1490. ดัชนีกระบี่ ปรมาจารย์ลั่วฟู่
หิมะรุนแรงมากยิ่งขึ้น
หลังจากไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน หวังหลินถอนมือขวาและยื่นเข้าหาท้องฟ้า เกล็ดหิมะมากมายควบแน่นในฝ่ามือกลายเป็นก้อนหิมะซึ่งมันเป็นรูปเป็นร่างยิ่งกว่าเดิม
หวังหลินกัดปลายลิ้นและพ่นโลหิตเทพโบราณออกไป หยาดโลหิตกระทบก้อนหิมะจนเกิดเสียงดังซี่ๆ มันย้อมหิมะเป็นสีแดงและยังละลายหิมะไปด้วย
ขณะนั้นหิมะตกลงมามากขึ้นและกลายเป็นผลึกน้ำแข็ง หวังหลินสะบัดแขนเปลี่ยนผลึกน้ำแข็งโลหิตนั้นให้กลายเป็นกระบี่ยาว!
กระบี่ยาวสีแดงโลหิต!
ขณะเดียวกันนั้นดวงตาขวาหวังหลินเกิดสายฟ้ากะพริบวาบและเศษเสี้ยวสายฟ้าขอบเขตจวี่ผุดขึ้นมา มันคือหนึ่งในเก้าสายฟ้าเสริมและลอยออกไปผสานเข้ากับกระบี่ได้อย่างสมบูรณ์
พริบตาเดียวเกิดจิตสังหารมหึมาปะทุจากกระบี่โลหิต
“ไม่มีใครที่ต่ำกว่าเซียนขั้นที่สามจะสามารถต้านทานกระบี่เล่มนี้ได้! ในเมื่อเจ้าไม่อยากออกไปจากบ้านเกิด ข้าจะมอบกระบี่เล่มนี้ไว้เพื่อปกป้องเจ้า! หากมีใครกล้าไม่เคารพเจ้า จงฟาดฟันพวกมันด้วยกระบี่เล่มนี้!” หวังหลินสะบัดแขนขวา กระบี่ลอยเข้าไปในร่างซื่อจื่อเฟิง กลายเป็นสมบัติช่วยชีวิตของนาง!
“อา…อาจารย์จะทำอีกอย่างให้เจ้า…เจ้ามีศิษย์พี่อยู่บนดาวฉิงหลิง หากเจ้าต้องการช่วย เจ้าสามารถไปด้วยกระบี่เล่มนี้ได้…ซื่อจื่อเฟิง…” หวังหลินมองสตรีเบื้องหน้า
นางกัดริมฝีปากและเงยหน้าขึ้นมองหวังหลินอย่างเงียบๆ ดวงตาทั้งคู่ประสานกัน ในสายตานางคือความรักที่เก็บซ่อนไว้ภายในใจตลอดแปดร้อยปี…หวังหลินขบคิดชั่วขณะพลางมองสตรีด้านหน้าอย่างลึกล้ำ เขาถอนหายใจก่อนจะหันตัวกลับและเดินจากไป
ซื่อจื่อเฟิงมองแผ่นหลังของหวังหลินที่ค่อยๆห่างออกไป ร่างในสายตาของซื่อจื่อเฟิงคือคนเดียวกับที่เคยใช้แผ่นดินเข้าทำลายทุกอย่างที่ขวางทาง
เงาคนผู้นั้นได้นำพาเหล่าเซียนหลายชีวิตออกมาจากแดนสวรรค์วายุ
ความภาคภูมิใจและซื่อตรงนั้นได้ผสานเข้ากับการต่อสู้ในตำแหน่งเทพ…ร่างสีขาวหิมะนั้นค่อยๆมาถึง หิมะที่กำลังตกลงมาทำให้ทัศนวิสัยของซื่อจื่อเฟิงพร่าเลือน
‘จบแบบนี้ บางที…คงดีกว่า…’ ซื่อจื่อเฟิงก้มศีรษะ
หวังหลินกะพริบแววตาเย็นเยียบพลางทะยานผ่านดวงดาว ด้วยระดับบ่มเพาะอันทรงพลังเขาจึงเดินทางด้วยความทรงจำในอดีตได้
เขาไม่ได้ยุ่งเรื่องส่วนตัวของซื่อจื่อเฟิงแต่จดจำเหล่าคนที่ทำให้นางอับอายตลอดแปดร้อยปีให้หลังได้อย่างชัดเจน รูปร่างหน้าตาและกลิ่นอายของคนเหล่านี้ผุดขึ้นเด่นชัดในใจหวังหลิน!
‘ข้าไม่คิดเรื่องการสังหาร…ไม่คิด…’ แววตาหวังหลินกะพริบจิตสังหารและเขาก็หายวับไป
ณ ดาวเคราะห์หยุนตง ตำแหน่งที่ตั้งของตระกูลจ้าว ตระกูลจ้าวเป็นตระกูลที่ใหญ่อันดับสองของดาวเคราะห์ แม้จะเทียบไม่ได้กับเหล่าผู้สืบทอดในอดีต ตระกูลจ้าวเองถือว่าทรงพลังยิ่งในพื้นที่ดวงดาวแถบนี้
หัวหน้าตระกูลคนปัจจุบันมีระดับบ่มเพาะสูงส่ง เขาสร้างผลงานไว้ได้เยี่ยมยอดในสงครามต่อสู้ระหว่างพันธมิตรเซียนและได้รับเม็ดยาวิเศษมา ตอนนี้เขาจึงอยู่ในระดับขั้นชำระสวรรค์ขั้นกลาง
สถานะของเขาบนดาวหยุนตงนับว่าสูงลิ่วและมีแต่ผู้คนเคารพ อย่างไรก็ตามมีน้อยคนรู้ว่าเมื่อแปดร้อยปีก่อนเขาเป็นหนึ่งในคนที่อยากได้ซื่อจื่อเฟิง เมื่อตระกูลซื่อตกต่ำเขาจึงลอบใช้วิธีบางอย่างเพื่อจับซื่อจื่อเฟิงมาเป็นภรรยา
แม้จะถูกคนอื่นหยุดเอาไว้ แต่มันได้ทิ้งบาดแผลลึกบนซื่อจื่อเฟิงผู้ที่ตระกูลเพิ่งแตกสลาย
แปดร้อยปีผ่านไปและหัวหน้าตระกูลจ้าวลืมเรื่องนี้ไปนานแล้ว เขานั่งอยู่บนห้องโถงหลักของบ้านตระกูลจ้าว ผู้คนในตระกูลจ้าวต่างก็กำลังฟังเขาสนทนาเต๋า
อย่างไรก็ตามขณะที่เขาเริ่มประโยคที่สาม กลิ่นอายเย็นเยียบมหึมาตกลงมา จากฟากฟ้าและล้อมรอบบ้านตระกูลจ้าวจนทุกคนข้างในตกตะลึง ปราณกระบี่ ตกลงมาด้วยความเร็วเกินคาดคิดเข้าหาห้องโถงหลักของตระกูลจ้าว เข้าหาบรรพชนตระกูลจ้าว!
เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก พริบตาเดียวปราณกระบี่พุ่งเข้าใส่หัวหน้าตระกูลจ้าว ร่างกายพังเสียหายและวิญญาณดั้งเดิมแตกดับ!
ด้านดาวเทียนมู่ ตระกูลตงหลาย หัวหน้าผู้อาวุโสถูกยกย่องว่าเป็นคนที่มีเมตตาที่สุดในตระกูล สามร้อยปีก่อนเขาอยู่ในขั้นชำระสวรรค์ระดับสูงสุดและจากนั้นกลายเป็นคนสวน เขาปลูกดอกไม้ประหลาดจำนวนมากและปลูกมันเพื่อบ่มเพาะจิตใจ
มีอยู่น้อยคนนักจะรู้ว่าเมื่อแปดร้อยปีก่อน ในฐานะสหายของตระกูลซื่อ ก่อนที่เขาจะกลายเป็นหัวหน้าผู้อาวุโส เขาบังคับให้ซื่อจื่อเฟิงทำลายภาพลักษณ์ของตัวเองและยึดสมบัติชิ้นสุดท้ายที่บรรพชนของนางให้มา
ในขณะนี้เขาสวมเสื้อผ้าขาดๆและกำลังรดน้ำดอกไม้เหมือนคนธรรมดา เบื้องหลังเขามีชายวัยกลางคนยืนเคารพอยู่สามคน
“การบ่มเพาะก็เหมือนปลูกดอกไม้ เจ้าต้องเข้าใจธรรมชาติและสัมผัสการเปลี่ยนแปลงในโลก แม้ว่าข้าจะไม่ได้ปิดด่านบ่มเพาะถึงสามร้อยปี ข้าลืมการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงในระดับบ่มเพาะไปแล้ว เหมือนว่าข้าได้เข้าใจเต๋าแห่งสวรรค์ที่แท้จริง”
“หัวหน้าผู้อาวุโสช่างรอบรู้” ชายวัยกลางคนทั้งสามพยักหน้าอย่างเคารพ
ชายชราเผยรอยยิ้ม เขารู้ดีว่าทั้งสามคนไม่เข้าใจ เขากำลังจะพูดต่อไปแต่ดวงดาวสั่นเทา ท้องฟ้าเปลี่ยนสีและก้อนเมฆแตกกระเจิง ปราณกระบี่สายหนึ่งพุ่งผ่านโลกเข้ามาและตกลงมาจากเบื้องบน!
ปราณกระบี่เล่มนี้รวดเร็วเกินไป ชายชราเพียงแค่มองขึ้นไปเท่านั้นปราณกระบี่ก็พุ่งเข้าใส่ร่างไปแล้ว ร่างกายเขาพังทลายแม้กระทั่งตัวตนยังถูกลบล้างอย่างสมบูรณ์!
เหลือเพียงบัวรดน้ำที่ตกลงบนพื้นโดยไม่ได้รับความเสียหายเลย
ณ ดาวซื่อเมียว ตระกูลโหลว ในฐานะหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเขตทิศใต้ของดาราจักรทุกชั้นฟ้า ปรมาจารย์น้อยมีระดับบ่มเพาะสูงส่ง ด้วยตระกูลที่หนุนหลังจึง มีน้อยคนกล้าล่วงเกินเขา
ตอนนี้ปรมาจารย์น้อยกำลังปิดด่านบ่มเพาะ เขาเปลือยเปล่าและกำลังขยับอยู่บนร่างเซียนสตรีผู้หนึ่ง ปล่อยเสียงร้องคำรามดุจสัตว์ป่า
เซียนสตรีด้านล่างนั้นน่ารักเป็นอย่างยิ่งแต่ใบหน้านางซีดเผือดเป็นที่สุด ท่าทีเปลี่ยนไปมหาศาลพร้อมกับอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและกลายเป็นโครงกระดูกในเวลาไม่นาน
ในขณะนั้นเซียนสตรีส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนพร้อมกับโลหิตไหลออกจาก ทวารทั้งหมดและตายอย่างน่าอนาถ
“คนต่อไป!” ชายผู้นั้นลุกขึ้นและไม่ได้มองหญิงสาว เซียนบางส่วนเข้ามาข้างในเพื่อนำศพกลับไปและนำเซียนสตรีที่ไร้สติเข้ามาต่อ
ชายผู้นั้นคว้าเซียนสตรีและกำลังจะใช้นางมาบ่มเพาะด้วยสีหน้ามืดมน ทว่าในจังหวะนั้นเกิดเสียงคำรามสั่นสะท้านสวรรค์ดังออกมาจากท้องฟ้า เป็นครั้งแรกที่มันส่งเสียงดังขนาดนี้ออกมาไกล ไม่นานมันก็ดังอึกทึก ตำแหน่งปิดด่านบ่มเพาะแตกกระจาย ชายผู้นั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาคว้าเซียนสตรีมาใช้เป็นโล่ ปราณกระบี่ผ่านร่างกายเขาไปไม่ได้ทำร้ายนางให้บาดเจ็บ มันตรงเข้าสู่ร่างเขากลางหน้าผาก
เสียงดังปังสั่นสะเทือน จากนั้นดวงตาเบิกกว้างและร่างกายแตกสลาย โลหิตท่วมท้นและเซียนสตรีได้สติทันที
ตระกูลเฉียนแห่งดาวฉูลั่ว
ตระกูลซุนแห่งดาวทลายสวรรค์
ตระกูลลี่แห่งดาวฉีหลิง
ปราณกระบี่แทงใส่เหล่าสถานที่ทั้งหมดเหล่านั้นและสังหารผู้คนที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้ซื่อจื่อเฟิงอับอายขายขี้หน้า!
กลุ่มเซียนเกือบร้อยคนกำลังผลักดันดาวเคราะห์เซียนสองดวง นำโดยชายชราผู้หนึ่งที่เปล่งสัมผัสบารมีไร้ความโกรธเกรี้ยว เหล่าเซียนทั้งหมดมองเขาด้วยความเคารพ
ทว่าขณะที่พวกเขาทะยานไปข้างหน้า ปราณกระบี่สายหนึ่งผ่านมาถึง ก่อนที่ใครจะตอบสนองได้ทัน ปราณกระบี่แทงเข้าใส่ร่างชายชราและเขาตายทันที!
เหตุการณ์คล้ายๆกันนี้เกิดขึ้นทั่วดาราจักรทุกชั้นฟ้า!
ใครก็ตามที่ย่ำยีซื่อจื่อเฟิงต่างก็ตายด้วยปราณกระบี่!
กระทั่งกลุ่มเซียนแห่งอารามเทพอัสนีจำนวนมากกลุ่มหนึ่งที่อยู่ล้อมรอบค่ายกลดวงดาวขนาดยักษ์ พวกเขากำลังวางค่ายกลและเชื่อมดวงดาวเข้าด้วยกัน
พริบตาเดียวปราณกระบี่สิบเอ็ดสายปรากฏขึ้นมาและแบ่งออกเป็นสิบเอ็ดทางที่แตกต่างกัน ชายวัยกลางคนท่าทีมืดมนกำลังวางค่ายกลกลับถูกปราณกระบี่แทงใส่ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและตายทันที
ชั่วพริบตา ผู้คนอีกสิบคนต่างก็ตายไปในจุดที่แตกต่างกันบนค่ายกลนี้
ปราณกระบี่สายสุดท้ายพุ่งเข้าไปในส่วนลึกของวังวน และแทงใส่ชายชราผู้ถูกค่ายกลเสริมกำลัง ชายชราสั่นเทาและร่างกายระเบิดเหลวแหลก
เหตุการณ์ฉับพลันนี้ทำให้ทุกคนในค่ายกลตกตะลึง ผู้คนของอารามเทพอัสนีต่างก็หวาดหวั่น
หวังหลินไม่ได้ฆ่าใครเพิ่มหรือปล่อยใครไป เขาใช้สัมผัสวิญญาณของตัวเองและปลดปล่อยปราณกระบี่เกือบร้อยสายเข้ากวาดล้างทุกชั้นฟ้า! นี่คือสิ่งสุดท้ายที่เขาทำไปเพื่อซื่อจื่อเฟิง!
ขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้า หวังหลินปรากฏตัวอยู่นอกค่ายกลยักษ์ซึ่งดาราจักร ทุกชั้นฟ้าสร้างขึ้น!
เขามองเข้าไปในส่วนลึกของค่ายกลที่ถูกสร้างขึ้นด้วยดาวเคราะห์หลายร้อยดวง เหล่าเซียนอารามเทพอัสนีต่างก็ก้าวไปข้างหน้าช้าๆอย่างเงียบงัน
หวังหลินไม่ได้เร็วแต่ทุกก้าวได้ทำให้พื้นที่ดวงดาวสั่นสะท้านราวกับสายฟ้าฟาดลงใส่ การก้าวของหวังหลินได้เกิดเสียงดังสนั่นแพร่กระจายออกไปทุกทิศทาง
เหล่าเซียนอารามเทพอัสนีนับไม่ถ้วนต่างก็หน้าถอดสีและรีบถอย พวกเขาไม่เหมือนตระกูลบนดาวตงหลินที่มีจิตใจเป็นหนึ่งอันเดียวกันและยอมต่อสู้จนตัวตาย พวกเขารีบถอยห่าง มองไกลๆราวกับคลื่นที่กำลังถดถอย!
ขณะที่หวังหลินทะยานไปข้างหน้า เสียงหัวเราะแหลมดังออกมาจาปรมาจารย์ลั่วฟู่ที่อยู่ใจกลางวังวนของค่ายกล!