1335. อารามผลึกสายฟ้า
เหล่าผู้คนไม่สามารถแลกเปลี่ยนผลึกสายฟ้าได้ทุกเวลาในเผ่าสายฟ้ากระจาย แต่ละดาวเคราะห์ทั้งสิบสามดวงจะมีเพียงสามวันเท่านั้นที่อารามผลึกสายฟ้าเปิดขึ้น ซึ่งระหว่างสามวันนี้สามารถแลกผลึกสายฟ้าได้เท่านั้น
เซียนส่วนใหญ่บนดาวเคราะห์เซียนจะพุ่งเข้ามาแลกผลึกสายฟ้าจากผู้อาวุโสที่รับผิดชอบ
เช่นเดียวกันนั้นพวกเขาสามารถใช้ผลึกสายฟ้าที่มีเพื่อแลกเป็นสมบัติจากเผ่าสายฟ้ากระจายได้ด้วย
อย่างไรก็ตามในเผ่าสายฟ้ากระจายนั้นผลึกสายฟ้าไม่สามารถแลกเปลี่ยนกันอย่างลับๆ และไม่สามารถมอบให้กันได้ พวกเขาสามารถแลกเปลี่ยนได้กับอารามผลึกสายฟ้าได้เท่านั้น ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้แต่เผ่าสายฟ้ากระจายมีคนจำนวนมาก พวกเขาจึงหาทางอ้อมโดยการแลกเปลี่ยนสิ่งของที่มีค่าเท่ากับผลึกสายฟ้าเพื่อทดแทนผลึกสายฟ้าเอาเอง
อย่างไรก็ตามวิธีนี้อันตรายมาก ดังนั้นจึงมีแต่เหล่าเซียนเฒ่าเท่านั้นที่กล้าแลกเปลี่ยน
การไม่สามารถมอบหรือแลกเปลี่ยนผลึกสายฟ้าเป็นการส่วนตัวได้ถือว่าเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับคนในเผ่าเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามตลอดหลายปีที่ผ่านมา กฎนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
หวังหลินมุ่งหน้ามาที่อารามผลึกสายฟ้าโดยมีจงต้าหงติดตามมาด้วย ทั้งสองเปลี่ยนเป็นลำแสงสองสายและพุ่งข้ามผ่านท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
อารามผลึกสายฟ้าตั้งอยู่ใจกลางดาวเคราะห์บนยอดภูเขา ยอดเขาแห่งนี้คือจุดที่สูงที่สุดบนดาวเคราะห์และถูกล้อมรอบด้วยหมอกสีเขียวตลอดทั้งปี ผู้คนไม่สามารถเข้าไปอย่างไม่ระมัดระวังตัวได้ เมื่อเข้าไปในสายหมอกอาจจะโดนสายฟ้าข้างในทำร้ายจนบาดเจ็บ โดนจุดสำคัญอาจจะบาดเจ็บสาหัสและอาจถึงขั้นเสียชีวิต
มันจึงเป็นสถานที่ต้องห้าม!
ช่วงระหว่างสามวันนี้หมอกสีเขียวจะเปิดออกเล็กน้อยจนเผยเส้นทางให้สมาชิกเผ่าเดินเข้าไป
สำนักสายฟ้าสวรรค์ค่อนข้างห่างไกลจากอารามผลึกสายฟ้า ตามจริงแล้วสำนักสายฟ้าสวรรค์อยู่ในพื้นที่ห่างไกลบนดาวเคราะห์เซียน คล้ายกับแคว้นจ้าวบนดาวซูซาคุ
ไม่มีใครใส่ใจหรือค้นหา แม้จะมีเซียนแข็งแกร่งตั้งถิ่นฐานอยู่บ้างแต่หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร พื้นที่แห่งนั้นช่างเล็กมากเมื่อเทียบกับดาวเคราะห์ยักษ์แห่งนี้
ตัวอย่างเช่นเยว่เฟยที่ไม่เคยออกไปไหนไกลมากกว่าห้าหมื่นลี้เลย แม้ผู้คนภายในระยะห้าหมื่นลี้จะรู้จักเขา เมื่อเขาออกนอกพื้นที่ไปจะไม่มีใครรู้จัก
แม้กระทั่งจงต้าหงก็เหมือนกัน
เป็นเพราะว่าหวังหลินไม่ได้กังวลมากเกินกับการเปลี่ยนแปลงระดับฝึกตน จึงทำให้หวังหลินใช้เวลาเกือบเดือนเพื่อมาถึงใจกลางดาวเคราะห์โดยไม่ใช้วิชาอันใดเลย
ขณะที่เหาะเหิน จงต้าหงพยายามใช้ความแข็งแกร่งเต็มที่ของตัวเองและใช้วาทศิลป์มาประจบหวังหลิน อย่างไรก็ตามเขาไม่แค่ทำอย่างที่พูดแต่ยังทำงานหนักด้วย บ่อยครั้งแค่หวังหลินมองไปก็รู้แล้วว่าต้องทำอะไร
ระหว่างทางจงต้าหงก็บริการหวังหลินได้ดี
นี่เป็นหนึ่งจุดที่ฉวี่ลี่กั๋วขาดคุณสมบัติเมื่อเทียบกับจงต้าหง แม้แต่หวังหลินก็อดไม่ได้ที่จะมอบเม็ดยาเพิ่มเติมและชี้แนะการบ่มเพาะของจงต้าหง
เป็นผลให้จงต้าหงมีจิตวิญญาณมากขึ้น ไม่ต้องรอให้หวังหลินออกคำสั่ง เมื่อไหร่ที่พวกเขาเจอคนที่สามารถขโมยของมาได้ เขาจะพุ่งเข้าไปอย่างองอาจและกลับมาพร้อมกับสิ่งของเอาไว้แลกเปลี่ยนจำนวนมาก จากนั้นยื่นให้หวังหลินโดยไม่มีหมกเม็ด
“นายท่าน ตรงไปข้างหน้าเป็นระยะของอารามผลึกสายฟ้าแล้ว ดังนั้นเราไม่สามารถขโมยจากตรงนี้ได้อีก ในช่วงการแลกเปลี่ยนสามวันนี้ความขัดแย้งภายในพื้นที่ของอารามจะถูกสั่งห้าม นี่เป็นวิธีป้องกัน ก่อนหน้านี้เราไม่ได้มุ่งเป็นเส้นตรงและอ้อมไปเพื่อหลบเลี่ยงเซียนทรงพลังบางคน ข้ารู้ว่าระดับบ่มเพาะของนายท่านช่างสั่นสะเทือนสวรรค์ แต่อารามผลึกสายฟ้าเปิดขึ้นเพียงแค่สามวันเท่านั้น ดังนั้นเพื่อให้ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น พวกเขาสามารถเข้ามาระรานเราได้ระหว่างทางกลับ” ในช่วงที่ผ่านมาจงต้าหงค่อยๆ เปลี่ยนสรรพนามเรียกหวังหลินจาก “ผู้อาวุโส” ไปเป็น “นายท่าน”
สองคำนี้มีความหมายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จงต้าหงคิดว่าคำ “ผู้อาวุโส” ฟังดูเหมือนเป็นคนนอก หากเขาเรียกหวังหลินว่า “นายท่าน” เหมือนฉวี่ลี่กั๋วได้ คงทำให้เสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน
หวังหลินไม่ปฏิเสธและยอมให้จงต้าหงเปลี่ยนสรรพนามเรียกขาน
หลังจากเข้ามาในระยะอารามผลึกสายฟ้า เหล่าเซียนเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ประกายแสงลอยไปทั่วท้องฟ้า จงต้าหงระวังตัวมาก ถึงแม้ที่นี่จะป้องกันไม่ให้ต่อสู้ แต่การเผชิญกับเซียนที่แข็งแกร่งกลับทำให้เขาเคร่งเครียด
เซียนบางคนมาเป็นกลุ่ม มีมากกว่าสิบคนเหินข้ามท้องฟ้าด้วยความโอหัง หลายคนหลีกเลี่ยงพวกเขาไปด้วย
‘คนของเผ่าสายฟ้ากระจายเก่งกาจกว่ากลุ่มเซียนดินแดนชั้นในมากขนาดนี้…เซียนขั้นตัดวิญญาณหาได้ไม่ยากและยังมีขั้นแปลงวิญญาณจำนวนมากด้วย…’ ขณะหวังหลินเดินทางไปข้างหน้า พลันถอนสายตาจากลำแสงที่ผ่านไปด้วย
ขณะนั้นกลิ่นอายทรงพลังยิ่งโผล่ออกมาจากเบื้องหลังพวกหวังหลิน กลิ่นอายนี้ดุจคลื่นสมุทรและส่งเสียงดังสนั่น พื้นที่รอบๆ กลายเป็นสายฟ้า
เซียนรอบด้านทั้งหมดต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไป พวกเขามองเข้ามาด้วยท่าทีเคารพ
เป็นชายวัยกลางคนสวมมงกุฎเต๋า สองมือไพล่หลังเดินข้ามผ่านหวังหลินก่อเกิดสายลมกรรโชกรุนแรง
“เซียนขั้นเทวะ!!”
“นั่นมันราชาปีศาจทมิฬแห่งเขาหวู่เย่ลือกันว่าเขามีระดับขั้นเทวะระดับต้นและบรรลุระดับกลางได้ทุกเมื่อ!”
“เหล่าเซียนเฒ่ากล่าวกันว่าการออกจากภูเขาหวู่เย่ไม่ได้ออกมาได้ง่ายๆ เขาต้องมีตำแหน่งสูงแน่!”
“แน่นอนสิ ราชาปีศาจทมิฬติดทำเนียบสายฟ้ากระจายอันดับที่เจ็ดร้อยหกสิบหก หลังจากแลกเปลี่ยนผลึกสายฟ้าครั้งนี้เขาอาจจะเพิ่มตำแหน่งขึ้นไปอีก”
เซียนรอบด้านคำนับฝ่ามือด้วยความเคารพและเริ่มพูดคุยกันหลังจากชายวัยกลางคนจากไปแล้ว
“นายท่าน เขาคือราชาปีศาจทมิฬแห่งภูเขาหวู่เย่ ภูเขาหวู่เย่มีราชาอยู่สี่คน ทั้งหมดต่างเป็นเซียนเฒ่าขั้นเทวะกันทั้งนั้น” จงต้าหงรีบอธิบายให้หวังหลิน
ถึงแม้หวังหลินจะค้นความทรงจำของจงต้าหงไปแล้ว เขามองหาแต่เรื่องสำคัญเท่านั้น เขามองเรื่องเหล่านี้แบบผ่านๆ โดยไม่ได้ใส่ใจรายละเอียด
สายตามองไปที่ราชาปีศาจทมิฬ จากนั้นพยักหน้าเบาๆ แต่ไม่ได้กล่าวอะไร
ราชาปีศาจทมิฬเคยชินกับการนินทาแล้วจึงเมินเฉยไปหมด ทว่าเมื่อสายตาหวังหลินกวาดผ่านมา ความคิดเกิดการสั่นเทา รู้สึกเปลือยเปล่าและเม็ดเหงื่อชุ่มไปหมด
โชคดีที่ความรู้สึกนี้หายไปในพริบตา ราชาปีศาจทมิฬไม่กล้าหันกลับมาและเหาะเหินไปให้ไว
หวังหลินมีท่าทีสงบนิ่งพลางเข้าไปใกล้อารามผลึกสายฟ้าพร้อมกับจงต้าหง อารามอยู่ใกล้ขึ้นจนมองเห็นหมอกสีเขียวรอบๆ ภูเขา ในหมอกนั้นเปิดช่องว่างพอจะให้คนผ่านเข้าไปกลายเป็นทางเดินกว้างร้อยฟุต
มีเซียนที่ไม่แยแสสองคนสวมชุดสีแดงยืนอยู่ตรงนั้น พวกเขาดูอายุราวสี่สิบต้นๆ แต่เป็นเซียนเฒ่าที่บ่มเพาะมาหลายพันปี พวกเขาเหนือว่าเซียนขั้นแรกไปแล้วและอยู่ในขั้นมายาหยิน!
ทั้งสองกวาดสายตาเยือกเย็นหาเซียนที่กำลังเข้ามา เซียนคนใดที่ประสานสายตาจะเกิดอาการสั่นเทา เผยความกลัวและเคารพยกย่อง
แม้กระทั่งราชาปีศาจทมิฬยังเหมือนคนธรรมดาเมื่อเจอกับเซียนทั้งสองและกลายเป็นเคารพนบนอบ
ไม่ต้องให้จงต้าหงให้คำแนะนำ หวังหลินรู้ว่าทั้งสองคนนี้รับผิดชอบการคุ้มกันทางเข้า ตอนนี้มีเซียนหลายคนทะยานผ่านทางเดินและเข้าไปในส่วนลึก
รอบๆ มีเซียนจำนวนมากไม่น้อยกว่าพันคน ทว่าไม่มีคนใดมีท่าทีสงสัยหรือร้องคำราม พวกเขาเข้าไปในทางเดินอย่างเงียบๆ
ใช้เวลาไม่นานหวังหลินก็เปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย มองไปด้านข้าง วินาทีต่อมาก้อนเมฆปั่นป่วนและเกิดเสียงดังสนั่นออกมาจากภายใน สายฟ้ามากมายคล้ายจะเชื่อมต่อกับฟ้าดิน
เสียงดังสนั่นมาถึงในพริบตาและสั่นสะเทือนความคิดเซียนรอบๆ ด้าน แม้กระทั่งเซียนชุดแดงสองคนตรงข้างทางเข้ายังเผยท่าทีเคร่งขรึม
เสียงหัวเราะดังออกมาจากความว่างเปล่า ก้อนเมฆหดลงจนกลายเป็นชายชราสวมเสื้อคลุมแขนกุดก้าวออกมา
ชายชราคนนี้มีเรือนผมสีขาว ดวงตาแฝงประกายทรงพลัง ก้าวเท้าคล้ายจะข้ามผ่านกาลเวลาและทำให้โลกบิดเบือน
‘เซียนขั้นส่องสวรรค์…’ หวังหลินมีท่าทางนิ่งเฉยและเผยรอยยิ้มที่ไม่อาจสังเกตเห็น
วินาทีที่ชายชราปรากฎตัว เซียนนอกทางเดินทั้งหมดต่างหวาดกลัว พวกเขาหุบปากเงียบก่อนจะคำนับฝ่ามือและทักทายด้วยความเคารพ
“ยินดีต้อนรับ ผู้อาวุโสโจวเทียน…”
แม้แต่เซียนชุดแดงสองคนยังเกิดความเคารพ พวกเขารีบคำนับฝ่ามือและเอ่ยอย่างนอบน้อม “ผู้น้อยขอคารวะผู้อาวุโสโจวเทียน ผู้อาวุโสต้องมาเพื่อตั้งใจติดสิบอันดับแรกในทำเนียบเป็นแน่”
ชายชราคำนับฝ่ามือและหัวเราะ “ข้าเข้าไปติดสิบอันดับแรกไม่ได้หรอก แต่ถ้าเข้าไปติดสามสิบอันดับแรกได้ข้าก็มีความสุขแล้ว” หลังเอ่ยขึ้นมา พลันดีดเม็ดยาสองเม็ดเข้าใส่มือเซียนชุดแดงสองคน จากนั้นเดินเข้าไปในทางเดิน เหล่าเซียนทั้งหมดหลีกทางให้
เซียนชุดแดงสองคนมองเม็ดยาในมือและเผยสีหน้ามีความสุข คำนับฝ่ามือให้หลังชายชรา
หวังหลินมองทิศทางที่ชายชราเข้าไปโดยไม่เผยสิ่งที่ตนเองคิด
หลังชายชราจากไปแล้ว เซียนรอบๆ จึงเริ่มพูดคุยกัน
“เซียนขั้นที่สองมักจะมาในวันสุดท้าย ไม่คิดว่าผู้อาวุโสโจวเทียนจะมาในวันแรก”
“ข้าสงสัยว่าเมื่อไหร่ข้าจะทำให้อักขระเผ่าตื่นขึ้นมาจนมีพลังอำนาจเหมือนผู้อาวุโสโจวเทียน บางสำหรับข้ามันอาจจะเป็นไปไม่ได้”
“ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ลือกันว่าผู้อาวุโสโจวเทียนเจอโชคดีตั้งแต่เยาว์วัย ชีวิตมีทั้งสูงสุดและต่ำสุด บางทีวันหนึ่งเราจะเจอโชคดีของตัวเอง”
ขณะที่พวกเขาพึมพำ หวังหลินและจงต้าหงเดินเข้าสู่เส้นทาง คนชุดแดงสองคนมองหวังหลินและไม่พบอะไรผิดปกติจึงปล่อยผ่านไป ในสายตาพวกเขา หวังหลินและจงต้าหงไม่คู่ควรพอให้ใส่ใจ
ขณะที่หวังหลินเข้าไปในหมอกสีเขียว ดวงตาพลันสว่างวาบ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าสู่พื้นที่สำคัญของเผ่าสายฟ้ากระจาย! หลังจากเข้าสู่หมอกเขียวนี้แล้ว หวังหลินมองไปรอบๆ ดวงตาเผยแสงประหลาด
‘หมอกนี่…’
………………………………….