1453. มองฟ้าด้วยสายตาเยือกเย็น
เฒ่าพิษเดียวดายโบกสะบัดแขนให้สายลมเหม็นหึ่งเข้าล้อมรอบตัวเอง เพลิงนรกานต์ก็ช่วยเขาต่อต้านปรมาจารย์เต๋าเมียวหยินอีกทางหนึ่ง
ทั้งคู่ต่างก็เป็นเซียนที่ทรงพลัง ดังนั้นแม้จะสามารถใช้ได้เพียงขั้นสวรรค์ดับสูญระดับต้น การต่อสู้ของทั้งสองก็ยังอันตรายและสั่นสะเทือนสวรรค์
เฒ่าพิษเดียวดายมีสีหน้ามืดมน เขาพบดินแดนผนึกแห่งนี้ก่อนและใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อทะลวงเขตแดนเข้ามา
ขณะที่กำลังจะทำได้สำเร็จ ปรมาจารย์เต๋าเมียวหยินก็ปรากฏตัว เขาใช้การลอบโจมตีและจากนั้นก็เริ่มต่อสู้กันดุเดือด
ตามที่อีกฝ่ายกล่าวมา เขามาที่นี่ด้วยเศษเสี้ยววิญญาณของร่างคนอื่น ในแง่ของความแข็งแกร่งและวิชาแล้วจึงไม่สามารถเทียบกับร่างอวตารของปรมาจารย์เต๋าเมียวหยินได้ อีกทั้งเพราะร่างนี้ไม่ใช่ร่างที่เขาปรับแต่งขึ้นมาเองจึงไม่สามารถควบคุม เพลิงนรกานต์ได้
หากเขาต่อสู้กับเซียนขั้นที่สามทั่วไปคงจะไม่เป็นปัญหา แต่คู่ต่อสู้เป็นถึงคนระดับเดียวกัน ถึงไม่ใช่ปัญหาร้ายแรงนักแต่เขาก็มักจะเป็นคนเย่อหยิ่งและมีนิสัยประหลาดอยู่เสมอ ดังนั้นจึงมีสหายได้ยากยิ่ง เขาอยู่คนเดียวในสุสานบัญชาโบราณ ดังนั้นจึงพ่นลมหายใจเย็นและไม่มีคำอะไรโต้แย้ง
ในช่วงเวลาสั้นๆทั้งสองต่อสู้กันมาหลายร้อยครั้ง ด้านหลังแต่ละคนมีแท่นสีดำขนาดสี่หมื่นฟุตปลดปล่อยแรงกดดันรุนแรง การปะทะกันจากวิชาของทั้งสองคนได้เกิดเสียงคำรามสั่นสะเทือนจิตใจเซียนที่กำลังต่อสู้ด้านล่าง
ตอนนี้ด้านนอกดินแดนผนึก แท่นหินสีม่วงเข้มเคลื่อนผ่านสายหมอกไป หวังหลินยืนอยู่พร้อมกับเหล่าอสูรยุงเกือบแสนตัว สายตาเย็นเยียบมองไปข้างหน้าตามแผนที่ในใจ
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา หวังหลินดวงตาส่องสว่างและมองไปข้างหน้า หมอกด้านหน้าเขาดูเหมือนจะบิดเบือนราวกับมีอีกโลกหนึ่งข้างใน
‘มีดินแดนผนึกอยู่จริงๆ ดูเหมือนเส้นทางในแผนที่จะไม่ผิดพลาด จากที่นี่ไปทางเหนือ ข้าจะสามารถออกจากพื้นที่ชั้นนอกและเข้าสู่ส่วนลึกของสุสานได้!’ หวังหลินหยุดอยู่ด้านนอกดินแดนผนึก จ้องมองข้างหน้าและเริ่มขบคิด
‘เด็กสาวจากเผ่าทำลายผนึก…ข้าไม่รู้ว่าจะมีเซียนขั้นที่สามอยู่ข้างในหรือไม่… ข้าควรระมัดระวังตัวเอง’ หวังหลินชี้ไปข้างหน้าและให้ยุงตัวหนึ่งพุ่งออกไป หวังหลินวางเศษสัมผัสวิญญาณใส่เข้าไปด้วยและให้เจ้ายุงพุ่งเข้าไปในสายหมอก
พริบตานั้นอสูรยุงก็หายวับเข้าไปเมื่อสัมผัสกับหมอกบิดเบือน
ในท้องฟ้าของดินแดนผนึก ปรมาจารย์เต๋าเมียวหยินและเฒ่าพิษเดียวดายกำลังต่อสู้กันจนเกิดเป็นพายุล้อมรอบ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นการต่อสู้รุนแรงข้างในได้ อย่างไรก็ตามพายุก็กวาดผ่านโลกข้างในจนน่าตกตะลึงยิ่ง
อสูรยุงปรากฏขึ้นในมุมหนึ่งและอยู่นิ่งๆ สัมผัสวิญญาณของหวังหลินที่อยู่บน เจ้ายุงพลันมองเห็นทุกอย่าง ทว่าวินาทีนั้นมีลำแสงสายหนึ่งพุ่งออกมาจากพายุเข้าหาอสูรยุง มันระเบิดในทันที แม้กระทั่งเสี้ยวสัมผัสวิญญาณของหวังหลินก็ถูกทำลาย
“คนนอกไม่อนุญาตให้เข้ามา ไปซะ!!” ปรมาจารย์เต๋าเมียวหยินเอ่ยเสียงกึกก้อง
หวังหลินหน้าซีดเล็กน้อยอยู่นอกดินแดนผนึก แต่ก็รีบฟื้นคืนได้อย่างรวดเร็ว แววตากะพริบเย็นเยียบ
‘ปรมาจารย์เต๋าเมียวหยิน…คนที่กำลังต่อสู้กับเขานั้นเต็มไปด้วยพิษและยังเป็นเซียนขั้นที่สามอีก…มันเร็วเกินจนข้ามองไม่ชัดว่าเป็นใคร!’ หวังหลินดวงตาส่องสว่าง เขามองเห็นพื้นดินด้านล่างเช่นกันซึ่งมีเซียนเกือบร้อยคนกำลังต่อสู้ รวมถึงเด็กสาวจากเผ่าทำลายผนึกด้วย
‘ระดับบ่มเพาะของปรมาจารย์เต๋าเมียวหยินค่อนข้างประหลาด…เขาดูเหมือนเท่ากับระดับของปรมาจารย์ซือโม่…คนที่เขากำลังต่อสู้ก็เหมือนกัน…’ หวังหลินเริ่ม ขบคิด ตอนที่เขาเห็นสตรีชุดขาว เขาพบว่าระดับบ่มเพาะของนางตกลงมาอย่างมากเมื่อเทียบกับตอนที่นางอยู่ด้านนอกสุสานบัญชาโบราณ
ตอนนี้พอมาเห็นปรมาจารย์เต๋าเมียวหยินอีกครั้ง และเห็นว่าเขาเองก็อ่อนแอไปเยอะมากเหมือนสตรีชุดขาว หวังหลินเริ่มคาดเดามากขึ้น ‘ข้าควรเดิมพันหรือไม่…’ หวังหลินขมวดคิ้ว
หากเขาเดาผิด เขาคงไม่สามารถเข้าดินแดนผนึกได้เลย ห้าปรมาจารย์แห่ง ดาราจักรโบราณนั้นต่างก็ทรงพลังเกินไป! หวังหลินไม่มีโอกาสเอาชนะพวกเขาได้แน่!
ครู่ต่อมาในแววตาหวังหลินกะพริบเย็นเยียบ เขาพุ่งไปข้างหน้าพร้อมเหล่าอสูรยุงโดยไม่ลังเล ‘ข้ามั่นใจว่าระดับบ่มเพาะของเขาโดนระงับไว้ในสุสาน ไม่เช่นนั้นทำไมถึงทำลายสัมผัสวิญญาณข้าเพื่อขับไล่ไป? ในฐานะหนึ่งในห้าปรมาจารย์ เขาจะหวาดกลัวคนอื่นทำไม เว้นแต่จะมีเรื่องอื่นให้กังวล? ตอนนี้เขากำลังต่อสู้กับคนอื่น นี่เป็นโอกาสดีที่สุด แม้เด็กสาวจากเผ่าทำลายผนึกนั่นคือหญิงรับใช้ของเขา แต่ข้าต้องจับนางให้ได้!’
หวังหลินเร่งความเร็วและพุ่งเข้าไปในมิติบิดเบือน หายวับไปพร้อมกับเหล่า อสูรยุงมากมายรอบตัว
เสียงดังสนั่นกึกก้องขึ้นในดินแดนผนึก จากนั้นเกิดการบิดเบือนขนาดใหญ่ เหล่าอสูรยุงดุร้ายปรากฏตัวขึ้นมาและทำให้เหล่าเซียนด้านล่างหันมามอง
อสูรยุงมีอยู่จำนวนมาก พวกมันปรากฏตัวขึ้นในพริบตาและปกคลุมเหนือน่านฟ้า ขณะที่พวกมันเริ่มเต็มไปทั่วฟ้า การบิดเบือนก็ยิ่งรุนแรงขึ้น จากนั้นแท่นหินขนาดสามหมื่นฟุตปรากฏขึ้นมา! หวังหลินยืนอยู่บนแท่นหิน เส้นผมสีขาวพลิ้วสะบัด
การปรากฏตัวของเขาทำให้เหล่าเซียนด้านล่างตกใจ เด็กสาวจากเผ่าทำลายผนึกมองขึ้นไป พอนางเห็นหวังหลินจึงหน้าซีดขึ้นมา ทว่าก็เปลี่ยนเป็นจิตสังหารอย่างรวดเร็ว
“แท่นระดับสาม!! หรือจะมีเซียนขั้นที่สามอีกคนเข้ามาที่นี่?”
“คนผู้นี้ดูไม่คุ้นหน้า หรือเซียนขั้นที่สามจะมาด้วยร่างคนอื่น? อสูรพวกนี้ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน หรือจะเป็นอสูรอีกแบบในสุสาน?” เหล่าเซียนเกือบร้อยคนมองขึ้นไปที่หวังหลินและอสูรยุง
ชั่วขณะที่หวังหลินปรากฏตัว เหล่าอสูรยุงร้องคำรามและพุ่งใส่เซียนด้านล่างโดยไม่ลังเล
หวังหลินไม่ได้มองไปที่พายุ เขาก้าวออกไปจากแท่น พุ่งหาเด็กสาวจาก เผ่าทำลายผนึกราวกับสายฟ้าฟาด
“นายท่าน ช่วยด้วย!!” นางกรีดร้องพร้อมกับรีบล่าถอย เหล่าเซียนนับสิบรอบตัวนางคือทาสรับใช้ของปรมาจารย์เต๋าเมียวหยิน พวกเขารีบใช้วิชาของตัวเองปกป้องนางพร้อมกับล่าถอยไปด้วย
นางรีบสร้างผนึกขึ้นมา อักขระเผ่าส่องประกายและชี้ใส่หวังหลิน “ในฐานะลูกหลานของเผ่าทำลายผนึก ข้าขอสังเวยวิญญาณข้า…”
ทว่าหวังหลินรวดเร็วเกินไปและประชิดในพริบตา ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งมีแววตากะพริบจิตสังหาร เขาสังเกตได้ว่าหวังหลินไม่ใช่เซียนขั้นที่สามและจึงมีเจตนาจะขัดขวางหวังหลิน
หวังหลินท่าทีสงบนิ่ง ขณะเข้าไปใกล้ชายวัยกลางคนจึงชี้ออกไป จิตสังหารในชายวัยกลางคนพลันเปลี่ยนเป็นเพลิงไร้ลักษณ์และเผาไหม้อย่างรุนแรง
ชายวัยกลางคนกรีดร้องโหยหวน เขาล่าถอยแต่เพลิงไร้ลักษณ์รุนแรงยิ่งกว่าเดิมจนทำให้เขาเกือบเป็นมนุษย์เพลิง
หวังหลินไม่หยุดแค่นั้นและพุ่งไปข้างหน้า เขารวดเร็วมากจนแทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เซียนอีกเจ็ดถึงแปดคนเดิมทีต้องการหยุดเขาแต่กลับตกตะลึงด้วยเพลิง ไร้ลักษณ์ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหยุดลงและเต็มไปด้วยสายตาหวาดกลัว
หวังหลินสะบัดแขนด้วยท่าทีสงบนิ่ง เพลิงไร้ลักษณ์ปรากฏขึ้นอีกครั้งทำให้ เซียนเจ็ดถึงแปดคนเริ่มเผาไหม้และจากนั้นก็ล่าถอยอย่างรวดเร็วจนไม่กล้าหยุด หวังหลินอีก “อัญเชิญวิชาสุดยอดผนึกของเผ่า…” เด็กสาวใบหน้าซีด นางรีบถอยด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยมั่นคง เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและแข็งกระด้าง
ตั้งแต่หวังหลินปรากฏตัวในดินแดนผนึกแห่งนี้เพิ่งผ่านไปแค่ไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น หวังหลินเคลื่อนร่างเข้าใกล้นางจนเหลือระยะไม่ถึงพันฟุต ระหว่างทั้งสองคนนอกจากเซียนเจ็ดถึงแปดคนที่กำลังถอยร่นและกรีดร้อง ยังมีเซียนอีกมากกว่าสิบคนที่ดูหวาดกลัวตอนที่หวังหลินเข้ามาใกล้ เมื่อเข้ามาใกล้ขึ้นทั้งหมดจึงล่าถอยและไม่กล้าหยุดหวังหลิน ทุกที่ที่หวังหลินผ่านจะมีคนวิ่งหนี
ระยะห่างจึงเหลือเพียงสองร้อยฟุต หนึ่งร้อยฟุต สามสิบฟุต
“เจ้าหนู กล้าดีอย่างไร!!” ขณะที่หวังหลินเข้าไปใกล้เด็กสาวในระยะสามสิบฟุต ปรมาจารย์เต๋าเมียวหยินร้องคำรามออกมาจากพายุ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะอีกเสียงที่ดูเก่าแก่เพื่อหยุดยั้งเมียวหยิน ปรมาจารย์เต๋าเมียวหยินส่งเสียงร้องออกมาเป็นลำแสงทะลุผ่านพายุตรงเข้าหาหวังหลินและมีพลังของวิญญาณเพลิงนรกานต์นับ แสนดวงอยู่ด้วย ขณะที่หวังหลินเข้าใกล้ เสียงของเด็กสาวเผ่าทำลายผนึกจึง ดังกึกก้อง
“… ผนึกแก่นแท้ของเขา…”
หวังหลินกระทั่งไม่หันไปมอง สายฟ้าในตาขวากะพริบวาบและปรากฏอักขระสายฟ้าขึ้นด้านหลังพร้อมกับสายฟ้าเสริมเก้าชนิดหมุนอยู่รอบๆ ส่วนตาซ้ายมีเพลิงเก้าสี เผาไหม้และผสานเข้ากับอักขระสายฟ้าโดยไม่คาดคิด แก่นแท้แห่งสายฟ้าและ เปลวเพลิงผสานกันก่อเกิดเป็นอักขระสายฟ้าเผาไหม้ที่สมบูรณ์แบบ แสงจากวิญญาณเพลิงนรกานต์นับแสนดวงเข้าปะทะกับอักขระสายฟ้าเพลิงจนเกิดเสียงดังปังและ ทำให้หวังหลินร้องคำราม เขาหยิบยืมพลังสะท้อนนี้พุ่งไปข้างหน้า ส่งดัชนีร่อนลงกลางหน้าผากเด็กสาวจากเผ่าทำลายผนึก
นางยังไม่ทันเอ่ยประโยคให้จบลง ภาพทัศนวิสัยได้ถูกดัชนีของหวังหลินเข้าทดแทน เมื่อดัชนีร่อนลงกลางหน้าผากจึงทำให้นางกระอักโลหิตออกมาทันที เขตอาคมนับไม่ถ้วนเข้าผนึกทั่วร่างกาย เพียงแค่หวังหลินสะบัดแขนเสื้อ นางก็ถูกเก็บเข้าไปในมิติเก็บของของเขาแล้ว
กระบวนการทั้งหมดไหลลื่นราวกับแม่น้ำ หวังหลินหันกลับมามองดูท้องฟ้าด้วยสายตาเยือกเย็น!