Chapter 9
ปุโรหิตหนีไปได้!
ตึกๆๆๆ— แพรพรรณใจเต้นโครมคราม
“ตายแล้ว! นี่เราไปกอดเค้าได้ไงอ่ะ น่าขายหน้าที่สุด!” เธอพึมพำอย่างอายจัด แต่พอเห็นว่าคนถูกกอดยังไม่ตื่นก็โล่งใจ “เฮ้อ…ดีนะที่เขายังไม่ตื่น นี่ถ้าเขารู้ว่าเรานอนกอดเค้าล่ะก็…อึ๋ย!…คงมองหน้ากันไม่ติดแน่”
แล้วเธอก็รีบลุกจากฟูกนอนเดินไปเปิดประตูห้องออกไปข้างนอกทันที ราชาอัคนีลืมตามองตามร่างผอมบางไปอย่างนึกเสียดาย “เฮ้อ…”
คิดในใจอย่างสับสน ‘เหตุใดข้าจึงไม่นึกรังเกียจเดียจฉันท์ยามที่เจ้าหนุ่มกอดข้าเล่า หรือข้ากำลังจะวิปริตเป็นดังเช่นเจ้าปุโรหิตนั่นงั้นรึ…?’
แพรพรรณเดินลงจากเรือนไปจนถึงศาลากลางน้ำ เธอยืนมองดูดอกบัวสีแดงบานไสวรับแสงอรุณ พอหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ แก้มก็ร้อนซู่!
‘แย่ที่สุดเลย! เป็นสาวเป็นนางไปนอนกอดผู้ชายอย่างงั้นได้ไงอ่ะ ถึงเค้าจะไม่รู้ว่าเราเป็นผู้หญิงก็เหอะ น่าอายที่สุดเลย! แย่ๆๆๆๆ’ เธอด่าตัวเองในใจ
“เจ้าตื่นแต่เช้าเชียว” เสียงทุ้มกังวานทรงอำนาจดังขึ้นข้างหลัง ทำให้แพรพรรณรีบหันไปมอง
“อ่ะ!” เธอตะลึง! เมื่อคนที่อยู่ในห้วงความคิดมายืนอยู่ข้างหลังโดยไม่รู้ตัว
“ข้าตื่นมาไม่เห็นเจ้าจึงตามหา ที่แท้เจ้าก็มาอยู่ที่นี่เอง” ราชาอัคนีตรัสน้ำเสียงราบเรียบ
“คือว่า…เอ่อ…คือว่า…ดิฉันตื่นแล้วก็เลยลงมาเดินเล่นค่ะ” แพรพรรณตอบตะกุกตะกักก้มหน้าหลบตา ราชาอัคนีแกล้งทำเฉยกับท่าทีเขินอายทั้งๆ ที่นึกขันอยู่ในใจ ‘หึๆๆๆ เจ้าหนุ่มนี่ช่างเขินอายได้น่ามองยิ่งกว่าสตรีเสียอีก’
แล้วเขาก็เสด็จไปยืนอยู่ข้างร่างผอมบางพลางยกมือขึ้นกอดอกด้วยท่วงท่าสง่างาม
“บัวยามเช้าช่างงดงามนัก” เขาเปรยขึ้นพร้อมกับมองดอกบัวในสระ “บัวงามเช่นนี้นี่เองจึงทำให้เจ้าตื่นแต่เช้านัก”
เขาละสายตาจากดอกบัวไปมองใบหน้างดงาม
“เอ่อ…ค่ะ” แพรพรรณไม่รู้ว่าจะพูดว่าอะไรดี เธอลอบมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ พลางนึกในใจ ‘เขาจะรู้ไหมนะว่าเราเผลอกอดเขาเมื่อคืน’
แต่พอเห็นท่าทีเฉยๆ เธอก็ลอบถอนหายใจ “เฮ้อ…”
‘คงไม่รู้หรอก’
“พี่พรรณ ท่านอยู่นี่เอง” เสียงใสดังขึ้นข้างหลัง ทำให้ทั้งสองคนหันไปมอง
“น้องรัตนา ตื่นแล้วเหรอ?” แพรพรรณทักพลางเดินเข้าไปหาร่างน้อยกลมป้อม
“ข้าตื่นมาไม่เห็นใครสักคน ที่แท้พวกท่านก็มาอยู่กันที่นี่เอง” มือน้อยกลมป้อมเอื้อมไปจับมือเรียวสวย
“เจ้าพี่!…แย่แล้วพะย่ะค่ะ!” เจ้าชายวัชระวิ่งหน้าตื่นเข้ามา ทำให้ทั้งสามคนหันไปมองเป็นตาเดียว
“มีอะไรหรือวัชระ?” ราชาอัคนีถามพลางเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
“ไอ้ปุโรหิตเฒ่ามันให้ทหารออกมาป่าวประกาศว่าหากข้ากับเสด็จพ่อไม่ยอมเข้ามอบตัวก่อนตะวันตกดินมันจะประหารเสด็จแม่พะย่ะค่ะ” เจ้าชายวัชระรีบกราบทูล “จะทำเช่นไรดีพะย่ะค่ะเจ้าพี่?”
เขากระวนกระวายใจ ไม่รู้จะตัดสินใจประการใดดี? ‘หากมอบตัวก็เท่ากับยอมตาย แต่หากไม่ยอมมอบตัว…เสด็จแม่ก็คงจะถูกมันสังหารแน่’
“ข้าคิดไว้แล้วว่ามันจะต้องกระทำเช่นนี้แน่” ราชาอัคนีบอก แล้วตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็จงยอมเข้ามอบตัวเพื่อจะล่อให้มันหลงกลเถิด ข้าเตรียมแผนไว้แล้ว”
เจ้าชายวัชระมองราชาอัคนีอย่างงงๆ แต่เมื่อเห็นสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นของราชาแห่งหิรัญคีรีผู้เกรียงไกรก็เบาใจว่าราชาผู้เกรียงไกรคงสามารถจัดการทุกอย่างได้แน่ๆ แพรพรรณกับมณีรัตนาได้แต่ยืนมองเฉยๆ ไม่สามารถออกความเห็นอะไรได้เพราะไม่รู้เรื่องอะไรซักอย่างกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้
“ปฐพี วายุ จงมาหาข้าเดี๋ยวนี้” ราชาอัคนีเรียกเสียงดังลั่น พลัน! ก็เกิดสายลมหมุนวนเบื้องหน้าราชาอัคนี แล้วสายลมก็สลายไปกลายเป็นวายุหนึ่งในขุนพลคนสนิท พร้อมกับแผ่นดินเบื้องหน้าราชาผู้เกรียงไกรก็แยกตัวออก ชายคนหนึ่งก้าวขึ้นมาจากรอยแยกนั้น เขาคือ ‘ปฐพี’ อีกหนึ่งขุนพลคนสนิทแห่งหิรัญคีรี
“เหวอ!” แพรพรรณตกใจจนแทบสิ้นสติ ‘พระเจ้าช่วย!…อะไรมันจะพิลึกพิลั่นขนาดนี้!’
“กรี๊ดดดด—” ส่วนมณีรัตนาก็กรี๊ดลั่นโผเข้ากอดหญิงสาวทันที
“ถวายบังคมพระเจ้าข้า”
“ถวายบังคมพระเจ้าข้า”
สองขุนพลคุกเข่าเบื้องหน้าราชาอัคนี ราชาอัคนีสั่งว่า “ปฐพีเจ้าไปกับข้าและวัชระ ส่วนวายุ เจ้าจงลอบเข้าไปช่วยพระมเหสีพิมพการะหว่างที่ข้ากับวัชระกำลังหลอกล่อเจ้าปุโรหิต”
“พระเจ้าข้า” ปฐพีและวายุรับพระบัญชา แล้วราชาอัคนีก็หันไปตรัสกับหนุ่มน้อยและเด็กหญิงว่า “ส่วนพวกเจ้าสองคนก็รออยู่ที่นี่ ข้าจัดการกับเจ้าปุโรหิตชั่วได้แล้วข้าจะส่งคนมารับเข้าวัง”
พอตรัสเสร็จก็เสด็จไปทันที เจ้าชายวัชระกับสองขุนพลจึงรีบตามเสด็จไป แพรพรรณและมณีรัตนาได้แต่มองตามอย่างงุนงง เจ้าชายวัชระตะโกนสั่งให้บ่าวไพร่จูงม้าออกมา แพรพรรณและมณีรัตนาจึงรีบเดินตามทั้งสี่ไป ครั้นพอบ่าวไพร่จูงม้ามาให้ ราชาอัคนีก็ตวัดตัวขึ้นหลังม้า พร้อมกับเจ้าชายวัชระและสองขุนพล ทั้งสี่คนชักม้าเตรียมจะออกวิ่ง แพรพรรณและมณีรัตนารีบเรียก “เดี๋ยวก่อนค่ะ”
“เดี๋ยวก่อนเพคะ”
ราชาอัคนีและเจ้าชายวัชระจึงหันไปถามพร้อมกันว่า “มีอะไรหรือ?”
“เจ้าชายจะเสด็จไปเพียงแค่สี่คนหรือเพคะ?” มณีรัตนาถามพลางทำหน้าสงสัย แพรพรรณก็รีบถามเช่นกัน “ฝ่าบาทจะเสด็จไปแค่นี้เหรอเพคะ?”
ราชาอัคนีมองทั้งสองคนแล้วถามว่า “ก็ใช่น่ะซิ พวกเจ้ามีอะไรหรือ?”
“แล้วกองทัพกองทหารล่ะคะ” แพรพรรณรีบถามอย่างเป็นห่วง
“จะไปช่วยพระมเหสีพิมพกาหากเอาคนไปมากๆ เจ้าปุโรหิตชั่วมันจะยิ่งระวังตัว” ราชาอัคนีบอกแล้วถามว่า “พวกเจ้าเป็นห่วงหรือ?”
ทั้งสองรีบพยักหน้าพร้อมกัน “ค่ะ”
“เพคะ”
ราชาอัคนีหัวเราะแล้วตรัสว่า “หึๆๆๆ พวกเจ้าอย่าได้กังวลใจไป เจ้าปุโรหิตนั่นไม่ครณามือข้าหรอก”
“เอ่อ…ถ้างั้นก็ระวังตัวด้วยนะเพคะ” แพรพรรณพูด แล้วก็สบตากับสายตาคมกล้า แล้วเธอก็บอกอีกว่า “ขอให้พระองค์ปลอดภัยเพคะ”
เพียงได้ยินถ้อยคำแสดงความห่วงใยจากหนุ่มน้อยร่างบาง ก็ทำให้ใจของราชาแห่งหิรัญคีรีปราบปลื้มยินดี ทรงแย้มยิ้มให้หนุ่มน้อยแล้วตรัสว่า “ขอบใจสำหรับความห่วงใยที่เจ้ามอบให้ข้า ข้าจะจดจำไว้ไม่มีวันลืม ข้าต้องปลอดภัยกลับมาแน่ พวกเจ้าไม่ต้องห่วงหรอก”
แล้วเขาก็หันไปตรัสกับผู้ตามเสด็จทั้งสามว่า “ไปกันได้แล้ว”
จากนั้นเขาก็ชักม้าออกวิ่ง อีกสามคนรีบตามเสด็จไป แพรพรรณและมณีรัตนาได้แต่มองตามด้วยความเป็นห่วง จนกระทั่งทั้งสี่คนควบม้าลับตาไปแล้วแพรพรรณจึงชวนมณีรัตนากลับเข้าเรือน
ราชาอัคนี เจ้าชายวัชระ ปฐพีและวายุควบม้าไปถึงหน้าประตูวัง เจ้าชายวัชระตะโกนบอกทหารที่ยืนยามอยู่หน้าประตูวัง “ไอ้ปุโรหิตชั่ว ข้ามาแล้วอย่างไรล่ะ จงรีบออกมาเสียโดยไว ไม่เช่นนั้นข้าจะตามไปบั่นคอเจ้าถึงที่นอนเอง”
“เจ้าชายวัชระมาแล้ว รีบไปกราบทูลราชามหินธาเร็วเข้า” ทหารที่อยู่บนป้อมเหนือประตูวังตะโกนบอกต่อๆ กันไป ราชาอัคนี เจ้าชายวัชระและสองขุนพลนั่งรอบนหลังม้าครู่ใหญ่ สักพักบนป้อมเหนือประตูวังก็มีเสียงดังวุ่นวาย “รีบเดินไปซิ!”
“หนีไปซะวัชระ ไม่ต้องห่วงแม่” พระมเหสีพิมพกาตะโกนบอก
“เสด็จแม่!” เจ้าชายวัชระรีบมองขึ้นไปบนป้อม พระมเหสีพิมพกาถูกกระชากผมลากขึ้นไปบนป้อมอย่างน่าเวทนา แล้วผู้ชายคนที่กระชากผมของพระมเหสีก็พูดว่า “เจ้าชาย หากเจ้าอยากจะช่วยเสด็จแม่ของเจ้าก็ลงจากหลังม้ายอมให้ทหารจับกุมเสีย”
“ไอ้มหินธา เจ้าจงปล่อยเสด็จแม่ของข้าเดี๋ยวนี้!” เจ้าชายวัชระตะโกนสั่งอย่างโกรธจัด ปุโรหิตมหินธากระชากพระมเหสีพิมพกาผลักให้ยืนจนชิดกำแพงป้อมพร้อมกับตวัดดาบพาดคอของพระมเหสีเอาไว้
“พวกเจ้าจงลงจากหลังม้าแล้วยอมให้ทหารจับกุมเสีย มิฉะนั้นข้าจะบั่นคอพระมเหสีเสียเดี๋ยวนี้!” ปุโรหิตตะโกนสั่งเสียงกร้าว
“อย่ายอมมันนะวัชระ เจ้าหนีไปเสียไม่ต้องห่วงแม่ แม่ยอมตายดีกว่าเห็นเจ้าถูกฆ่า!” พระมเหสีพิมพกาตะโกนบอกเด็ดเดี่ยวอย่างใจแข็ง นางพร้อมจะยอมสละชีวิตของตัวเองเพื่อลูก
“เสด็จแม่!” เจ้าชายวัชระสงสารพระมารดายิ่งนัก ราชาอัคนีขยับม้าเข้าไปชิดเจ้าชายวัชระแล้วกระซิบว่า “วัชระทำตามแผนเร็วเข้า”
เจ้าชายวัชระเหลือบมองราชาอัคนีแล้วแกล้งตะโกนว่า “อย่าทำอะไรเสด็จแม่นะไอ้มหินธา ข้ายอมแล้ว”
เขาโหนตัวลงจากหลังม้าลงไปยืนบนพื้นดิน ราชาอัคนีกับสองขุนพลก็ตวัดตัวลงจากหลังม้าเช่นกัน ปุโรหิตมหินธากระหยิ่มยิ้มย่องอย่างสมใจ “ดีมาก ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าก็จงทิ้งดาบแล้วยอมให้ทหารจับกุมซะ แล้วข้าจะปล่อยพระมเหสี”
“ทิ้งดาบแล้วรอคำสั่งจากข้า” ราชาอัคนีกระซิบสั่ง พลางปลดดาบโยนทิ้งไปเบื้องหน้า ตุบ!
เจ้าชายวัชระและสองขุนพลรีบทำตาม ตุบ!ๆๆ
พอเห็นว่าอีกฝ่ายโยนดาบทิ้งแล้วปุโรหิตก็รีบตะโกนสั่งทหารลั่น “ทหารจับพวกมันเอาไว้ แล้วเอาพวกมันไปขังไว้ในคุกหลวง”
ทหารกรูกันออกไปล้อมจับเจ้าชายวัชระกับผู้ติดตาม ซึ่งทั้งสี่ก็แกล้งยอมให้ถูกจับอย่างง่ายดาย ทหารรีบเอาเชือกมัดทั้งสี่คนเอาไว้ ปุโรหิตมหินธาเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะลั่นอย่างดีใจที่จับตัวเจ้าชายและผู้ติดตามได้อย่างง่ายดาย “ฮ่าๆๆๆ”
แล้วปุโรหิตเฒ่าก็ลดดาบลงจากลำคอของพระมเหสีเก็บเข้าฝัก ราชาอัคนีรอจังหวะอยู่แล้วก็กระซิบสั่งว่า “ลงมือได้”
พลัน! ก็เกิดลมพายุหนุนรุนแรง พัดรอบผู้ถูกจับกุมตัวทั้งสี่คน
“เฮ้ย!…ลมอะไรวะ!?” ทหารแตกตื่นระส่ำระส่าย กระแสลมรุนแรงขนาดสามารถฉุดกระชากให้ปลิวขึ้นไปบนฟ้าได้ พวกทหารรีบก้มตัวลงแนบพื้นเอามือป้องหน้าป้องตากันฝุ่น แล้วลมพายุก็แยกตัวออกเป็นสองสาย สายหนึ่งยังคงหมุนวนรอบคนทั้งสี่เอาไว้พร้อมกับสายลมนั้นบาดเชือกที่มัดตัวทั้งสี่คนจนขาดสะบั้น ส่วนอีกสายหนึ่งก็หมุนคว้างพุ่งตรงไปบนป้อมทันที
“เฮ้ย!…ลมอะไรกันวะ!?” ปุโรหิตมหินธาตกใจ รีบยกแขนบังฝุ่นไม่ให้เข้าตา แล้วกระแสลมหมุนก็พัดกระชากหอบเอาพระมเหสีพิมพกาลอยขึ้นไปด้านบน “ว๊าย!”
“เฮ้ย!” ปุโรหิตตกใจ! รีบคว้าตัวพระมเหสีเอาไว้ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว สายลมหอบพระมเหสีลอยไปหาเจ้าชายวัชระ วายุยื่นมือไปรับพระมเหสี
“ขอประทานอภัยพะย่ะค่ะพระมเหสี” เขาทูลก่อนจะถูกเนื้อต้องตัวพระมเหสีแล้วก็ประคองนางให้ยืนดีๆ
เจ้าชายวัชระโผเข้ากอดพระมารดาทันที “เสด็จแม่! ทรงเจ็บตรงไหนบ้างไหมพะย่ะค่ะ?”
“วัชระ! ลูกแม่…ฮือๆๆ” พระมเหสีกอดพระโอรสแน่น น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างดีใจ ปุโรหิตมหินธาเสียท่าถูกชิงตัวพระมเหสีไปได้ก็คลั่งแค้นใจยิ่งนัก ตะโกนสั่งเสียงเหี้ยมว่า “ทหาร! ฆ่าพวกมันให้หมด”
ทหารทั้งหมดต่างกรูเข้าไปล้อมเจ้าชายวัชระกับผู้ติดตาม ราชาอัคนีมองทหารเหล่านั้นดั่งมดปลวก
“วายุ เจ้าคอยคุ้มครองพระมเหสีกับเจ้าชาย ส่วนปฐพีเจ้าจัดการกับพวกทหาร ข้าจะไปจัดการกับเจ้าปุโรหิตเอง” เขาสั่งแล้วเหาะลอยขึ้นไปบนป้อม พริบตาเดียวก็ไปยืนต่อหน้าปุโรหิตเฒ่าอย่างสง่างามน่าเกรงขาม ปุโรหิตมหินธาพอได้เห็นหน้าคนที่เหาะขึ้นมาก็ตกใจ! “ราชาอัคนีแห่งหิรัญคีรี!”
น้ำเสียงสั่นอย่างเกรงกลัวบารมีของราชาแห่งหิรัญคีรี
“ยังจำข้าได้หรือเจ้าปุโรหิต?” ราชาอัคนีถามน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม พลางหรี่ตาจ้องดุจพยัคฆ์จ้องเหยื่อ
“เอื๊อก…” ปุโรหิตมหินธาลอบกลืนน้ำลายพลางมองหาทางหนีทีไล่ เพราะรู้ตัวดีว่าไม่อาจจะสู้กับราชาแห่งหิรัญคีรีได้ ขืนสู้ก็ตายแน่!
แล้วปุโรหิตเฒ่าก็ตะโกนก้องว่า “พี่มหิศวร…ช่วยข้าด้วย—”
พลัน! ก็มีควันสีดำพวยพุ่งขึ้นจากพื้นล้อมรอบร่างของปุโรหิตมหินธาเอาไว้ พอควันสีดำจางหาย…ปุโรหิตเฒ่าก็อันตรธานหายไป
“ฮึ่ม! ข้าประมาทไปหน่อย มันจึงหนีรอดไปได้” ราชาอัคนีจ้องพื้นว่างเปล่าตรงหน้าอย่างเจ็บใจ
หลังจากราชาอัคนีและเจ้าชายวัชระพร้อมกับสองขุนพลไปแล้ว แพรพรรณและมณีรัตนาก็ถูกขุนท้าวแจ่มศรีเชิญไปอาบน้ำอาบท่าแล้วก็กินข้าวกินปลา พอกินข้าวเสร็จแล้วทั้งสองก็เดินไปนั่งรอฟังข่าวที่ศาลากลางน้ำ
“พี่พรรณ พวกเราจะทำอย่างไรต่อไปล่ะจ๊ะ?” มณีรัตนาถามแล้วก็ทำหน้าเศร้า “ข้าอยากกลับบ้าน ข้าคิดถึงเสด็จพ่อเสด็จแม่”
“โธ่…อย่าทำหน้าเศร้าอย่างนั้นซิจ๊ะน้องรัตนา พวกเราต้องได้กลับบ้านแน่จ้ะ เพียงแต่ตอนนี้รอให้สงครามมันสงบลงก่อนนะจ๊ะ” แพรพรรณปลอบ แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่า “เออ…จริงซิน้องรัตนา แล้วพวกเราควรจะไปทางไหนต่อล่ะจ๊ะ? จู่ๆ ท่านพญานาคก็พาพวกเรามาที่นี่ พี่ก็เลยหลงทิศซะแล้วล่ะ น้องรัตนาพอจะรู้ไหมจ๊ะ?”
เธอมองหน้าผู้ร่วมทางตัวน้อยอย่างรอคำตอบ
“อ๋อ…รู้จ้ะพี่พรรณ” มณีรัตนาตอบ แพรพรรณถอนหายใจอย่างโล่งอก “เฮ้อ…”
“ขณะนี้พวกเราอยู่ที่พนมนคร” มณีรัตนาบอกพลางใช้นิ้วจิ้มน้ำในจอกมาวาดแผนที่บนตั่ง “อมรานครอยู่ทางทิศพายัพของพนมนครจ้ะ ก่อนจะถึงอมรานครพวกเราจะต้องผ่านจันทรานครก่อนจ้ะ” เด็กหญิงชี้บอก แพรพรรณมองแผนที่บนตั่งพยายามจดจำให้ขึ้นใจ เอาล่ะ…อย่างน้อยตอนนี้เธอก็รู้แล้วว่าควรจะไปทางทิศไหน เหลือก็แค่รอให้สงครามจบลงเท่านั้น
“เฮ้อ…ไม่รู้ว่าป่านนี้พวกนั้นจะเป็นยังไงมั่งนะ” เธอพึมพำอย่างกังวลใจ พลอยทำให้มณีรัตนากังวลใจไปด้วย พวกบ่าวไพร่ก็เหมือนกัน ต่างกังวลใจกระวนกระวายจนไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไร เฝ้าเดินวนเวียนรอฟังข่าวอยู่หน้าเรือนกันสลอน
พลัน! เสียงฝีเท้าม้าก็ดังขึ้น ทำให้ทั้งสองหันไปมองทางต้นเสียง
“พี่พรรณ…เสียงม้า! พวกเรารีบไปดูกันเถอะจ้ะ” มณีรัตนาบอกอย่างตื่นเต้น
“อื้ม…” แพรพรรณพยักหน้า แล้วทั้งสองก็ผุดลุกอย่างว่องไวจับมือกันไว้ แล้วก็พากันเดินแกมวิ่งไปที่หน้าเรือน
“ชนะแล้ว! เจ้าชายทรงชนะแล้ว!” เสียงตะโกนดังลั่น
“เฮ้!” บรรดาบ่าวไพร่ นางกำนัลต่างไชโยโห่ร้องดีใจกันยกใหญ่
“พี่พรรณ เจ้าชายทรงชนะจ้ะ ไชโย!ๆๆๆ” มณีรัตนากระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
“เฮ้อ…สงครามจบซะที” แพรพรรณถอนหายใจโล่งอก แล้วก็นึกถึงทั้งสี่คน “หวังว่าคงไม่มีใครเป็นอะไรหรอกนะ”
หลังจากนั้นเจ้าชายวัชระก็ส่งกองทหารพร้อมกับเสลี่ยงไปรับพระบิดาเข้าวัง แพรพรรณกับมณีรัตนาจึงได้ติดตามไปด้วย ระหว่างเดินทางเข้าวังก็ได้ยินเสียงร่ำลือถึงกิตติศัพท์ความเก่งกล้าของราชาแห่งหิรัญคีรีต่างๆ นานา
บ้างก็ว่าเพียงแค่ทรงตวาด…เจ้าปุโรหิตชั่วก็กลัวหัวหดจนต้องรีบหนี
บ้างก็ว่าทรงสู้รบกับทหารทั้งกองทัพเพียงพระองค์เดียว
บ้างก็ว่าทรงสังหารเจ้าปุโรหิตจนแหลกละเอียดเป็นผุยผง
ฯลฯ และอีกต่างๆ นานา จนแพรพรรณได้แต่นึกในใจอย่างขำๆ ว่า ‘สรุปว่ากำลังพูดถึงคนหรือยอดมนุษย์กันแน่น้า…’
หลังจากนั้นแพรพรรณและมณีรัตนาก็ได้เข้าเฝ้าพระราชาและพระมเหสีแห่งพนมนครพร้อมกับเหล่าข้าราชบริพาร ราชาแห่งพนมนครนั่งพิงหมอนบนบัลลังก์เพราะยังบาดเจ็บสาหัส พระมเหสีก็คอยอยู่เคียงข้างตลอดเวลา เสียงกราบทูลรายงานสถานการณ์ทำให้แพรพรรณได้รับรู้เพิ่มเติมว่า ราชาอัคนีและเจ้าชายวัชระกำลังยุ่งอยู่กับการสอบสวนพวกที่ร่วมมือกับปุโรหิตมหินธาที่คุกหลวง หลังจากนั้นแพรพรรณและมณีรัตนาก็ถูกพาไปพักที่เรือนรับรองหลวงในฐานะพระสหายของเจ้าชายวัชระ
ภายในถ้ำแห่งหนึ่งกลางป่าหิมพานต์ ปุโรหิตมหินธาปรากฎกายขึ้นท่ามกลางกลุ่มควันสีดำ พอเห็นพี่ชายของตัวเองเขาก็เรียกหาอย่างยินดี “พี่มหิศวร”
ร่างกำยำถลันเข้าหาพี่ชายซึ่งนั่งอยู่บนแท่นหินหน้าเทวรูปเจ้าแม่กาลี แต่แล้วเขาก็กระเด็นออกเพราะถูกแรงผลักมหาศาลกระแทกใส่ พลั่ก! “โอ๊ย!”