Chapter 5
ลือกันทั่วออฟฟิต
“ไม่นี่คะพี่สมศรี เสื้อผ้าหน้าผมของพี่ก็ปกตินะคะ เอ๋…หรือว่าของพะพิมคะ?” พิมพิราก้มลงมองตัวเองใหญ่ สมศรีช่วยมองสำรวจแล้วก็ตอบว่า “ก็ไม่มีนะคะน้องพะพิม ของน้องพะพิมก็ปกติดีทุกอย่าง แล้วนี่เขามองอะไรกันนักหนาเนี่ย เดี๋ยวน้องพะพิมรอพี่แป๊บนะคะ”
เธอบอกแล้วก็ลุกไปทันที ทิ้งให้พิมพิรานั่งรออยู่ที่โต๊ะ สมศรีเดินไปหาสาว ‘จอย’ สุดสวยประจำฝ่ายประชาสัมพันธ์ซึ่งกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่กับนิดเพื่อนหญิงแผนกเดียวกัน
“สวัสดีค่ะน้องจอย น้องนิด” สมศรีทักพร้อมกับยิ้มให้
“สวัสดีค่ะพี่สมศรี” จอยสาวประเภทสองทักทายตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม นิดซึ่งเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นานยังไม่สนิทสนมกับสมศรีจึงเพียงแค่ยกมือไหว้พร้อมกับกล่าวทักทายตามมารยาทว่า “สวัสดีค่ะ”
สมศรีรับไหว้แล้วก็นั่งข้างจอย
“น้องจอยคะ พี่ล่ะสงสัยจริงๆ ค่ะว่าคนอื่นๆ เขาเป็นอะไรกันคะ ทำไมเขามองพี่กันแปลกๆ แบบนี้ล่ะคะ?” เธอถามจอยเบาๆ จอยเลยดึงสมศรีเข้าไปจนชิดแล้วพูดเบาๆ ว่า “คนอื่นเขาไม่ได้มองพี่สมศรีกันหรอกค่ะ เขามองเลขาท่านประธานต่างหากค่ะ พี่สมศรีถามแบบนี้แสดงว่าพี่ยังไม่รู้แน่ๆ เลยใช่ไหมคะ?”
“รู้อะไรล่ะคะน้องจอย?” สมศรีย้อนถามอย่างงงๆ ปนอยากรู้อยากเห็น จอยเลยรีบเม้าส์ให้ฟังอย่างคันปาก “ก็ตอนนี้เขาลือกันไปทั่วแล้วล่ะค่ะว่ามีคนเห็นเลขาท่านประธานกำลังเล่นจ้ำจี้กับท่านประธานในห้องประชุมเมื่อวานนี้น่ะค่ะ”
จากแค่ ‘อมนกเขา’ ถูกเม้าส์กันไปเม้าส์กันมาจนกลายเป็นจ้ำจี้ไปซะแล้ว ดั่งเช่นที่เขาว่าพูดกันปากต่อปากจริงๆ
“ต๊าย! อกอีแป้นแตก! จริงเหรอคะเนี่ย” สมศรีตกใจอุทานลั่นตาเบิกกว้าง ดีกรีความอยากรู้พุ่งปรี๊ดเต็มประดา
“ก็จริงซิคะพี่สมศรี เขาลือกันให้แซดเลยล่ะค่ะ ไม่น่าเชื่อนะคะเห็นหน้าใสๆ ซื่อๆ อย่างนั้นจะกล้าขนาดนั้นน่ะค่ะ” จอยพูดแล้วก็หันไปมองพิมพิรา สมศรีตั้งสติได้ เธอก็รีบถามว่า “แล้วใครเป็นคนเห็นคะน้องจอย? เห็นยังไง? เห็นที่ไหน? เห็นเมื่อไหร่? น้องจอยช่วยเล่าให้พี่ฟังอย่างละเอียดยิบเลยนะคะ”
“เห็นเขาว่านังหมีควายฝ่ายโฆษณาเป็นคนเห็นแล้วก็เอามาเม้าส์ให้ฟังน่ะค่ะ เขาว่านังหมีควายมันว่า ว่าเมื่อวานตอนเย็นหลังเลิกประชุม แล้วมันลืมของไว้ในห้องประชุม มันก็เลยกลับไปเอา พอเปิดประตูเข้าไปเท่านั้นล่ะค้า มันก็เลยเห็นเต็มๆ เลยล่ะค่ะว่าท่านประธานกำลังจ้ำจี้กับคุณเลขากันป๊าบๆ สนั่นห้องประชุมเลยค่ะพี่สมศรี แหมพูดแล้วก็จั๊กกะจี้ปากจังค่ะ มันบอกว่าคุณเลขาเสื้อผ้างี้หลุดลุ่ยไม่เหลือซักชิ้น กำลังขึ้นขย่มให้ท่านบนโต๊ะประชุมเลยล่ะค่ะ” จอยเล่าไปก็ทำมือทำไม้ประกอบไปด้วยพร้อมกับบุ้ยปากไปทางพิมพิราเป็นระยะๆ “ตอนนี้เขาก็เลยเอามาเม้าส์กันสนั่นเป็นทอคออฟเดอะทาวน์เลยค่ะพี่สมศรี จอยไม่คิดเลยนะคะว่าคุณเลขาจะกล้าขนาดนั้น นี่คงจะอยากรวยทางลัดล่ะมั้งคะ ก็เลยคิดจะจับท่านประธานซะเลย สงสัยว่าคงจะจุดๆๆ กับท่านตั้งแต่เริ่มทำงานแล้วล่ะมั้งคะพี่สมศรี”
สมศรีได้ยินได้ฟังแล้วอยากจะเป็นลม เพราะเธอก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าท่านประธานจะกลายเป็นพวกโคแก่กินหญ้าอ่อนไปได้ แต่ก็อย่างว่าแหละ เลขาสาวกับเจ้านายมันมีตัวอย่างให้เห็นถมเถไป แล้วอีกอย่างพิมพิราก็เป็นผู้หญิงที่สวยมาก สวยขนาดจับส่งประกวดนางงามได้อย่างสบายๆ พอได้ฟังแล้วเธอก็รีบขอตัวทันที “ขอบใจนะคะน้องจอย งั้นพี่ขอตัวก่อนล่ะคะ”
“ค่ะพี่สมศรี” จอยยกมือไหว้ นิดก็ยกมือไหว้ตาม แล้วสมศรีก็รีบเดินกลับไปหาพิมพิราที่โต๊ะด้วยจิตใจร้อนรุ่มกระวนกระวายสอดรู้สอดเห็น อยากจะรู้ความจริงจากปากคนตกเป็นข่าวจนอกแทบระเบิด
“น้องพะพิมคะเราไปกันเถอะค่ะ” สมศรีคว้าแขนพิมพิราให้เดินตามเธอไปทันที พิมพิรารู้สึกงงที่จู่ๆ สมศรีก็มีท่าทางแปลกๆ “พี่สมศรีคะจะรีบไปไหนคะ?”
“รีบกลับไปทำงานซิคะน้องพะพิม” สมศรีบอกพร้อมกับเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น พิมพิราจึงได้แต่เดินตามสมศรีไป
จนกระทั่งถึงโต๊ะทำงานของพิมพิรา ซึ่งค่อนข้างเป็นส่วนตัวไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาได้ยินเพราะอยู่ห่างจากโต๊ะทำงานของคนอื่นมาก สมศรีก็หันไปทำตาซอกแซกอยากรู้อยากเห็น “น้องพะพิมคะ รู้ไหมคะว่าตอนนี้เขาเม้าส์กันให้แซดเรื่องที่น้องพะพิมเอ่อ…เอ่อ…เรื่องของน้องพะพิมกับท่านในห้องประชุมเมื่อวานนี้น่ะค่ะ”
“อะไรคะพี่สมศรี? เรื่องของพะพิมกับท่านในห้องประชุมเมื่อวานนี้ พี่สมศรีพูดเรื่องอะไรคะเนี่ย?” พิมพิรางงไม่เข้าใจว่าสมศรีหมายถึงอะไร?
“ก็เรื่องน้องพะพิมกับท่านในห้องประชุมเมื่อวานนี้ซิคะ อย่ามาปิดกันเลยค่ะตอนนี้เขารู้กันทั้งออฟฟิตแล้วล่ะค่ะ แหมที่หนุ่มๆ มารุมจีบแล้วน้องพะพิมไม่สนก็เพราะอย่างนี้นี่เอง แล้วนี่น้องพะพิมแอบไปกุ๊กกิ๊กๆ กับท่านตอนไหนคะเนี่ยไม่เห็นเล่าให้พี่ฟังมั่งเลย” สมศรีทำตาซอกแซกๆ พิมพิราได้แต่ยืนงงสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก “พี่สมศรีพูดเรื่องอะไรคะเนี่ย? กุ๊กกิ๊กๆ กับท่านอะไรกันคะ?”
สมศรีเข้าใจว่าพิมพิราเขินจนไม่กล้าเล่า เธอจึงตัดบทว่า “เอาเถอะค่ะพี่ไม่ถามแล้วล่ะ พี่ไปทำงานดีกว่าค่ะ”
แล้วเธอก็เดินจากไปทิ้ง ให้พิมพิรายืนงงอยู่อย่างนั้น “อะไรของพี่สมศรีง่ะ?”
ใครต่อใครในบริษัทต่างพากันมองพิมพิราแล้วก็ซุบซิบนินทาลับหลังอย่างสนุกปาก ส่วนบรรดาหนุ่มๆ ที่เข้ามารุมจีบพิมพิราต่างก็พากันคิดไปต่างๆ นานา แม้ว่าจะมีบางคนที่ไม่เชื่อข่าวลือ ดังเช่น ‘ชัยชนะ’ หนุ่มหล่อมาดแมนหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ “น้องพะพิมครับเที่ยงนี้ไปกินข้าวด้วยกันนะครับ”
พิมพิราเงยหน้าจากจอคอมฯ ส่งยิ้มให้ แล้วก็ปฏิเสธอย่างบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่นว่า “ขอโทษนะคะคือว่าพะพิมยังทำงานไม่เสร็จเลยค่ะ แล้วพะพิมก็ฝากเขาไปซื้อข้าวให้แล้วล่ะค่ะ ขอบคุณนะคะที่ชวน”
สมศักดิ์เพื่อนสนิทในแผนกเดียวกันกับชัยชนะตบบ่าเพื่อนแล้วก็พูดว่า “ไอ้นะเอ็งอย่าไปชวนให้เสียเวลาเลยว่ะ คุณพิมพิราเขาไม่แลเอ็งหรอก สวย เริ่ด เชิด หยิ่งอย่างเขาต้องรวยๆ มีเงินเป็นร้อยเป็นพันล้านอย่างท่านประธานนู้น ไว้เอ็งรวยอย่างท่านประธานเมื่อไหร่เอ็งค่อยเสนอหน้ามาจีบเขาเถอะว่ะ รับรองว่าเขาจะรีบแบให้จนเอ็งแก้ผ้าแทบไม่ทันเลยล่ะโว้ย”
พิมพิราหน้าร้อนฉ่า รู้สึกโกรธและอายที่จู่ๆ ก็ถูกคนอื่นพูดจาดูถูกเหน็บแนมด้วยคำพูดที่ทำให้รู้สึกโกรธจนอยากจะตบคนพูดให้หน้าหัน เพี๊ยะ!ๆๆๆ
แต่ก่อนที่เธอจะทันได้พูดอะไรให้คนปากเสียได้เจ็บๆ คันๆ กลับไปบ้าง พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็เดินเข้ามาพอดีพร้อมกับคนขับรถ
“คุณพะพิมครับรายงานยอดขายประจำเดือนได้หรือยังครับ ถ้าได้แล้วเอามาให้ผมเดี๋ยวนี้เลยนะครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์บอกกับเลขา แต่สายตามองไปที่พนักงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่ชื่อสมศักดิ์ด้วยสายตาดุๆ จนสมศักดิ์ไม่กล้าสบตาด้วยรีบก้มหน้าหลบตาแทบไม่ทัน ‘จ๊าก!…ปากพาซวยแล้วซิกู’
ท่านประธานเดินผ่านชัยชนะและสมศักดิ์เข้าห้องทำงานไป นพถือกระเป๋าตามเข้าไปติดๆ พิมพิราหันไปจิกตามองสมศักดิ์อย่างไม่พอใจ แล้วก็พูดว่า “น้ำหน้าอย่างคุณต่อให้รวยล้นฟ้าดิฉันก็ไม่แลให้เป็นเสนียดกับตัวหรอกค่ะ เพราะใจสกปรกปากสกปรกคิดได้แต่เรื่องต่ำๆ แบบนี้หาความเจริญได้ยากจริงๆ ค่ะ”
แล้วเธอก็หันไปพูดกับชัยชนะว่า “ขอตัวก่อนนะคะ”
เธอคว้าแฟ้มงานเดินไปเคาะประตูห้อง โดยไม่หันไปมองทั้งสองคนแม้แต่นิดเดียว ชัยชนะหน้าจ๋อย แล้วก็ลากเพื่อนออกไปต่อว่า “เพราะแกทีเดียวไปว่าน้องพะพิมเขาแบบนั้น ดูซิเขาเลยโกรธกูไปด้วยเลยเห็นไหม”
สมศักดิ์หน้าจ๋อย ไม่ได้จ๋อยเพราะถูกเพื่อนต่อว่า แต่จ๋อยเพราะกลัวท่านประธานจะเอาเรื่องมากกว่า ‘กูจะตกงานไหมวะ!’
พิมพิราวางแฟ้มลงบนโต๊ะ “สวัสดีค่ะท่าน”
พลเอกณรงค์ฤทธิ์มองหน้าเลขาแล้วก็สั่งว่า “คุณพะพิม เดี๋ยวช่วยเรียกคุณนิชานันท์มาพบผมด้วยนะครับ”
“ค่ะท่าน” พิมพิรารับคำ แล้วก็เดินออกไปที่โต๊ะของเธอ กดโทรศัพท์ไปยังแผนกกฎหมายซึ่งนิชานันท์ทำงานอยู่ กริ๊ง…กริ๊ง…กริ๊ง…
นพเดินไปนั่งเล่นรอแถวๆ โต๊ะพิมพิราทันทีหลังจากวางกระเป๋าให้เจ้านายแล้ว
ไม่นานนัก นิชานันท์เลขาผู้จัดการฝ่ายกฎหมายก็มาพบท่านประธานตามคำสั่ง
“สวัสดีค่ะท่าน” นิชานันทร์ยกมือไหว้ ใจเต้นตึกๆ เพราะไม่รู้ว่าท่านประธานเรียกพบด้วยเรื่องอะไร?
“เชิญนั่งครับคุณหนิง” พลเอกณรงค์ฤทธิ์สั่ง นิชานันท์รีบนั่งลงทันที
“คุณหนิงครับที่ออฟฟิตมีอะไรหรือเปล่าครับ? ทำไมคนในออฟฟิตถึงมีท่าทีแปลกๆ ล่ะครับ? พอผมเดินผ่าน พวกเขาก็มองผมแล้วก็แอบซุบซิบๆอะไรกันก็ไม่รู้” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ถามตาก็จ้องมองลูกน้องเขม็ง
“เอ่อ…เอ่อ…คือว่า…เอ่อ…”
‘โอ้ย! จะพูดยังไงล่ะเนี่ย!?’ นิชานันท์อึกๆ อักๆ ไม่รู้จะบอกยังไงดี ถึงเธอจะทำหน้าที่เป็นหูเป็นตา คอยรายงานความเคลื่อนไหวต่างๆ ในบริษัทให้ท่านประธานทราบ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่แค่ไหนเธอก็จะพูดเป็นต่อยหอยให้ท่านได้รับรู้ แต่เรื่องนี้เธอจะกล้ารายงานได้ยังไงล่ะ? แค่คิดก็กระดากปากแล้ว!
พลเอกณรงค์ฤทธิ์จ้องเขม็ง “มีอะไรก็พูดมาเถอะครับคุณหนิง”
นิชานันท์สบตาท่านประธาน แล้วสูดลมหายใจเฮือกใหญ่รวบรวมกำลังใจ ‘เอาวะอีหนิง สู้โว้ย!’
“คือว่าตอนนี้ที่ออฟฟิต เขาพูดกันให้แซดเรื่องที่ท่านกับน้องพะพิมจ้ำจี้กันในห้องประชุมเมื่อวันก่อนน่ะค่ะ”
“อะไรนะคุณหนิง!?” พลเอกณรงค์ฤทธิ์อุทานลั่นห้อง เขาตกตะลึง! อึ้งไปเลย นิชานันท์รีบพูดต่อว่า “คือมีคนเห็นตอนที่ท่านเล่นจ้ำจี้กับน้องพะพิมในห้องประชุมเมื่อวันก่อนน่ะค่ะ ตอนนี้เขาก็เลยเม้าส์กันไปทั่วทั้งออฟฟิตแล้วล่ะค่ะท่าน”
เธอพูดแล้วก็ก้มหน้าหลบตา ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ
“โอ้ยตาย! จะบ้ากันไปใหญ่แล้ว ผมไม่เคยทำอย่างนั้นเลยนะ แล้วนี่มันมีข่าวแบบนี้ออกไปได้ยังไงเนี่ย? ใครเป็นคนปล่อยข่าวกันนะ!? ชื่อเสียงผมป่นปี้หมด!” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ฮึดฮัดโกรธจนหน้าเขียว ที่จู่ๆ ก็มีข่าวคาวๆ น่าบัดสีปล่อยออกมาทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว
“มิน่าล่ะ! นายสมศักดิ์ถึงได้พูดจาดูถูกคุณพะพิมอย่างงั้น” ดวงตาคมเข้มของเขาวาวโรจน์ ‘เอ็งเตรียมแป๊กได้เล้ย!’
นิชานันท์ไม่กล้าสบตาด้วย ‘ต๊าย…ตาย! ทำงานที่นี่มาเป็นสิบๆ ปีเพิ่งจะเห็นท่านโกรธก็วันนี้แหละ น่ากลัวจัง!’
“คุณหนิง คุณไปหาตัวคนปล่อยข่าวบ้าๆ นี้มาให้ได้โดยเร็วที่สุด! คุณไปได้แล้ว ขอบคุณมากครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์เค้นเสียงสั่งซะจนนิชานันท์กลัวจนหัวหด ‘งานนี้ไอ้คนปล่อยข่าวมันไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดแน่ๆ อยู่ดีไม่ว่าดีเสือกมากระตุกหนวดเสือซะได้ ตั้งแต่ทำงานมาก็เพิ่งจะเคยเห็นท่านโกรธจัดก็คราวนี้แหละ มันเป็นใครกันนะเสือกหาเรื่องให้ดวงกุดซะแล้ว เหอๆๆๆ…’
“ค่ะท่าน” นิชานันท์รับคำแล้วเธอก็รีบออกไปโดยเร็ว ใครจะกล้าอยู่ล่ะ ท่านดูน่ากลัวซะขนาดนั้น
เมื่อนิชานันท์ไปแล้ว พิมพิราก็นึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ได้ชงกาแฟให้ท่านเลย เธอเคาะประตูห้อง “ขออนุญาตค่ะท่าน”
“เชิญครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์บอกแล้วก็หมุนเก้าอี้หันหลังไปมองดูรูปภาพที่แขวนข้างหลังอย่างพยายามสะกดกลั้นความโกรธ พิมพิราเปิดประตูเดินเข้าไป เธอรีบตรงไปที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่ม จัดการชงกาแฟให้เจ้านายทันที “ท่านคะ กาแฟค่ะท่าน”
“ขอบคุณครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์หมุนเก้าอี้กลับไปแล้วยกกาแฟขึ้นดื่มหน้าตาถมึงทึง พิมพิรามองอย่างสงสัย “ท่านเป็นอะไรหรือเปล่าคะ? ทำไมวันนี้ท่านหน้าบึ้งจัง?”
พลเอกณรงค์ฤทธิ์มองเลขาสาว พอสบตากับดวงตาหวานซึ้งซึ่งมีแววเป็นห่วง ใบหน้าถมึงทึงจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง “ผมกำลังโกรธที่มีคนปล่อยข่าวว่าผมจ้ำจี้กับคุณในห้องประชุมน่ะครับ ไม่รู้ว่าใครมันกุข่าวน่าบัดสีแบบนี้ออกมาได้ มันน่าจริงๆ! เจอตัวเมื่อไหร่เถอะ! ฮึ่ม!”
“อ๋อค่ะ” พิมพิราพยักหน้ารับรู้ น้ำเสียงราบเรียบสีหน้าเรียบเฉยซะจนพลเอกณรงค์ฤทธิ์นึกสงสัย “เอ๊ะ! มันยังไงกันครับคุณพะพิม เรื่องใหญ่ขนาดนี้คุณพูดแค่ว่า…อ๋อค่ะ…เท่านั้นเองเหรอครับ”
พิมพิรายิ้มพร้อมกับย้อนถามว่า “อ้าว แล้วท่านจะให้พะพิมพูดว่าอะไรล่ะคะ ก็ในเมื่อพะพิมรู้แล้วนี่คะ รู้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะค่ะท่าน”
แถมรู้ด้วยว่าใครเป็นคนปล่อยข่าว
‘คอยดูเถอะนังสมชายเดี๋ยวแม่จะเอาคืนให้หนักเล้ย!’ เธออาฆาตอยู่ในใจ พลเอกณรงค์ฤทธิ์เลยยิ่งสงสัยกับท่าทีที่ช่างนิ่งเฉยเย็นเป็นน้ำแข็งของเลขาสาว “แล้วคุณไม่โกรธเลยหรือครับที่มีคนปล่อยข่าวฉาวโฉ่ทั้งๆ ที่มันไม่เป็นความจริงเลยน่ะ”
พิมพิรายิ้มให้เจ้านาย “โกรธซิคะ พะพิมโกรธมากด้วยค่ะ แต่ถ้าพะพิมยิ่งเที่ยวไปพูดแก้ตัวกับใครๆ มันก็จะยิ่งไปกันใหญ่น่ะซิคะ ยิ่งแก้ตัวคนอื่นเขาก็จะยิ่งคิดว่ามันเป็นเรื่องจริงแน่ๆ ถึงได้ร้อนตัวจนต้องเที่ยววิ่งโร่ไปแก้ข่าว พะพิมก็เลยทำเฉยๆ ซะ เดี๋ยวเรื่องมันก็เงียบไปเองแหละค่ะ”
พลเอกณรงค์ฤทธิ์ทึ่งในความคิดของเลขาสาวจนนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก ‘โอ๊ว…หล่อนเป็นแม่พระลงมาจุติหรือไงนะ’
“พะพิมรู้ว่าเขาเอาไปพูดกันว่าพะพิมทำออรัลให้ท่านในห้องประชุมหลังจากเลิกประชุมแล้ว พอพูดกันไปพูดกันมา ปากต่อปากจนกลายเป็นว่าพะพิมจ้ำจี้กับท่านในห้องประชุม แล้วท่านจะให้พะพิมแก้ข่าวยังไงล่ะคะในเมื่อจากที่ตอนแรกมันแค่อมนกเขา จนตอนนี้มันกลายเป็นจ้ำจี้กันสนั่นห้อง พะพิมก็เลยคิดว่าไม่พูดอะไรดีกว่าค่ะ” เธออธิบาย ใช้คำพูดเกี่ยวกับเรื่องเซ็กส์ด้วยสีหน้าเฉยๆ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ได้แต่คิดอยู่ในใจว่า ‘โอ้ว! แม่เจ้า! เห็นหน้าใสๆ เด็กๆอย่างนี้เถอะนะ ปากคอแม่คุณเลาะร้ายใช่ย่อยซะเมื่อไหร่ นี่ถ้าด่าใครล่ะก็…แสบบบบ…นักล่ะ อา…อย่างนี้ต้องบอกว่าเวลาแม่เจ้าประคุณดีล่ะก็…หล่อนเหมือนพระแม่อุมาเทวีลงมาโปรดเลยนะ แต่อย่าให้คุณเธอร้ายขึ้นมาได้เชียวนะ…เจ้าแม่กาลีจำแลงลงมาเลยล่ะ…ฮึ่ม!’
“ท่านมีอะไรจะใช้พะพิมอีกรึเปล่าคะ?” พิมพิราถาม พลเอกณรงค์ฤทธิ์โบกมือ “ไม่มีแล้วล่ะครับ เชิญคุณไปทำงานต่อเถอะครับ”
“ค่ะท่าน” แล้วพิมพิราก็เดินออกไป เธอหมายใจว่าเดี๋ยวพอเลิกงานแล้วเธอจะเคลียร์กับนังสมชายให้รู้เรื่องไปเลย
จนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน พิมพิราก็เดินไปหาสมชายที่แผนก เธอมองหาแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
“คุณสมชายอยู่ไหนคะ?” เธอถามเพื่อนร่วมแผนกของสมชาย
“กลับไปแล้วค่ะคุณพะพิม” พนักงานสาวตอบแล้วก็ถามว่า “คุณพะพิมมีธุระอะไรกับเจ้สมชายเหรอคะ?”
“ก็มีนิดหน่อยค่ะ” พิมพิราบอกแล้วก็เหลือบดูนาฬิกาแล้วก็ถามว่า “แล้วคุณมีที่อยู่ของคุณสมชายไหมคะ? พอดีว่าพะพิมมีธุระด่วนที่ต้องคุยกับเขาน่ะค่ะ”
“อ๋อ มีค่ะเดี๋ยวแก้วจดให้นะคะ” แก้วหันไปเปิดสมุดโน้ตแล้วก็จดที่อยู่ยิกๆ พอจดเสร็จเธอก็ยื่นให้พร้อมกับบอกว่า “แต่กว่าเจ้แกจะกลับบ้านก็ตีสองนู้นแหละค่ะ”
พิมพิรานึกสงสัย ยังไม่ทันจะถามแก้วก็รีบบอกว่า “คือเจ้แกไปรับจ๊อบแต่งหน้าให้กับคณะคาบาเร่ทุกคืนน่ะค่ะ กว่าแกจะกลับถึงบ้านก็ตีสองตีสามทุกคืนแหละค่ะ วันเสาร์วันอาทิตย์แกก็ไปรับจ๊อบอยู่ร้านเสริมสวย โอ๊ย แกทำงานหัวไม่วางหางไม่เว้นไม่ได้หยุดไม่ได้พักกับเขาหรอกค่ะ ภาระแกเยอะน่ะค่ะคุณพะพิม ทั้งแม่ทั้งหลานเจ้แกหาเลี้ยงอยู่คนเดียวน่ะค่ะ เอ่อ…แล้วคุณพะพิมมีธุระอะไรกับแกเหรอคะ? เรื่องงานรึเปล่าคะ? ให้แก้วโทรตามให้ไหมคะ?”
พิมพิราส่ายหน้า “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่ธุระส่วนตัวน่ะค่ะ ขอบคุณนะคะ”
แล้วเธอก็รับกระดาษแผ่นนั้นแล้วก็เดินจากไป แก้วมองตามแล้วก็หันไปเก็บของใส่กระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้าน “ล้า…ลัน…ลา…”
พิมพิรามองที่อยู่แล้วก็นึกถึงคำพูดของแก้ว เธอเดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเองเก็บของหยิบกระเป๋าแล้วก็เดินไปกดลิฟท์ เย็นนี้เธอว่างเพราะท่านประธานกลับไปตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว เธอจึงตั้งใจว่าจะไปดูที่บ้านของสมชายซักหน่อย เธอเดินไปขึ้นรถไฟฟ้า จากรถไฟฟ้าก็ต่อด้วยรถเมล์ พอลงจากรถเมล์เธอก็เดินเข้าซอยไปอีกหน่อย ซอยนี้เธอเคยมาหาเพื่อนตอนสมัยเรียนอยู่จุฬาฯ ด้วยกัน เธฮจึงหาบ้านของสมชายเจออย่างไม่ยากนัก เธอยืนมองที่อยู่หน้าบ้านซึ่งเป็นทาวน์เฮ้าส์สองชั้น เธอเห็นมีคนอยู่ในบ้านจึงกดกริ่ง กริ๊ง…กริ๊ง…กริ๊ง…
สักพักก็มีเด็กผู้ชายอายุราวสิบสามปีออกจากบ้านมายืนมอง พิมพิรายิ้มให้เด็กคนนั้นแล้วก็ถามว่า “คุณสมชายอยู่ไหมจ๊ะ?”
“มาหาลุงสมชายเหรอครับ” เด็กชายถามพลางมองอีกฝ่ายอย่างระวังตัว ก็สมัยนี้มิจฉาชีพมันเยอะนี่นา
พิมพิราพยักหน้า “จ้ะ”
“ไม่อยู่หรอกครับ ถ้าพี่จะหาลุงชายต้องไปที่บาร์ครับ” เด็กชายบอก
“มาหาไอ้ชายเหรอคุณ มันไม่อยู่หรอกค่ะคุณ กว่ามันจะกลับก็ตีสามนู้นแหละค่ะ” หญิงสูงวัยเดินออกมาบอก พิมพิรายกมือไหว้ “สวัสดีค่ะคุณป้า”
แล้วเธอก็ถามว่า “แล้วบาร์ที่คุณสมชายทำงานอยู่ที่ไหนคะ?”
“เต้ ไปจดชื่อบาร์ให้คุณเขาหน่อยไป” หญิงสูงวัยสั่งหลานชาย
“ครับยาย” เต้รับคำแล้วก็เดินเข้าบ้านไป แม่ของสมชายหันไปยิ้มให้แขกที่มาหาลูกชาย “รอซักครู่นะคะคุณ”
แต่เธอก็ไม่คิดจะเชิญเข้าบ้านเพราะกลัวว่าจะเป็นพวกมิจฉาชีพ
“มาหาไอ้ชายมีธุระอะไรกับมันเหรอคะคุณ?” เธอถามพลางมองสำรวจอีกฝ่าย
“มีธุระกับคุณสมชายนิดหน่อยน่ะค่ะ” พิมพิราตอบพลางยิ้มให้ เต้เดินมาแล้วก็ยื่นกระดาษให้ “นี่ครับพี่ บาร์ที่ลุงชายทำงานครับ”
“ขอบใจนะจ๊ะ” พิมพิรารับมาแล้วก็ยิ้มให้เต้ แล้วเธอก็หันไปไหว้ลาแม่ของสมชาย “ขอบคุณค่ะคุณป้า ถ้างั้นหนูขอตัวนะคะ”
“ค่ะคุณ” แม่ของสมชายรับไหว้ พิมพิราก็เดินกลับไปทางปากซอย สองยายหลานชะเง้อมองตามแล้วก็ชวนกันเข้าบ้าน “ไปๆ ไอ้เต้เข้าบ้าน”
จากนั้นพิมพิราก็มุ่งหน้าไปที่บาร์ ระหว่างทางที่นั่งรถเมล์เธอก็นั่งคิดถึงภาพครอบครัวของสมชาย เท่าที่เห็นมีแค่คุณป้าคนนั้นกับเด็กผู้ชายคนนึงแล้วก็เด็กผู้หญิงอีกคนที่ยืนชะเง้อมองจากในบ้าน แล้วเธอก็หวนคิดถึงคำพูดของแก้ว ‘คือเจ้แกไปรับจ๊อบแต่งหน้าให้กับคณะคาบาเร่ทุกคืนน่ะค่ะ กว่าแกจะกลับถึงบ้านก็ตีสองตีสามทุกคืนแหละค่ะ วันเสาร์วันอาทิตย์แกก็ไปรับจ๊อบอยู่ร้านเสริมสวย โอ๊ย แกทำงานหัวไม่วางหางไม่เว้นไม่ได้หยุดไม่ได้พักกับเขาหรอกค่ะ ภาระแกเยอะน่ะค่ะคุณพะพิม ทั้งแม่ทั้งหลานเจ้แกหาเลี้ยงอยู่คนเดียวน่ะค่ะ’
จนกระทั่งถึงป้ายรถเมล์ที่เธอต้องลง เธอจึงลงจากรถเมล์ แล้วก็เดินไปเรื่อยๆ จนถึงบาร์ที่สมชายทำงานอยู่ เมื่อไปถึงแล้วเธอหล่อนก็ยืนคิดในใจว่า ‘จะทำยังไงต่อไป?’
ระหว่างนั้นเองเธอก็เห็นสมชายเดินออกมาจากบาร์ เธอรีบหลบไม่ให้อีกฝ่ายเห็น สมชายเดินออกมาพร้อมกับสาวประเภทสองอีกคน ทั้งสองเดินไปที่รถคันหนึ่ง สาวประเภทสองกดรีโมทปลดล็อค “ซินดี้แกอย่าลืมเอาวิกข้างหลังนั่นไปด้วยล่ะ เดี๋ยวชุดนั่นฉันถือไปเอง”
“เออน่านังแจนนี่ฉันไม่ลืมหรอกย่ะ” แล้วสมชายก็เดินไปเปิดประตูข้างหลังก้มตัวเข้าไปหยิบของ ส่วนสาวประเภทสองเจ้าของรถก็เปิดประตูรถแล้วหยิบชุดที่จะใช้โชว์ออกมา หลังจากหยิบของแล้วทั้งสองก็ปิดประตูรถแล้วก็เดินกลับเข้าไปในบาร์
พิมพิราแอบมองตามจนกระทั้งทั้งคู่เข้าไปในบาร์ เธอยืนคิดถึงคำพูดของแก้ว ซึ่งเป็นความจริงอย่างที่แก้วบอกทุกอย่าง เธอหมุนตัวเดินกลับไปที่ป้ายรถเมล์ แล้วก็ขึ้นรถเมล์ไปลงที่สถานีรถไฟฟ้า จากนั้นเธอก็ต่อรถไฟฟ้ากลับบ้าน
เมื่อถึงบ้าน พิมพิราก็จัดแจงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็เดินลงไปสั่งข้าวแกงนั่งกิน พอกินเสร็จก็กลับห้องไปนั่งทำงานต่อจนกระทั่งได้เวลาเข้านอน
เมื่อแผนการใส่ร้ายป้ายสีให้พิมพิราต้องอับอายจนไม่อาจจะทนทำงานต่อไปได้ต้องขอลาออกไม่เป็นผล แถมพลเอกณรงค์ฤทธิ์ยังมีสนิทสนมกับพิมพิรามากขึ้นอีก จนจิตตรีกลัวว่าอดีตพี่เขยจะใกล้ชิดสนิทสนมกับเลขาสาวสวยมากเกินไป เธอจึงหาทางสกัดดาวรุ่งสารพัดวิธีดังเช่นในขณะนี้
“หวัดดีจ้ะตาวี”
“สวัสดีครับคุณน้า” ปฐวีรับสายล้มตัวลงนอนเอกเขนกพิงหมอนเมื่อเห็นว่าคุณน้าโทรมา จิตตรีถามหลานชายว่า “เป็นยังไงบ้างจ๊ะตาวี? สบายดีรึเปล่าจ๊ะฒ”
“สบายดีครับคุณน้า” ปฐวีตอบแล้วก็ย้อนถามกลับไปว่า “แล้วคุณน้าล่ะครับสบายดีไหมครับ?”
จิตตรีซึ่งรอจังหวะอยู่แล้วรีบแกล้งทำเสียงเศร้าๆ “น้าสบายดีจ้ะ แต่น้าไม่ค่อยสบายใจเลยจ้ะ”