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ พี่หญิงก็จงหยิกเนื้อตัวเองดูเถิด ข้าเคยได้ยินเขาเล่ากันว่าหากไม่แน่ใจว่าเป็นความจริงหรือความฝันให้ลองหยิกเนื้อตัวเองดู หากรู้สึกเจ็บก็หมายความว่าไม่ได้กำลังฝันอยู่แน่”

แพรพรรณจึงลองหยิกแขนตัวเอง

“โอ๊ย! เจ็บง่ะ” เธอร้องพลางลูบแขนตัวเองป่อยๆ “นี่เราไม่ได้ฝันนี่! แล้วเรามาอยู่ที่นี่ได้ไงล่ะ โอ๊ย!…งงไปหมดแล้ว”

เธอมองไปรอบๆ ตัวอย่างหวาดหวั่นตื่นกลัว

“พี่หญิงใจเย็นก่อนเถิด” เด็กหญิงบอกทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรที่ดีไปกว่าคำๆ นี้ได้อีก พลัน! เด็กหญิงก็มีท่าทีเหมือนได้ยินเสียงอะไรซักอย่าง “พี่หญิง ข้าได้ยินเสียงน้ำ!”

“เสียงน้ำเหรอ!?” แพรพรรณเงี่ยหูฟังบ้าง “อืม…เสียงน้ำจริงๆ ด้วย”

“ข้าว่าใกล้ๆ นี่คงมีลำธารแน่ๆ” เด็กหญิงบอก “ข้าหิวน้ำเหลือเกินพี่หญิง”

ทำให้แพรพรรณรู้สึกตัวว่าตัวเองก็หิวน้ำเหมือนกัน “พี่ก็หิวน้ำเหมือนกันจ้ะ”

“ถ้างั้นเราลองไปดูกันนะพี่หญิง” เด็กหญิงชวน แพรพรรณพยักหน้าเห็นด้วย “จ้ะ”

แล้วเธอก็ลุกขึ้นยืน แต่พอก้าวเดินเธอก็ร้อง “โอ๊ย!”

“พี่หญิงเป็นอะไร?” เด็กหญิงถาม

“พี่เจ็บเท้าน่ะ สงสัยอะไรจะตำเท้าพี่แน่ๆ เลย” แพรพรรณตอบพร้อมกับยกขาหงายฝ่าเท้าขึ้นมาดู

“อูย…หนามตำนี่เอง” แล้วเธอก็ดึงหนามเหวี่ยงทิ้งไป เด็กหญิงมองเท้าของหญิงสาว แล้วก็ถามอย่างสงสัยว่า “พี่หญิงไม่มีเกือกหรือ?”

“เอ่อ…” แพรพรรณไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี แล้วเด็กน้อยก็หันไปเห็นเกือกของนักพรตตกอยู่ “นั่น! เกือกของไอ้นักพรตชั่วนี่!”

เด็กน้อยรีบวิ่งไปหยิบเกือกมาให้หญิงสาวทันที “พี่หญิงสวมเกือกนี่เถิด”

“ขอบใจจ้ะ” แพรพรรณบอกแล้วก็รับเกือกหนังสานเหมือนรองเท้าแตะคู่นั้นมาใส่อย่างจำใจ แม้จะหลวมไปบ้างแต่ก็ยังดีกว่าเดินเท้าเปล่าแน่ๆ

“ไปกันเถอะพี่หญิง” เด็กหญิงชวน

“จ้ะ” แพรพรรณพยักหน้าแล้วก็จูงมือเด็กน้อยพากันเดินไปตามเสียงน้ำที่ได้ยิน

“พี่หญิงมีนามว่าอะไรหรือ?”  เด็กน้อยถามแล้วก็บอกว่า “ข้ามีนามว่า…มณีรัตนา”

“มณีรัตนาเหรอ!”  แพรพรรณทวนแล้วก็ชมว่า “ชื่อเพราะจัง”

แล้วเธอก็แนะนำตัวเองว่า “พี่ชื่อแพรพรรณจ้ะ น้องเรียกพี่ว่าพี่พรรณก็ได้จ้ะ”

“จ้ะพี่พรรณ” เด็กหญิงรับคำ แล้วแพรพรรณก็ถามมณีรัตนาว่า “ทำไมน้องมณีรัตนาถึงถูกผู้ชายคนนั้นทำร้ายล่ะจ๊ะ?”

“ข้าถูกไอ้นักพรตชั่วจับตัวมาจ้ะ” มณีรัตนาตอบแล้วก็เล่าว่า “มันจะเอาข้าไปบัดพลีแด่เจ้าแม่กาลีเพื่อที่มันจะได้ขอพรจากเจ้าแม่ให้ตัวมันเป็นอมตะจ้ะ”

แพรพรรณฟังอย่างงง “บัดพลีเหรอ?”

“ใช่แล้วจ้ะ” มณีรัตนาพยักหน้าแล้วก็เล่าต่อ “มันจับตัวข้ามาเพื่อจะเอาข้าไปถวายเป็นเครื่องบัดพลีแด่องค์เจ้าแม่กาลีเพื่อให้ตัวมันเองได้รับพรที่จะทำให้มันเป็นอมตะได้จ้ะ”

แพรพรรณยังงงๆ ไม่เข้าใจว่าคำว่า ‘บัดพลี’ คืออะไร? พลัน! เธอก็นึกขึ้นได้ว่าพิธีบูชาเจ้าแม่กาลีนั้นทำยังไงจากสารคดีที่เคยดูในทีวี เธอตะลึง! นี่หมายความว่าไอ้คนเลวนั่นมันจะเอาตัวเด็กไปบูชายัญงั้นเหรอ…!?

“ทำไมมันถึงได้โหดเหี้ยมขนาดนี้!?” เธอหลุดปากออกมาอย่างไม่รู้ว่าจะหาคำใดเหมาะสมไปกว่านี้

“โชคดีจริงๆ ที่มันถูกเสือคาบไปซะก่อน ไม่งั้นป่านนี้พวกเราจะเป็นยังไงมั่งก็ไม่รู้นะน้องมณีรัตนา” เธอบอกแล้วก็พูดว่า “เออ…จริงซิ  น้องมณีรัตนา พี่ขอเรียกน้องว่า ‘รัตนา’ ได้ไหมจ๊ะ? คือชื่อน้องมันยาวจังเลยอ่ะ”

มณีรัตนานิ่งคิดครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้า “ได้ซิจ๊ะ”

แล้วเด็กหญิงก็ถามว่า “แล้วพี่พรรณล่ะจ๊ะ เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”

ดวงตากลมโตแป๋วแหว๋วจ้องมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย

“หรือว่าพี่พรรณอาศัยอยู่ใกล้ๆ นี้หรือจ๊ะ?”  เด็กหญิงคาดเดา ทำให้แพรพรรณนิ่งอึ้งไป เพราะเธอก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่พอสบตากับดวงตาแป๋วแหว๋วที่จ้องมองอย่างรอคำตอบทำให้เธอตัดสินใจตอบว่า “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ พี่จำได้ว่ากำลังจะไปอาบน้ำ แล้วจู่ๆ จักรที่คุณพ่อของพี่เพิ่งซื้อมาให้พี่เป็นของฝาก มันก็มีแสงออกมา แล้วมันก็พุ่งมาหาพี่ หลังจากนั้นพี่ก็จำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ ตื่นขึ้นมาก็มาอยู่ที่นี่ซะแล้ว”

มณีรัตนาฟังอย่างงงๆ ไม่เข้าใจที่หญิงสาวเล่าเลยแม้แต่น้อย เด็กหญิงจึงเบือนหน้าไปมองทางข้างหน้าแทน ดวงตากลมโตแป๋วแหว๋วเบิกกว้างอย่างดีใจ

“นั่น!…น้ำ!”  เด็กหญิงอุทานอย่างตื่นเต้น

“น้ำ!”  มือเล็กๆ กระตุกแขนแพรพรรณอย่างตื่นเต้นดีใจ

“มีน้ำจริงๆ ด้วยพี่พรรณ” เด็กหญิงพูดแล้วก็วิ่งตรงเข้าไปหาลำธารเล็กๆที่เห็นอยู่เบื้องหน้า แพรพรรณรีบตามไป

พอถึงริมลำธาร ทั้งคู่ก็วักน้ำขึ้นมาดื่มอย่างกระหาย เมื่อได้ดื่มน้ำจนอิ่มแล้วทั้งคู่ก็วักน้ำล้างหน้าล้างตา หลังจากได้ล้างหน้าจนสดชื่นแล้วแพรพรรณก็เดินไปนั่งบนโขดหิน “นี่เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงนะ?”

เธอมองไปรอบๆ อย่างงงๆ เธอบอกตัวเองว่ากำลังฝันไปแน่ๆ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับจับต้องได้จนไม่อาจจะหลอกตัวเองต่อไปได้อีกว่ากำลังฝันอยู่ ความเจ็บปวดที่ฝ่าเท้าจากแผลหนามตำก็เจ็บแปล๊บๆ ทุกครั้งที่ก้าวเดิน เตือนให้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้มันคือความจริง เธอหันไปมองเด็กหญิงอย่างชัดๆ เป็นครั้งแรก

ร่างกลมป้อมสวมเสื้อคล้ายๆ เสื้อคอกระเช้าสีเหลืองอ่อน เนื้อผ้าดูแวววาวเหมือนผ้าไหม กับผ้าถุงสีแดงสลับทองคล้ายกับผ้าไหมทอสลับกับดิ้นทอง ตามแขนขาเล็กๆ กลมป้อมสวมกำไลทองข้างละวง เวลาเดินจึงกระทบกันส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง รอบคอของเด็กน้อยสวมห่วงทองวงหนึ่ง บนศีรษะเล็กทุยเกล้ามวยผมไว้แล้วครอบด้วยที่ครอบทองคำปักยึดกับมวยผมด้วยปิ่นทองอีกทีหนึ่ง

เส้นผมบางส่วนหลุดลุ่ยจากมวยผมลงมายาวจรดเอว สวมรองเท้าหนังสานสีน้ำตาลปักดิ้นทองเป็นลวดลายดอกไม้งดงาม  ดูจากการแต่งตัวของมณีรัตนาแล้วทำให้รู้ทันทีว่า…เด็กหญิงคนนี้ต้องเป็นลูกคนรวยแน่ๆ

“พี่พรรณ ข้าอยากอาบน้ำเหลือเกิน” มณีรัตนาบอกพร้อมกับมองตาแป๋วเหมือนกับจะขออนุญาต แพรพรรณพยักหน้า “อยากอาบน้ำก็อาบซิจ๊ะน้องรัตนา”

พอได้ยินเช่นนั้นมณีรัตนาก็ยิ้มแป้น รีบเปลื้องผ้าออกจนเหลือแต่ตัวล่อนจ้อน แล้วร่างเล็กกลมป้อมค่อยๆ ลงไปนั่งในแอ่งน้ำตื้นๆ มือเล็กๆวักน้ำล้างตัวขัดถูคราบดินคราบเหงื่อไคลออกจากร่าง แล้วก็หันมาเรียก “พี่พรรณ ท่านก็ลงมาอาบน้ำด้วยกันเถิด น้ำใสเย็นสบายนัก”

“จ้าน้องรัตนา” แพรพรรณตอบแล้วก็ถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกบ้าง เพราะเธอนั่งมองเด็กหญิงอาบน้ำแล้วก็นึกอยากอาบน้ำขึ้นมาเหมือนกัน แล้วเรือนร่างระหงเปลือยเปล่าก็ลงไปลอยคอแหวกว่ายอยู่ในสายธารใสสะอาดอีกแอ่งหนึ่งซึ่งลึกกว่าแอ่งที่เด็กน้อยนั่งอาบอยู่

พออาบน้ำเสร็จ ทั้งคู่ก็เดินขึ้นฝั่งมาสวมเสื้อผ้าของตัวเอง แล้วมณีรัตนาก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้แพรพรรณ “พี่พรรณ ตัวท่านห๊อม…หอมยิ่งนัก”

แพรพรรณอึ้ง! เอ…มีคนบอกว่าเราตัวหอมอีกคนแล้วซิ

“จ๊อก!…” เสียงท้องของมณีรัตนาร้อง เด็กหญิงก้มหน้าอายๆ พลางกระตุกแขนหญิงสาว “พี่พรรณ ข้าหิวแล้วล่ะ”

“น้องรัตนาหิวเหรอ?” แพรพรรณถามพลางมองใบหน้ากลมป้อม มณีรัตนาพยักหน้าทำตาละห้อย

“เอาไงดีล่ะ?” แพรพรรณพึมพำกับตัวเอง เธอมองไปรอบๆตัว พลัน! เธอก็เหลือบไปเห็นดงกล้วยริมลำธาร มีกล้วยอยู่หลายเครืออ่อนบ้างแก่บ้าง มีเสียงนกร้องจิกตีแย่งอาหารอยู่ในดงกล้วย เธอชี้มือไปที่ดงกล้วยพร้อมกับบอกว่า “น้องรัตนา พี่ว่าคงมีกล้วยสุกแน่ๆ เลย เราลองไปดูกันเถอะ”

“จ้ะพี่พรรณ” มณีรัตนาพยักหน้าแล้วก็เกาะมือหญิงสาวเอาไว้ ทั้งคู่เดินตรงไปที่ดงกล้วยริมลำธาร มีกล้วยหลายเครือสุกเหลืองอร่าม บ้างก็สุกงอมจนหล่นเกลื่อนพื้น มีนกหลายตัวกำลังจิกตีแย่งอาหารกันอยู่ พอพวกมันได้ยินเสียงสวบสาบเข้าไปใกล้ พวกมันก็บินพรึ่บขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างระแวงภัย แพรพรรณเขย่งตัวเอื้อมมือไปหักกล้วยที่สุกแล้วส่งให้เด็กหญิง “นี่จ้ะน้องรัตนา”

มณีรัตนารับกล้วยมาแล้วก็ปอกเปลือกกินอย่างหิวโหย แพรพรรณก็หักกล้วยมากินบ้าง จนกระทั่งกล้วยหมดไปเกือบหวีทั้งคู่จึงอิ่มแปล้

“พี่พรรณ ข้าอยากกลับบ้าน” มณีรัตนาบอกน้ำเสียงละห้อย ใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราเศร้าสร้อยจนน่าเวทนา

“อยากกลับบ้าน?” แพรพรรณนิ่งคิด ‘อ้าว!…จะทำไงดีล่ะ?’

เธอมองใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพลาที่เริ่มทำตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้แล้วก็รู้สึกสงสาร “แล้วบ้านของน้องรัตนาอยู่ที่ไหนล่ะ?”

มณีรัตนาตอบว่า “อยู่อมรานคร”

แล้วเด็กหญิงก็อ้อนวอนว่า “พี่พรรณ ท่านช่วยพาข้าไปส่งที่วังด้วยเถิด”

แล้วเด็กหญิงก็เริ่มร้องไห้ “ฮือๆๆๆ”

“อ้าว…ร้องไห้ซะแล้ว” แพรพรรณมองอย่างสงสาร

“เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งร้องไห้นะ” เธอรีบห้ามแล้วก็ถามว่า “อมรานครอยู่ที่ไหนล่ะ? พี่ก็ไม่รู้จักแล้วพี่จะพาน้องไปส่งบ้านได้ยังไงล่ะ?”

เธอเกาหัวตัวเองแกร๊กๆ ทำหน้ายุ่ง ‘ทำไงดีล่ะ…’

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!