1285. ตื่น! 1
ภายในหุบเขา รูปปั้นหินของหวังหลินเปลี่ยนจากชายชราไปเป็นชายหนุ่ม เขาดูเหมือนเดิมก่อนที่จะกลายเป็นรูปปั้นหิน หลี่เฉียนเหมยจ้องมองรูปปั้นอย่างเงียบๆ ทุกครั้งที่นางมองจะรู้สึกเหมือนหวังหลินกำลังยืนเบื้องหน้า
“ท่านสัญญาว่าจะไปส่งข้า…” หลี่เฉียนเหมยกระซิบกระซาบราวกับนางกำลังพูดกับตัวเอง ขณะเดียวกันก็พูดกับหวังหลินด้วย
ความทรงจำเรื่องหวังหลินมักจะปรากฏในความคิดนางตลอดหกปีที่ผ่านมาจนฝังแน่น แต่บางครั้งนางก็ถามตัวเองว่าทำไมทุกอย่างถึงได้กลายเป็นแบบนี้
นางไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ร่างหวังหลินในใจนางยิ่งเด่นชัดมากขึ้น…
สิ่งที่นางคิดถึงมากที่สุดและเก็บอยู่ในใจตลอดตอนที่บ่มเพาะก็คือดวงตาของปลาในน้ำที่กำลังจ้องมองนกในท้องฟ้า
นกตัวนี้บินลงมาอีกครั้งและสะบัดปีก ขณะที่กำลังดื่มน้ำ สายตาเจอกับปลาในน้ำ แม้จะเพียงชั่วแวบเดียวแต่มันดูเหมือนจะคงอยู่ชั่วกาลนานในความคิดลี่เฉียนเหมย
“มันเป็นชาติที่แล้ว…จริงๆใช่ไหม…” หลี่เฉียนเหมยกัดริมฝีปากพลางแกะสะเก็ดบนนิ้วทั้งสิบและชโลมรูปปั้นหวังหลินด้วยเลือดต่อไป
เวลาผ่านไปไม่รู้นานแค่ไหน พริบตาเดียวอีกหนึ่งปีก็ผ่านไปแล้ว
ช่วงระหว่างปีนี้ รูปปั้นหวังหลินดูดซับได้เร็วขึ้น หลี่เฉียนเหมยมีเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงต่อวันเพื่อพักผ่อน นางใช้เวลาที่เหลือมองไปที่รูปปั้นก่อนที่โลหิตจะดูดซับไปหมดและนางต้องชโลมอีกครั้ง
ครั้งแล้วครั้งเล่า…เวลาหนึ่งปีนี้แทบจะเท่ากับหกปีที่ผ่านมารวมกัน…นางใช้เวลาไม่มากเพื่อฟื้นฟู ดังนั้นจึงสามารถใช้พลังชีวิตนี้ได้อย่างต่อเนื่อง
เม็ดยาในมิติเก็บของแทบจะใช้ไปหมดแล้ว นางใช้พวกมันเพื่อเปลี่ยนกลายเป็นพลังดั้งเดิมและฟื้นคืนพลังชีวิต
อย่างไรก็ตามการใช้งานเม็ดยาเทียบไม่ได้กับพลังชีวิตที่นางใช้ไป แม้จะมีเม็ดยามากกว่านี้ก็ช่วยไม่ได้ พวกมันคงไร้ประโยชน์…เพราะหลี่เฉียนเหมยไม่มีเวลาพอจะย่อยเม็ดยา นางมีเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงต่อวันเท่านั้น…
หากเม็ดยาขัดขวางนางไม่ให้ชโลมหวังหลินด้วยเลือด เมื่อนั้นความพยายามเจ็ดปีที่ผ่านมาคงสูญเปล่า…
หลี่เฉียนเหมยหน้าซีด มีเพียงแววตาที่ยังส่องประกาย นางไม่คิดว่ามันจะคุ้มค่ากันหรือไม่ นางรู้แต่เพียงว่าต้องการจะทำมัน สิ่งที่นางต้องทำนี้…ไม่มีความเสียใจ…
นั่นก็เพียงพอแล้ว
หลังจากชโลมรูปปั้นหวังหลินด้วยเลือด หลี่เฉียนเหมยนำเม็ดยาออกมาใส่ปาก นางใช้ทุกเวลาที่มีเพื่อดูดซับมัน หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงนางก็ล้มเลิก ทำให้เม็ดยาสลายไป นางแลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้พลังดั้งเดิมมาบางส่วนก่อนจะบังคับพลังชีวิตเพื่อสร้างโลหิตให้ชโลมรูปปั้น…
หนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน…สตรีผู้หนึ่งมีแรงใจยืนหยัดและมุ่งมั่นจนถึงปีที่แปด…
นางไม่ได้รอเป็นร้อยปีเหมือนลี่มู่หวานหรือเสียงเพลงอันโดดเดี่ยว แต่นางหลงใหลเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นอีกแปดปีหรือจบจนชีวิตนางก็ตาม…
‘ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามที่สาม ข้ายังไม่ได้ยินท่านตอบคำถามที่สามเลย…’
หลี่เฉียนเหมยกัดริมฝีปากพลางชโลมรูปปั้นต่อจนจวบจนนิรันดร์
ภายหลังปีที่แปด นางไม่ได้พักผ่อนครึ่งชั่วโมงอีกแล้ว รูปปั้นหวังหลินดูดซับในระดับที่น่าหวาดกลัว มันดูดซับเลือดในเวลาไม่นานที่โดนชโลม นางจึงต้องเริ่มใหม่อีกครั้ง
วิธีนี้ทำให้นางบอบบางยิ่งขึ้น นางไม่มีเวลาพักผ่อนหรือบ่มเพาะและพึ่งแต่ระดับบ่มเพาะของตัวเองเพื่อใช้แทนพลังชีวิต
สตรีที่สามารถทำเรื่องทั้งหมดนี้ได้ การถามว่ามันคุ้มกันหรือไม่ถือว่าเป็นการดูหมิ่นยิ่งนัก…
นางหยุดความคิดเรื่องทุกอย่าง ความทรงจำของหวังหลินแล่นวูบวาบในความคิดนางและเปลี่ยนกลายเป็นพลังที่ช่วยให้นางผ่านเรื่องราวตลอดแปดปี
อย่างไรก็ตามที่น่ากลัวที่สุดคือปีที่เก้า การดูดซับของหวังหลินเพิ่มในระดับที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่า บ่อยครั้งก่อนที่นางจะทันชโลมโลหิตได้เสร็จ ส่วนที่ชโลมไปก่อนหน้านี้ก็หายไปแล้ว
นี่มันเกินขีดจำกัดของหลี่เฉียนเหมย ถึงแม้นางจะใช้ทั้งสองมือก็ไม่อาจตามทันได้ หลังจากค้นพบนางก็เผยสีหน้าลำบากและกัดปลายลิ้นเพื่อใช้แก่นโลหิตโดยไม่ลังเล!
แก่นโลหิตเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับเซียน ทุกคนจะมีอยู่จำนวนหนึ่ง มันไม่ได้อยู่ในแขนขา มีเพียงแค่ปลายลิ้นและหัวใจเท่านั้น
โลหิตหนึ่งหยดเทียบเท่ากับทั้งร่าง
หลังจากพ่นแก่นโลหิตออกไปจากปลายลิ้น สองฝ่ามือสร้างผนึกและเปลี่ยนกลายเป็นหมอกโลหิตปกคลุมทั้งรูปปั้นหิน ด้วยการใช้วิธีนี้จึงทำให้นางตามทันอัตราการดูดซับขนาดนั้นได้
อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่นางพ่นแก่นโลหิตออกไป ใบหน้าจะยิ่งซีดเผือดและนางดูเหมือนเหลือแค่หนังหุ้มกระดูกไปแล้ว ความน่ารักก่อนหน้านี้หายไปสิ้น
อย่างไรก็ตามเกิดการเปลี่ยนแปลงในครึ่งหลังของปีที่เก้า ระดับการดูดซับของหวังหลินเพิ่มขึ้นจนแม้แต่แก่นโลหิตจากปลายลิ้นก็ไม่พอ!
ร่างหลี่เฉียนเหมยอ่อนแอมากและเผยแววตาสิ้นหวัง อย่างไรก็ตามนางกัดฟันแน่นและสะบัดแขน กระบี่เงินเล่มเล็กปรากฏขึ้นมาแทงใส่หัวใจตัวเอง!
ในใจนางยังมีแก่นโลหิต! ความเจ็บปวดรุนแรงทำให้ร่างกายสั่นเทา ทว่าไม่มีสิ่งใดจะหยุดนางได้ แต่นางก็อ่อนแอลงยิ่งขึ้น
ด้วยวิธีอันเหนือความคิดนี้ หลี่เฉียนเหมยผ่านปีที่เก้าไปได้และเข้าสู่ปีที่สิบ…
“เสียงนั้นบอกว่าถ้าหากข้าสามารถอยู่ได้สิบปี จะมีโอกาสทำให้เขาตื่น ตอนนี้เป็นปีสุดท้ายแล้ว…” หลี่เฉียนเหมยเปลี่ยนไปอย่างมากตลอดเก้าปีที่ผ่านมา พอมาถึงปีที่สิบ แก่นโลหิตตรงปลายลิ้นและหัวใจก็ไม่มีพอให้ชโลมรูปปั้นหินอีก
นางเลือกจะใช้โลหิตเต๋าวิญญาณดั้งเดิม…ซึ่งเป็นความเข้าใจแห่งเต๋าที่ผสานเข้ากับวิญญาณดั้งเดิม นางหลอมมันและบังคับให้ออกมาเป็นกลิ่นอาย แม้จะไม่ใช่เลือดแต่มันก็มีค่ามากและเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของหลี่เฉียนเหมย!
ในปีสุดท้าย หลี่เฉียนเหมยเกิดความลังเลขึ้นด้วย แต่ความลังเลนี้เปลี่ยนกลายเป็นรอยยิ้มเบ่งบานยามที่มองรูปปั้นของหวังหลิน เหมือนตอนที่พวกเขาเจอกันครั้งแรก รอยยิ้มนางช่างอ่อนโยนสวยงาม
“มีสตรีอีกคนในใจท่าน ข้าจะไม่ขโมยท่านมาหรือให้ท่านเลือก ข้าเข้าใจว่าท่านต้องทุกข์ทรมานอย่างมากเพื่อนาง…ข้าจะไปบังคับท่านได้อย่างไร…”
“คงดีนักถ้าหากท่านไม่สนใจ สิ่งในโลกนี้มักจะอธิบายไม่ได้เสมอ…ข้าเชื่อว่าหากสตรีในใจท่านโผล่ขึ้นมาในเก้าปีนี้ นางคงทำเหมือนกันและทำได้ดีกว่าข้าอีก…”
“ถึงแม้มู่ปิงเหมยจะรู้เรื่องทุกอย่างและมาที่นี่ นางก็คงทำแบบเดียวกัน…ข้าไม่ได้คาดหวัง ข้าเพียงต้องการทำให้ภาพในใจข้าสมบูรณ์ ท่านเป็นนกและข้าเป็นปลา…ตลอดหลายปีข้าครุ่นคิดและเข้าใจไปมาก บางทีทั้งหมดเป็นแค่ภาพมายา แต่ข้าเห็นไปเยอะ…”
“ในภาพพร่ามัว ข้าเห็นท่านเป็นนก ร่อนลงใกล้ๆบ่อน้ำข้า ครั้งหนึ่งท่านมาเพื่อดื่มกินและอีกครั้งตอนที่ท่านบาดเจ็บ…ข้าใช้ความแข็งแกร่งของข้าเพื่อผลักท่านจากบ่อสู่ท้องทะเลจนท่านสามารถหายใจได้และบินออกไป…”
หลี่เฉียนเหมยยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางมองรูปปั้นหินหวังหลินและหลับตา วิญญาณดั้งเดิมเริ่มขยับเคลื่อนไหวและปรากฏวังวนตรงกลางหน้าผาก โลหิตเต๋าไหลออกมาทีละหยดและปกคลุมหวังหลิน
หลี่เฉียนเหมยเป็นเหมือนดอกไม้ร่วงโรยและเหี่ยวแห้งไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามปีที่สิบดูเหมือนจะยาวนานมากกว่าเก้าปีก่อนหน้านี้เสียอีก ในเดือนที่เก้า นางลืมตาขึ้นมามองรูปปั้นหิน ขบคิดอยู่นานมาก
นางค่อยๆลุกขึ้นมองท้องฟ้าราวกับกำลังเห็นฉากเหตุการณ์ในชาติก่อนตอนที่นางผลักนกเข้าสู่ฝั่ง
หลี่เฉียนเหมยส่ายศีรษะเบาๆและนำสร้อยแขวนไว้รอบคอ หินหยกนี้บรรจุวิญญาณชีวิตของนาง นางมองรูปปั้นและจากนั้นค่อยๆแขวนสร้อยคอรอบๆรูปปั้น
“ด้วยทุกสิ่งที่ข้ามี ข้าไม่สามารถช่วยท่านผ่านสามเดือนสุดท้ายได้…ข้าไม่อาจทำมันได้…แต่ตอนที่เซียนจะเข้าไปในสนามรบของสำนักมารได้ถูกทางสำนักมารจดจำเอาไว้ พวกเขาแยกโลหิตวิญญาณด้วยผู้อาวุโสระดับสูง มันสามารถกักเก็บไว้ได้และเมื่อพวกเขาตายก็จะกำเนิดวิญญาณนั้นขึ้นใหม่ จากนั้นก็จะเกิดใหม่เพื่อบ่มเพาะอีกครั้ง…ข้าถูกทางสำนักมารจดจำเอาไว้และแยกโลหิตวิญญาณไว้แล้ว ข้าจะไปสำนักมาร บางทีมันสามารถช่วยท่านผ่านสามเดือนสุดท้ายได้…” หลี่เฉียนเหมยมองรูปปั้นของหวังหลิน หลังจากผ่านไปสักพักนางก็ถอนสายตา
หลี่เฉียนเหมยนำกระบี่เหินออกมาเก้าเล่มและวางมันไว้รอบๆหุบเขาเพื่อสร้างค่ายกลกระบี่ มันคือสมบัติที่แข็งแกร่งที่สุดของนางและมันช่วยนางฆ่าอสูรดุร้ายบนสนามรบมาแล้วนับไม่ถ้วน!
หลังจากวางค่ายกลกระบี่ หลี่เฉียนเหมยกัดริมฝีปาก ด้วยร่างอันอ่อนแอของนางจึงกลืนกินเม็ดยาและออกไปจากหุบเขาครั้งแรกในรอบสิบปี นางพุ่งตรงไปที่สำนักมารในเขตระดับเก้า!
‘ข้าไม่มีเวลามากนัก และหินหยกวิญญาณชีวิตข้าสามารถอยู่ได้แค่หนึ่งเดือนเท่านั้น ดังนั้นข้าต้องไปเอามาภายในหนึ่งเดือน เพียงแต่…วิญญาณโลหิตนั่นไม่ได้เอามาง่ายๆ…’
หลี่เฉียนเหมยเปลี่ยนไปเป็นลำแสงและหายไปในดวงดาว นางไม่สามารถพารูปปั้นหวังหลินไปด้วยได้ สามวันก่อนรูปปั้นดูเหมือนจะผสานกับแผ่นดินป่าไปแล้ว
หลังจากหลี่เฉียนเหมยจากไป นางก็ไม่กลับมาอีก…
สามเดือนสุดท้ายผ่านไป พอไร้สตรีในหุบเขา หุบเขาจึงอ้างว้าง เสียงคำรามของอสูรดุร้ายยิ่งรุนแรงและเข้าไปใกล้หุบเขา
อย่างไรก็ตามมีค่ายกลกระบี่อยู่ พวกอสูรทั้งหมดที่เข้ามาจึงส่งเสียงกรีดร้องและตายไป พวกมันค่อยๆล่าถอยและไม่กล้าเข้าใกล้
หนึ่งวัน สองวัน สามวัน…พริบตาเดียวผ่านไปสิบวัน
หินหยกที่หลี่เฉียนเหมยทิ้งเอาไว้รอบรูปปั้นหวังหลินได้เรืองแสงอ่อนๆ ราวกับหลี่เฉียนเหมยไม่ได้จากไปไหนและกำลังหล่อเลี้ยงหวังหลินอยู่
หินหยกเป็นความอบอุ่นของนาง เป็นความพยายามสิบปีของนาง เป็นหัวใจและเปลี่ยนเป็นพลังให้กับหวังหลิน…
วันที่สิบเอ็ด วันที่สิบสอง…จนกระทั่งวันที่ยี่สิบ
……………………………