1489. ซื่อจื่อเฟิง
อารมณ์บางอย่างผุดขึ้นมา ความทรงจำของหวังหลินเกี่ยวกับซื่อจื่อเฟิงมีไม่มากนักแต่เขาไม่ได้ลืมนาง เหมือนมีใครสักคนที่ชื่นชอบในชีวิต หรือมีใครสักคนที่ชอบตัวเอง
เขาสามารถปฏิเสธอย่างสุภาพและปล่อยให้สตรีเช่นนี้ไปได้ แต่คงไม่ลืมแน่นอน
หวังหลินมองเห็นอาการบาดเจ็บของซื่อจื่อเฟิงได้ชัดเจน วิญญาณดั้งเดิมของนางบาดเจ็บมาหลายครั้งทำให้รักษาได้ยาก และที่ชัดที่สุดคือวิญญาณดั้งเดิมของนางได้รับความเสียหายผ่านมาเพียงไม่นาน
“นางบาดเจ็บได้อย่างไร?” หวังหลินกวาดสายตาผ่านเซียนนับร้อยและท้ายที่สุดก็มองชายชราผู้หนึ่ง เขารู้สึกว่าชายชราคนนี้ดูคุ้นเคย นึกออกลางๆว่าชายชราคนนี้คือหนึ่งในคนที่เขาพาออกมาจากแดนสวรรค์อัสนี
ชายชราตื่นเต้นตอนที่หวังหลินมองมา กลุ่มที่หวังหลินช่วยเอาไว้ยังรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณจนกระทั่งตอนนี้ ด้วยชื่อเสียงของหวังหลินที่เพิ่มขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน พวกเขายิ่งเคารพหวังหลินมากกว่าเดิม
“ท่านผู้มีพระคุณ!” น้ำเสียงชายชราสั่นเทาและคำนับฝ่ามือให้หวังหลิน
ชายวัยกลางคนด้านหน้าตัวสั่น สายตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ขณะเดียวกันเขาก็หันไปทางชายชราและคาดสายตาใส่โดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตามสายตานี้ก็พังทลายไปเมื่อชายชรากล่าวขึ้น
ราวกับสิ่งที่เขายินคือเสียงโลกกำลังพังทลายอยู่รอบๆ
“มันผู้นั้น! ถ้าไม่ใช่เพราะเขาบังคับสหายเซียนซื่อจื่อ วิญญาณดั้งเดิมของนางคงไม่บาดเจ็บสาหัส!” ชายชราชี้ใส่ชายวัยกลางคนที่คุกเข่าด้านหน้า
ชายวัยกลางคนเร่งเร้าความกล้าภายใต้ความหวาดกลัวขึ้นมาและรีบลุกขึ้น เขาถอยไปพลางร้องคำราม “โจวคงหยุน เจ้าใส่ร้ายข้า!! ในฐานะผู้ส่งสาส์นแห่งอารามเทพอัสนี ข้ามีสิทธิ์สั่งการพวกเจ้าให้เคลื่อนย้ายดาวเคราะห์ ทุกคนต้องเชื่อฟังคำสั่งข้า เจ้ากล้าสบประมาทข้าเช่นนี้หรือ? เจ้ามีเจตนาอะไร?”
“ผู้อาวุโสอย่าไปฟังข้อกล่าวหาของมัน ผู้น้อยทำทุกอย่างเพื่อช่วยดาราจักรทุกชั้นฟ้าเตรียมการรบ ข้าไม่ได้บังคับสหายเซียนจื่อซื่อเลยแม้แต่น้อย ผู้น้อยกระทั่งรู้จัก สหายเซียนจื่อซื่อ ดังนั้นจึงรู้ว่าข้าควรจะ…” ชายวัยกลางคนรีบถอยกลับไปจนกระทั่งห่างได้มากกว่าพันฟุต
หวังหลินมองชายชราที่กำลังถอยด้วยสายตาเยือกเย็นแบบเดียวกับที่มองการทำลายล้างดาวตงหลิน หวังหลินมองออกดังนั้นจึงรู้ความจริงได้เพียงแค่กวาดสายตา
“กลั่นแกล้งผู้หญิงอ่อนแอ เจ้ารนหาที่ตาย!” ยิ่งซื่อจื่อเฟิงก้มหน้าลงและถอยร่น นางยิ่งกระทบต่อหวังหลิน
ช่วงเวลาแปดร้อยปีมีหลายอย่างเกิดขึ้น อดีตราวกับเป็นความฝัน เวลาปัจจุบันกลับพร่าเลือน สิ่งที่นำพาให้หวังหลินอยู่ตรงนี้คือใบหน้าโศกเศร้าของคนคุ้นหน้า คุ้นตากำลังหายไปตามกาลเวลา
หวังหลินจ้องมองชายวัยกลางคนที่กำลังถอยอย่างหวาดกลัว หวังหลินยกแขนขวาขึ้นมาด้วยแววตาเย็นเยียบ
“ท่านสังหารข้าไม่ได้!! ข้าเป็นผู้ส่งสาส์นแห่งอารามเทพอัสนี ข้าอยู่ใต้คำสั่งของอารามเทพอัสนีเพื่อเตรียมการรบและมีคำสั่งของอาราม หากท่านสังหารข้าตอนนี้ ท่านจะกลายเป็นศัตรูของอารามเทพอัสนีและขัดขวางการเตรียมสงครามของทุก ชั้นฟ้า ไม่ใช่เพียงแค่ท่านจะเป็นศัตรูของทุกชั้นฟ้า แต่ท่านจะกลายเป็นศัตรูของทั้ง สี่ดาราจักรด้วย!!”
“ระดับบ่มเพาะข้าไม่ได้สูง แต่ข้ายังมีพลังอำนาจพอจะต่อต้านดินแดนชั้นนอก ข้าต้องการสู้กับดินแดนชั้นนอก ข้าต้องการมอบความแข็งแกร่งทั้งหมดของข้าเข้าต่อสู้เพื่อดินแดนชั้นใน ท่านสังหารข้าไม่ได้!! แม้ท่านอยากจะสังหารข้า ท่านต้องให้โอกาสข้าต่อสู้กับดินแดนชั้นนอกและปล่อยให้ข้าตายบนสนามรบ!!” ชายวัยกลางคนล่าถอยและร้องคำรามด้วยข้อแก้ตัวทั้งหมดที่คิดได้
ตอนที่เขาเยาว์วัย เขามีดีด้านการพูดและเล่ห์เหลี่ยม ตอนนี้เมื่อเผชิญหน้ากับความตาย ทักษะเหล่านั้นจึงแสดงผลเต็มที่!
“ข้าจะไม่มีวันเสียใจหากข้าตายในสนามรบ ข้าไม่ต้องการตายในดินแดนทุกชั้นฟ้า ข้ารู้ว่าผิดไปแล้วแต่บทลงโทษไม่สมควรตาย!! หากท่านต้องการสังหารข้า มอบโอกาสให้ข้ารอดชีวิตร้อยปีเพื่อที่ข้าจะได้ต่อสู้!!”
หากเป็นเซียนธรรมดาคงคล้อยตามคำพูดเหล่านี้และอาจจะปล่อยเขาไป คำพูดเหล่านี้มีจุดประกายและต้องการตายเพื่อดินแดนชั้นใน
ความจริงแล้วชายวัยกลางคนใช้วาทศิลป์นี้จนได้ผลประโยชน์ยิ่งใหญ่ในชีวิตมา แม้แต่ตำแหน่งผู้ส่งสาส์นแห่งอารามเทพอัสนี้ก็ได้มาเพราะคำพูดของเขา
อย่างไรก็ตามครั้งนี้เขาเจอกับหวังหลิน ด้วยแผนการและเล่ห์เหลี่ยมทั้งหมดจากคนที่หวังหลินเผชิญ เขาสามารถบอกได้เพียงแค่ชำเลืองว่าทุกอย่างที่คนพูดนี้พูดมาล้วนเป็นเรื่องโกหก!
หวังหลินยกแขนขวาและปล่อยมันตกลงมาเบาๆ ชายวัยกลางคนที่กำลังถอยจึงส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนพร้อมกับเสียงดังปะทุขึ้นทั่วร่าง หมอกโลหิตกระจายออกจากทุกส่วนของร่างกายและในไม่นานโลหิตก็ปกคลุมไปทั่วร่างเขา
“นางตัวดีนี่ถูกหลายคนกลั่นแกล้งมาตลอดหลายร้อยปี ทำไมท่านสังหารข้าคนเดียว? หากท่านเก่งจริงก็สังหารทั้งหมดเลยสิ!!” เสียงคำรามสุดท้ายดังกึกก้องพร้อมกับ ร่างชายวัยกลางคนระเบิดเป็นจุล วิญญาณดั้งเดิมถูกกวาดล้างออกไปจากโลกนี้
สังหารเซียนขั้นส่องสวรรค์เสมือนบี้มดแมลง!
เหล่าคนรอบด้านต่างเงียบสนิท แม้กระทั่งชายชราก็ยังสั่นเทา จิตใจแต่ละคนเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง แม้จะรู้ว่าหวังหลินแข็งแกร่ง แต่พอมาเห็นเซียนขั้นส่องสวรรค์ตายไปเพียงแค่สะบัดมือโดยไม่มีโอกาสต่อต้านเช่นนี้แล้วก็ยังทำให้พวกเขาตกตะลึงอยู่ดี
หวังหลินกวาดสายตาผ่านเหล่าเซียนไป ก้าวคราเดียวพุ่งเข้าไปในกลุ่มและ หายวับไปพร้อมกับซื่อจื่อเฟิง
เสียงเบาบางล่องลอยออกมาไกลและเปลี่ยนกลายเป็นเม็ดยาหนึ่งเม็ดที่ลอยอยู่เบื้องหน้าชายชรา
“ใช้เม็ดยานี้และปิดด่านบ่มเพาะ ทำความเข้าใจวิญญาณอสูรข้างใน ระดับบ่มเพาะของเจ้าจะเพิ่มขึ้น!”
เม็ดยาเปล่งพลังดั้งเดิมผันผวนรุนแรง แค่ดมกลิ่นก็ทำให้จิตใจผ่อนคลายและรู้สึกเหมือนบ่มเพาะมานานหลายเดือนแล้ว
ภายในดาราจักรทุกชั้นฟ้า บนดาวเคราะห์ร้างครึ่งดวง หิมะหล่นลงจากฟากฟ้าปกคลุมพื้นดินเป็นชั้นสีขาว ในทิศเหนือของดาวดวงนี้มีภูเขาลูกหนึ่งที่ปกคลุมไป ด้วยหิมะ
ซื่อจื่อเฟิงยืนอยู่บนยอดภูเขา ใบหน้านางซีดเซียวและฝืนหยุดหลั่งน้ำตาพร้อมกับขบคิดอยู่เงียบๆ
เบื้องหน้านาง หวังหลินกำลังมองมาด้วยท่าทีซับซ้อนอธิบายไม่ถูก เขาถอนหายใจและสะบัดแขนขวา พลังอ่อนโยนเข้าไปในร่างนางและเปิดทางเข้าสู่วิญญาณดั้งเดิม พริบตาเดียวอาการบาดเจ็บก็ฟื้นฟู
ซื่อจื่อเฟิงร่างสั่นเทาและก้มหน้าลงอีกครั้ง
พลังดั้งเดิมในร่างกายนางไม่ได้สลายไปหลังจากฟื้นฟูวิญญาณดั้งเดิม แต่มันพุ่งเข้าใส่ใบหน้า เสียงแตกร้าวดังกึกก้อง รอยแผลเป็นบนใบหน้าที่ซึ่งเซียนธรรมดาไม่สามารถฟื้นฟูได้ รอยแตกร้าวเพิ่มมากขึ้นทีละนิ้วก่อนจะถูกสายลมพัดผ่าน
เศษรอยแผลเป็นหลุดร่วง ใบหน้างดงามของซื่อจื่อเฟิงผุดขึ้นมา นอกจากริ้วรอยตามอายุแล้ว แทบไม่มีความแตกต่างจากก่อนหน้านี้
สตรีงดงามจากอดีตยังคงบริสุทธิ์ เพียงแต่ร่องรอยแห่งกาลเวลาทำให้นางดูเหมือนคุณหญิง
ซื่อจื่อเฟิงยกแขนขึ้นสัมผัสใบหน้าเรียบเนียน หยดน้ำตาไหลลงอีกครั้ง แปดร้อยปีก่อนนางทำลายใบหน้านี้ด้วยตัวเอง นางไม่เคยคิดว่าคนเดิมเมื่อแปดร้อยปีก่อนผู้นั้นจะมาฟื้นคืนใบหน้าให้
หวังหลินมองดูเกล็ดหิมะที่กำลังร่วงหล่นและปล่อยให้มันกระทบบนร่าง “ในชีวิตข้ารับศิษย์มาแค่สองคนเท่านั้น หนึ่งชื่อว่าเซี่ยฉิงและอีกคนชื่อว่าฉือซาน…เจ้าอยากกลายเป็นศิษย์คนที่สามของข้าหรือไม่…”
ซื่อจื่อเฟิงร่างสั่นเทา ขณะที่นางขบคิด หยาดน้ำตาไหลรินมากยิ่งกว่าเดิม
หวังหลินไม่ได้กล่าวต่ออีกและรอคอยคำตอบ เขาไม่ใช่คนใจร้ายใจดำอะไร แต่ก็ไม่สามารถยอมรับทุกอย่างได้ เขาสามารถหยุดตัวเองไม่ให้ชอบคนอื่น แต่มีบางสิ่งที่เขาไม่สามารถหยุดได้…เขาไม่สามารถหยุดสตรีผู้นี้ที่ชื่นชอบเขาตั้งแต่แปดร้อยปีก่อนได้ หรืออีกความหมายคือเขาไม่สามารถหยุดความรู้สึกของนางในช่วงแปดร้อยปีหลังได้
เทียบกับการที่เขาตอบหลี่เฉียนเหมย หวังหลินไม่สามารถกล่าวคำพูดไร้ความรู้สึกเช่นนั้นให้แก่ซื่อจื่อเฟิงได้
ในโลกนี้มีความสัมพันธ์หลายอย่างระหว่างบุรุษและสตรี
กาลเวลาผ่านไปอย่างเชื่อช้า หิมะตกลงเบื้องหน้าทั้งสองมากยิ่งขึ้น…ซื่อจื่อเฟิงเผยรอยยิ้มอ่อนโยนและเป็นครั้งแรกที่นางเงยหน้า นางมองร่างที่ยืนอยู่โดยมีด้านหลังเป็นม่านหิมะ
ราวกับนางต้องการแกะสลักร่างเขาไว้ในใจและค่อยๆซ้อนทับร่างในอดีต
นางค่อยๆบรรจงคุกเข่าลง
การคุกเข่าครั้งนี้เป็นการตัดความรู้สึกจากแปดร้อยปีก่อน
การคุกเข่าครั้งนี้คือการทำวิถีแห่งเวรกรรมให้เสร็จสิ้น
การคุกเข่าครั้งนี้ทั้งขมขื่นและทำให้ซื่อจื่อเฟิงโล่งใจไปด้วย
นางคุกเข่าบนหิมะและเอ่ยกระซิบ “ศิษย์ขอคำนับอาจารย์…” หยาดน้ำตาสองสายไหลลงบนแก้มเนียนละเอียดและหล่นลงบนหิมะ พื้นหิมะถูกน้ำตาหยดใส่จนเป็นหลุมลึกสองรู
อย่างไรก็ตามหลุมนี้ถูกหิมะปกคลุมต่ออีกทอดอย่างรวดเร็ว…หวังหลินกล่าวเบาๆ “มากับข้า…”
ซื่อจื่อเฟิงลุกขึ้นและกระซิบ “บ้านของศิษย์อยู่ในดาราจักรทุกชั้นฟ้า…”
หวังหลินขบคิดเงียบๆ หลังจากนั้นสักพักจึงสะบัดแขนขวา พลังดั้งเดิมอันทรงพลังพรั่งพรูเข้าสู่ร่างซื่อจื่อเฟิง ขณะที่ช่วยวิญญาณดั้งเดิมของนาง เขาได้เพิ่มความรู้ความเข้าใจอีกมากมายเพื่อให้นางสามารถรับมือได้ในตอนนี้
ซื่อจื่อเฟิงทะลวงผ่านระดับบ่มเพาะขั้นรูปธรรมหยางและบรรลุขั้นส่องสวรรค์ในทันที!
แต่ว่ายังไม่จบแค่นั้น มันดำเนินต่อไปจนกระทั่งซื่อจื่อเฟิงบรรลุขั้นชำระสวรรค์ จากนั้นพลังดั้งเดิมเปลี่ยนกลายเป็นผนึกสามอย่างที่ระงับระดับบ่มเพาะของนาง ซึ่งจะทำให้นางค่อยๆเข้าใจและย่อยระดับบ่มเพาะไปด้วยกันได้
แม้จะด้วยระดับบ่มเพาะของหวังหลิน การส่งต่อการฝึกฝนถือเป็นเรื่องยากอยู่ดี