Chapter 6
เจ้าชาย!
แล้วเขาก็ลูบศีรษะเล็กทุยอย่างปราณี มณีรัตนารีบยกมือไหว้ “ขอบใจท่านที่เมตตาต่อข้า”
แล้วพญานาคก็หันไปพูดกับหญิงสาวว่า “เจ้าเป็นสตรีที่งดงามยิ่งนัก แม้เจ้าจะพรางกายด้วยอาภรณ์แห่งบุรุษก็ไม่อาจจะบิดเบือนความเป็นหญิงของเจ้าไปได้ เจ้าจงรับสิ่งนี้ไปเถิด”
แล้วพญานาคก็แบมือยื่นไปตรงหน้าหญิงสาว พลัน! ก็ปรากฏเกล็ดนาคราชขึ้นกลางฝ่ามือ
“รับไปซิ” เขาบอก แพรพรรณแบมือรับ เกล็ดนาคราชลอยลงสู่อุ้งมือเรียวเสลาแล้วก็กลายเป็นสร้อยมรกตเปล่งแสงระยิบระยับ
“อุ๊ย!” เธอตกใจเกือบจะปล่อยมือจากสร้อยทันที
“ไม่ต้องตกใจไปหรอก เจ้าจงสวมสร้อยเส้นนี้ไว้ เกล็ดแห่งข้าจะช่วยบันดาลให้เจ้ากลายเป็นชาย หากเจ้าต้องการกลับคืนสู่ร่างเดิมก็เพียงแค่ถอดออก เจ้าก็จะกลายเป็นหญิงเช่นเดิม” พญานาคบอกอย่างปราณี แพรพรรณจึงคิดจะลองสวมดู เพียงแค่นึกเท่านั้นสร้อยก็พุ่งวาบไปสวมอยู่บนลำคอระหงพร้อมกับแสงสีเขียวมรกตสว่างวาบ
“อุ๊ย!” เธอตกใจ ยกมือลูบคลำสร้อยบนคอตัวเองอย่าง อึ้ง…ทึ่ง…ตะลึง แล้วสร้อยมรกตก็กลายสภาพเป็นเชือกถักสีเขียวเพื่อพรางตาผู้คน เพราะหากโจรผู้ร้ายเห็นสร้อยสูงค่าอาจจะนำภยันตรายมาสู่เจ้าของก็เป็นได้
“และอีกข้อหนึ่งที่เจ้าควรจะรู้ไว้ เกล็ดแห่งข้าสามารถป้องกันภยันตรายจากไฟและน้ำได้เช่นเดียวกันกับที่ข้ามอบให้เจ้าเด็กน้อย และหากพวกเจ้าต้องการให้ข้าช่วยเหลือสิ่งใด เจ้าจงเอ่ยนามแห่งข้า…มธุราชนาคา แล้วข้าจะปรากฎกายต่อหน้าพวกเจ้า” พญานาคบอกอ่อนโยน แต่ยามเอ่ยถึงนามของตนเสียงนั้นกลับอหังการอย่างภาคภูมิใจ แล้วเขาก็ชี้ไปทางทุ่งหญ้าพลางบอกว่า “พวกเจ้าจงเดินไปทางนี้ จะพบเมืองแห่งมนุษย์”
เขาหันไปยิ้มให้ทั้งสองคนอย่างปราณี “ข้าต้องไปแล้ว ลาก่อนเจ้ามนุษย์น้อย”
“ขอบคุณค่ะที่ช่วยเหลือพวกเรา” แพรพรรณยกมือไหว้ มณีรัตนารีบไหว้ตาม “ขอบพระคุณท่านยิ่งนัก ข้าจะไม่ลืมพระคุณของท่านเจ้าค่ะ”
พลัน! ร่างของมธุราชนาคาก็เปล่งแสงสีเขียวมรกตอีกครั้งแล้วก็หายวับไป ทั้งสองคนได้แต่ยืนมองอย่างตะลึง!
‘พระเจ้าช่วย! นี่ถ้าเอาไปเล่าให้ใครเขาฟังว่าหลุดไปอยู่ในป่าหิมพานต์ ได้เห็นนกยักษ์ ได้เจอพญานาค เขาคงหาว่าเราบ้าแน่ๆ’ แพรพรรณนึกในใจแล้วก็ถอนหายใจ “เฮ้อ…”
เธอก้มมองดูตัวเองพลางลูบคลำไปตามร่างกาย ซึ่งจับดูแล้วก็ไม่เห็นจะแตกต่างอะไรมาก นอกจากหน้าอกอวบอิ่มที่เคยมีหายไปเท่านั้นเอง นอกนั้นก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“น่าจะมีกระจกนะเนี่ย จะได้ส่องดูว่าพอเป็นผู้ชายแล้วเป็นยังไงบ้างนะ” เธอเปรยเบาๆ มณีรัตนาโผกอดหญิงสาวไว้แล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าคงจะต้องตายแน่แล้วเสียอีกนะพี่พรรณ”
เด็กหญิงเหลือบมองฝ่ามือของตัวเองข้างที่ได้รับเกล็ดนาคราชพลางพูดว่า “กลับกลายเป็นว่าท่านพญานาคช่วยพาพวกเรามาส่งแล้วยังมอบเกล็ดนาคราชให้พวกเราอีก”
“นั่นซินะ ทีแรกพี่ก็คิดว่าคงตายแน่ๆ เลย เฮ้อ…ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะได้มีโอกาสเจอพญานาคด้วย” แพรพรรณพูดแล้วก็ลูบสร้อยที่คอ “พี่ว่าพวกเราเดินทางกันต่อเถอะนะ”
มณีรัตนาพยักหน้า “จ้ะพี่พรรณ แดดร่มลมตกด้วยซิ”
แล้วสองสาวต่างวัยก็ออกเดินทางไปตามทางที่มธุราชนาคาบอก ทั้งสองเดินผ่านทุ่งหญ้าคาจนมายืนอยู่ริมหน้าผาเตี้ย
“พี่พรรณดูซิ นั่นเมืองนี่จ๊ะ” มณีรัตนากระตุกแขนหญิงสาวพลางชี้ไปที่เมืองเบื้องล่างอย่างตื่นเต้น แพรพรรณมองลงไปยังเมืองเล็กๆที่แวดล้อมไปด้วยขุนเขา
“มีเมืองจริงๆด้วย” เธอตื่นเต้นเช่นกัน พลัน! เธอก็นึกขึ้นมาในใจ ‘เอ…จะเป็นเมืองแบบไหนกันนะ?’
“พวกเรารีบเข้าเมืองเถิดพี่พรรณ ข้าอยากรู้ยิ่งนักว่าที่นั่นคือเมืองใด” มณีรัตนาเร่งน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ สองสาวต่างวัยจึงหาทางลงจากหน้าผา ทั้งคู่ค่อยๆ เดินไต่ไปตามทางเล็กๆ มีต้นไม้ขึ้นประปรายพอให้ใช้เกาะยึด ครั้นเมื่อลงจากหน้าผาแล้วทั้งสองก็มุ่งหน้าเข้าเมืองทันที
จนกระทั่งไปถึงหมู่บ้านนอกกำแพงเมือง ทั้งสองเดินไปตามทางในหมู่บ้าน บ้านแต่ละหลังเป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูงเหมือนกับหมู่บ้านตามชนบททั่วไป แพรพรรณและมณีรัตนาชะเง้อมองหันซ้ายหันขวาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ชาวบ้านหันมองคนต่างถิ่นพร้อมกับยิ้มให้ด้วยท่าทางเป็นมิตร
“พ่อหนุ่มแม่หนู” หญิงชราคนหนึ่งเรียกทั้งสอง
“สวัสดีค่ะคุณยาย” แพรพรรณไหว้หญิงชรา หญิงชรามองอย่างประหลาดใจ “พ่อหนุ่มพูดจาประหลาดนัก พวกเจ้ามาจากเมืองใดรึ?”
“เอ่อ…คือว่า” แพรพรรณอึ้ง!
“ท่านยายจ๊ะคือว่าพวกข้าหลงทางมา ที่นี่คือเมืองใดหรือจ๊ะ” มณีรัตนาถาม หญิงชรามองเด็กหญิงอย่างเอ็นดู “ที่นี่คือพนมนครจ๊ะแม่หนู”
แล้วหญิงชราก็เอื้อมมือไปลูบศีรษะเด็กหญิงอย่างเอ็นดู แล้วก็หันไปพูดกับหนุ่มน้อยว่า “พวกเจ้าหลงทางมาคงจะยังไม่รู้ซินะว่าที่นี่กำลังจะเกิดศึกสงครามในเร็ววันนี้แล้ว ข้าว่าพวกเจ้ารีบออกไปจากเมืองนี้โดยเร็วเถิด”
“อะไรนะ! สงครามเหรอ!?”
“จะเกิดศึกสงครามหรือท่านยาย!?”
แพรพรรณกับมณีรัตนาอุทานพร้อมกัน
“ก็พวกหิรัญคีรีน่ะซิ ยกทัพใหญ่มามากมาย ใกล้จะประชิดชายแดนพนมนครในอีกวันสองวันนี้แล้วล่ะ” หญิงชราบอกแล้วก็หดมือกลับ
“หิรัญคีรีหรือท่านยาย!?” มณีรัตนาถามอย่างงุนงง “ก็ไหนพระอาจารย์เคยบอกว่าหิรัญคีรีเป็นมิตรกับพนมนครไม่ใช่หรือจ๊ะ? เหตุใดจึงจะสู้รบกันเสียล่ะจ๊ะท่านยาย?”
หญิงชราถอนหายใจ “เฮ้อ…”
แล้วก็เล่าว่า “เมื่อก่อนน่ะใช่ พนมนครกับหิรัญคีรีเป็นมิตรกัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้วล่ะแม่หนู ตั้งแต่ราชาองค์ใหม่ขึ้นครองเมือง ก็ประกาศตัวเป็นศัตรูกับหิรัญคีรี ทำให้พวกหิรัญคีรียกทัพมามากมาย หมายจะตีเมืองฆ่าราชาองค์ใหม่”
“เอ๋…ราชาพนมไพศาลทรงสวรรคตเสียแล้วหรือท่านยาย?” มณีรัตนาถามอย่างอยากรู้
“ไม่ใช่หรอกจ้ะแม่หนู องค์ราชาพนมไพศาลกับพระโอรสหายตัวไประหว่างออกล่าสัตว์ ปุโรหิตมหินธาจึงเข้ายึดอำนาจก่อ…” หญิงชราเล่ายังไม่ทันจบก็มีเสียงตวาดว่า “อีแก่! มึงอยากตายนักหรือถึงได้กล่าวหาว่าองค์ราชามหินธาก่อการกบฎเช่นนี้!?”
“เอ๊ะ!” แพรพรรณกับมณีรัตนาหันไปมองทันที
“โอ๊ะ! หมื่นหาญ” หญิงชราตกใจ กลัวจนตัวสั่น ผู้ที่ถูกเรียกว่าหมื่นหาญเดินปรี่เข้ามาหน้าตาถมึงทึง พอเดินมาถึงก็ฟาดหลังมือตบหน้าหญิงชราทันที เพี๊ยะ!
“โอ๊ย!” หญิงชราล้มถลาลงกับพื้น
“ท่านยาย!”
“คุณยาย!”
สองสาวต่างวัยร้องเรียกพร้อมกัน แพรพรรณถลันเข้าไปขวางทันที
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เธอตวาดใส่อย่างลืมตัว ส่วนมณีรัตนาก็ถลันเข้าไปประคองหญิงชราซึ่งนั่งกุมแก้มอยู่กับพื้น
“ท่านยาย ท่านเจ็บมากไหม?” เด็กหญิงถาม
“ไอ้หนุ่มไม่ใช่เรื่องของเอ็ง! อย่าเสือก!” หมื่นหาญตวาดใส่พลางชี้หน้าผู้ที่กล้าเข้ามาขวางอย่างเอาเรื่อง
“ทำไมต้องทำร้ายคุณยายด้วย!?” แพรพรรณตวาดใส่อย่างไร้ความเกรงกลัว เธอโกรธเลือดขึ้นหน้าที่เห็นคนแก่ถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตา ‘ป่าเถื่อนที่สุด!’
“หือ” หมื่นหาญประหลาดใจที่หนุ่มน้อยไม่มีท่าทางกลัวเขาเลยแม้แต่น้อย ดวงตาเหี้ยมจึงกวาดตามองสำรวจคนตรงหน้า
“ไอ้หนุ่ม เอ็งคงเป็นคนต่างถิ่นล่ะซิจึงได้ไม่รู้จักข้า…หมื่นหาญ” เขาถามแล้วก็มองหนุ่มน้อยตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ท่านหมื่นขอรับ หรือว่ามันเป็นทหารของหิรัญคีรีที่เข้ามาสืบความ?” ทหารคนหนึ่งที่มาด้วยกันรีบบอก ทำให้หมื่นหาญหัวเราะลั่น “ฮ่าๆๆ รูปร่างอย่างไอ้หนุ่มนี่หรือจะเป็นทหารของหิรัญคีรี ถุย!”
เขาถ่มน้ำลายอย่างดูแคลน “เอ็งดูมันให้ชัดๆ ซิ ผอมแห้งปานนี้หรือจะเป็นทหารได้ แล้วเอ็งดูซิผิวมันขาวเสียยิ่งกว่าสตรีเสียอีก หากมันเป็นทหารได้ ข้าคงเป็นพระราชากระมัง ฮ่าๆๆๆ”
“ท่านหมื่นขอรับ หรือว่ามันจะเป็นไส้ศึก?” ทหารอีกคนบอก หมื่นหาญหรี่ตาลง “ไส้ศึกงั้นรึ?…อาจจะเป็นไปได้”
“มันต้องเป็นไส้ศึกแน่ขอรับท่านหมื่น ยามศึกสงครามประชิดติดชายแดนเช่นนี้คนต่างถิ่นที่ไหนจะกล้าเข้ามาขอรับ” ทหารคนที่สองบอก
ระหว่างที่ทหารทั้งสามคุยกัน มณีรัตนาก็พยุงหญิงชราให้ลุกขึ้น “ท่านยายลุกไหวไหมจ๊ะ?”
“ไหวจ้ะแม่หนู” หญิงชราตอบพร้อมกับค่อยๆลุกขึ้นยืน
“ท่านหมื่นขอรับ ไอ้หนุ่มคนนี้หน้าตามันงามนัก รูปร่างมันก็ดูอ้อนแอ้น ข้าว่าหากพวกเราเอาตัวมันไปให้องค์ราชามหินธา พระองค์คงจะตบรางวัลให้พวกเราอย่างงามแน่ขอรับ” ทหารคนแรกกระซิบกับหมื่นหาญ ทำให้หมื่นหาญตาลุกวาว
“จริงซิ องค์ราชาทรงโปรดหนุ่มๆ หน้าตางดงาม ไอ้หนุ่มนี่คงจะทำให้ข้าได้รางวัลมากโขเชียวล่ะ” หมื่นหาญกระซิบตอบ สายตาเหี้ยมจับจ้องที่หนุ่มน้อยตรงหน้าอย่างมีเลศนัย แล้วเขาก็ร้องตะโกนสั่งลูกน้องทั้งสองคนว่า “จับมันไว้ มันต้องเป็นไส้ศึกแน่”
“เอ๋…” แพรพรรณอุทานอย่างงงๆ ‘อะไรง่ะ!?’
จู่ๆ ก็มาหาว่าเธอเป็นไส้ศึกซะงั้น!
“พี่พรรณ ระวัง!” มณีรัตนาบอกเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดี
“พ่อหนุ่ม…แย่แน่” หญิงชราอุทานแล้วก็รีบปลีกตัวออกห่างทันที แล้วทหารทั้งสองคนก็เข้ามาจับแขนของหนุ่มน้อยคนละข้าง
“เอ๊ะ! อะไรเนี่ย มาจับฉันไว้ทำไม? ปล่อนฉันนะ” แพรพรรณพยายามสลัดแขนให้หลุดจากการจับกุม
“ยอมให้จับกุมเสียดีๆ ไอ้หนุ่ม ข้าจะจับเอ็งไปให้องค์ราชามหินธาทรงสอบสวนด้วยพระองค์เอง หากเอ็งไม่ใช่ไส้ศึกก็จงอย่าได้ขัดขืน ยอมให้พวกข้าจับกุมแต่โดยดีเถิด หากเอ็งไม่ใช่ไส้ศึกก็คงจะได้รับการปล่อยตัวในไม่ช้านี้ล่ะ” หมื่นหาญประกาศก้อง แล้วลดเสียงลงพูดกับหนุ่มน้อยว่า “หึๆๆๆ แต่เอ็งคงถูกองค์ราชาทั้งสอบ…ทั้งสวน…จนทวาร…บานเป็นแน่ ฮ่าๆๆ”
เขาพูดแล้วก็หัวเราะ ทำให้ลูกน้องทั้งสองหัวเราะตาม “ฮ่าๆๆๆ”
แพรพรรณได้ฟังก็ทำหน้างงๆ ในตอนแรกแต่พอคิดได้… เธอก็ทำหน้าสยอง! ‘อึ๋ย!…อย่าบอกนะว่า…องค์ราชาที่ว่าเนี่ยเป็น……… กรี๊ด!…ไม่นะ!’
“ปล่อยฉันนะ!” เธอสะบัดแขนสุดแรง ทหารทั้งสองคนไม่ทันระวังจึงเผลอหลุดมือ
“เฮ้ย!” ทหารทั้งสองรีบจับตัวหนุ่มน้อยอีกครั้ง
พลัน! พลั่ก!
“โอ๊ะ!” ทหารคนหนึ่งถูกถีบเข้ากลางหลังจนถลาไปปะทะกับหมื่นหาญ “เฮ้ย!”
ส่วนทหารอีกคนก็ถูกแพรพรรณถีบเข้าที่ท้องเต็มแรง พลั่ก!
จนลงไปนั่งจุกแอ๊ก! “อุ๊ก!”
“ตามข้ามาทางนี้เร็ว!” เด็กหนุ่มคนหนึ่งบอกพร้อมกับคว้าแขนของคนต่างถิ่นทั้งสอง เด็กหนุ่มคนนี้ก็คือคนที่ถีบทหารคนแรกนั่นเอง!
สองสาวต่างวัยจึงรีบวิ่งตามเด็กชายไปทันที เขาพาเลี้ยวเข้าไปในตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่ง เขาพาเลี้ยวซ้ายทีเลี้ยวขวาทีอย่างชำนาญพื้นที่จนมาโผล่ยังป่าละเมาะแห่งหนึ่ง พอเห็นว่าไม่มีใครตามมาแล้วเขาก็หยุดวิ่ง “ไม่มีใครตามมาแล้วล่ะ”
สองสาวต่างวัยก็หยุดวิ่งเช่นกัน สำหรับตัวแพรพรรณเพียงแค่เหนื่อยหอบเล็กน้อย แต่สำหรับมณีรัตนานั้นกลับเหนื่อยหอบจนหายใจแทบไม่ทัน ใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราแดงก่ำเหงื่อท่วมตัวจนเสื้อผ้าเปียกชุ่ม เด็กหญิงทรุดตัวลงนั่งพักทันที “แฮ่กๆๆ”
“เป็นยังไงมั่งน้องรัตนา?” แพรพรรณรีบเข้าไปถามอย่างเป็นห่วง
“พวกเจ้ามาจากแคว้นใดหรือ?” เด็กชายถามพร้อมกับจ้องมองชายหนุ่มกับเด็กหญิงอย่างสงสัย แพรพรรณอึ้ง! “เอ่อ…”
“ข้าไม่เป็นไรจ้ะพี่พรรณ” มณีรัตนาตอบปนหอบ แล้วก็หันไปมองเด็กชายซึ่งดูแล้วน่าจะอายุมากกว่าตัวเอง “พวกข้าหลงทางผ่านมาจ้ะพี่ชาย”
พอได้ฟังคำตอบ เด็กชายก็ถามว่า “แล้วพวกเจ้ามีกิจธุระใดที่พนมนครหรือ?”
“พวกข้าไม่ได้มีกิจใดที่เมืองนี้หรอกท่าน ข้ากับพี่พรรณหลงทางผ่านมาเท่านั้นจ้ะ” มณีรัตนาตอบ เด็กชายนิ่งคิด แล้วพูดว่า “อืม…ถ้าเช่นนั้นค่ำนี้พวกเจ้าคงยังไม่มีที่พัก”
เด็กชายคาดเดา เด็กหญิงรีบตอบอย่างไม่ยี่หร่ะ “ข้ากับพี่พรรณเดินทางผ่านมา ค่ำไหนก็นอนนั่น คืนนี้พวกข้าก็คงหาที่นอนเอาแถวไหนสักแห่งนั่นแหละพี่ชาย”
พอได้ยินเด็กหญิงหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราบอกเช่นนั้น เด็กชายจึงออกปากเชื้อเชิญว่า “ถ้าเช่นนั้นคืนนี้พวกเจ้าไปพักที่บ้านของข้าเถิด ข้ารู้สึกถูกชะตากับเจ้าจึงอยากจะสนทนากับพวกเจ้าอีกซักหน่อย พวกเจ้าคงไม่ปฏิเสธน้ำใจไมตรีของข้าหรอกนะ”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเด็กชายจึงรู้สึกถูกชะตากับเด็กหญิงคนนี้ยิ่งนัก
สองสาวต่างวัยนิ่งอึ้งไปเมื่อถูกดักคอเช่นนี้ เพราะถ้าปฏิเสธก็เท่ากับหักหน้าเด็กชาย
“พี่ชายท่านพูดเช่นนี้ ข้ากับพี่พรรณจะปฏิเสธได้อย่างไรกัน” มณีรัตนาพูดแกมประชดพร้อมกับยิ้มให้เด็กชาย
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็ตามข้ามาเถิด” เด็กชายบอกแล้วก็เดินนำไปทันที แพรพรรณหันไปช่วยพยุงมณีรัตนาให้ลุกขึ้น มณีรัตนากระซิบว่า “จะทำเช่นไรดีจ๊ะพี่พรรณ?”
แพรพรรณสบตากับมณีรัตนาแล้วก็มองตามเด็กชายไปพลางนิ่งคิด ‘เอ…จะเอาไงดีล่ะ…?’
แล้วเด็กชายก็เดินย้อนกลับมายืนกอดอกมองทั้งสองอย่างไม่ค่อยพอใจที่ทั้งสองมัวแต่ชักช้าพร้อมกับพูดว่า “หรือพวกเจ้าอยากจะอยู่รอไอ้พวกทหารเมื่อกี้นี้ก็ตามแต่ใจพวกเจ้าเถอะ ข้าไปล่ะ”
สองสาวต่างวัยมองตากัน ‘อึ๊ย!…อยู่รอพวกนั้นเหรอ ไม่เอาด้วยหรอก’
แพรพรรณจับมือมณีรัตนาพลางพยักหน้า “ไปกันเถอะจ้ะน้องรัตนา”
“จ้ะพี่พรรณ” มณีรัตนาพยักหน้า แล้วสองสาวต่างวัยก็เดินตามเด็กชายไป
“ข้ามีนามว่าวัชระ” เด็กชายหันไปบอก มณีรัตนาจึงรีบบอกว่า “ข้ามีนามว่ามณีรัตนา ส่วนพี่ข้ามีนามว่าพรรณจ้ะพี่ชาย”
แพรพรรณเห็นเด็กทั้งสองคุยกันเธอจึงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ปล่อยให้มณีรัตนาเป็นคนพูด
“มณีรัตนาหรือ นามของเจ้าไพเราะยิ่งนัก” วัชระชม มณีรัตนายิ้มที่ถูกชม วัชระพาทั้งสองเดินลัดเลาะไปตามป่าละเมาะ
จนกระทั่งไปถึงเรือนของเขา หน้าเรือนมีบ่าวไพร่ 4 คน ยืนถือหอกดาบเฝ้าอยู่ พอบ่าวไพร่เห็นวัชระเดินมาก็พากันคุกเข่าลง
“เจ้าชายเสด็จกลับมาแล้ว” บ่าวคนหนึ่งตะโกนบอก แพรพรรณและมณีรัตนาชะงักกึก! “เอ่อ…”
ทั้งสองมองไปที่เด็กชายเขม็ง
“เจ้าชาย!” ทั้งสองอุทานลั่น
“พวกเจ้าตามข้ามาเร็วๆ เข้าเถอะ” เจ้าชายวัชระทรงเร่งแล้วเสด็จเข้าไปภายใน แพรพรรณและมณีรัตนาจึงรีบตามเสด็จเจ้าชายแห่งพนมนครไปอย่างงุนงง
“ท่านคือเจ้าชายวัชระแห่งพนมนครหรือนี่?” มณีรัตนาจ้องมองอย่างไม่คาดคิดว่าจะได้มาเจอกับเจ้าชาย แล้วเด็กหญิงก็พูดว่า “ก็ไหนท่านยายบอกว่าท่านหายไประหว่างล่าสัตว์อย่างไรล่ะ?”
“ฮึ!…หายไปหรือ น่าขันนัก!” เจ้าชายวัชระตรัสประชดแล้วตรัสว่า “ไอ้ปุโรหิตนั่นมันลอบปลงพระชนน์เสด็จพ่อของข้าระหว่างออกล่าสัตว์ต่างหาก แต่เป็นเพราะพระบุญญาธิการของเสด็จพ่อของข้ายังไม่ถึงคราวแตกดับจึงทรงรอดมาได้ แต่ก็ทรงบาดเจ็บสาหัสนัก ข้ากับเหล่าข้าราชบริพารที่ตามเสด็จในครั้งนั้นจึงพาเสด็จพ่อหลบหนีมารักษาตัวอยู่ที่นี่”
เจ้าชายวัชระตรัสอย่างเจ็บแค้น
“เจ้าชายเสด็จกลับมาแล้ว เสด็จออกไปข้างนอกอีกแล้วนะเพคะ” เสียงต่อว่าดังขึ้นพร้อมกับร่างของสตรีสูงวัยเดินแกมวิ่งมา แต่เจ้าชายวัชระกลับไม่ใส่ใจคำพูดนั้น เขาหันไปมองแว๊บนึงแล้วก็ตรัสกับชายหนุ่มและเด็กหญิงว่า “นี่ขุนท้าวแจ่มศรี แม่นมของข้า”
แพรพรรณและมณีรัตนาไหว้ขุนท้าวแจ่มศรีด้วยกริยาอ่อนน้อม ขุนท้าวแจ่มศรีจ้องมองทั้งสองคนอย่างสงสัย