1500. ค่อยๆ รอมันมาถึง
เสียงกระแอมอย่างรีบร้อนดูเหมือนทำลายความเงียบในลานกว้างแห่งนี้ น้ำเสียงเก่าแก่ราวกับมาจากคนที่อยู่มานาน แม้แต่สายลมยังดังกว่าเสียงกระแอมเสียอีก
สายลมร้องหวนจนทำให้ตะเกียงวูบวาบรุนแรง มันส่ายเอนไปมาราวกับอยู่บนลมหายใจสุดท้าย
สายลมทำให้ตะเกียงสั่นไหวราวกับต้องการพัดเข้าไปในลานกว้างและนำดวงวิญญาณที่ดิ้นรนไปด้วย…ในขณะที่ตะเกียงสั่นไหว ยังคงมองเห็นคำว่า “ซุน” อยู่บนตะเกียง
ตระกูลซุน!
เสียงไอทำลายความเงียบจนฝีเท้าจำนวนมากดังกึกก้องในลานกว้าง คนรับใช้หลายคนพุ่งเข้ามาเบื้องหน้าบ้านที่ดูธรรมดาแห่งนี้
ตอนนี้มีชายชราสามคนยืนอยู่ด้านนอกอย่างร้อนรน ด้านหลังทั้งสามมีสมาชิกตระกูลซุนอยู่หลายคน
“พวกเจ้าตื่นตระหนกอะไร? ข้ายังตายไม่ได้…” น้ำเสียงแหบพร่าเต็มไปด้วยความเหนื่อยอ่อนดังออกมาจากในบ้าน
“ท่านบรรพชน…” หนึ่งในชายชราสามคนด้านนอกก้าวเดินเข้ามาราวกับกำลังจะพูด
ขณะนั้นเสียงม้าเร็วดังออกมาไกล เหล่าม้าควบมาด้วยความรวดเร็วจนเกิดเสียงดังในกลางคืนเงียบสงัด ไม่นานนักม้าศึกก็มาถึงนอกลานกว้าง ชายวัยกลางคนสวมชุดเกราะกำลังนั่งอยู่บนหลังม้า เปล่งรัศมีแห่งอำนาจ ข้างๆเขาเป็นชายชราผู้มีเรือนผมยุ่งเหยิงไปตามสายลม
ชายชราใบหน้าซีดเผือด ม้าของเขาเร็วเกินไปจนทำให้หวาดกลัว
เหล่าม้าหยุดอยู่เบื้องหน้าลานกว้าง ชายวัยกลางคนคว้าชายชราและพุ่งเข้าไปในลานกว้างดุจสายลม ไม่นานก็มาถึงด้านนอกบ้านเช่นเดียวกัน
“ท่านบรรพชน หลานพาหมอที่เก่งที่สุดมารักษาท่าน”
“ไร้สาระ ข้ามีชีวิตมาเป็นพันปีและถึงจุดสิ้นสุดอายุขัยแล้ว หมอธรรมดาจะรักษาอะไรได้?” น้ำเสียงแหบพร่าดังออกมาจากตัวบ้านและเริ่มไออีกครั้ง
ทุกคนคร่ำเครียด ประตูบ้านเปิดขึ้น หญิงชราผมขาวเดินออกมาพร้อมกับคนรับใช้สาวช่วยประคองจำนวนสองคน
“วันนี้ข้าเรียกพวกเจ้าทั้งหมดมาที่นี่เพราะข้ารู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินเจ็ดวันและข้าเป็นกังวล กระนั้นนอกจากร่างอันแก่ชรานี้ ไม่มีเซียนคนใดในตระกูลซุนที่สามารถขจัดความโหดเหี้ยมของโลกแห่งการบ่มเพาะไปได้ พวกเจ้าจงจำไว้ว่าคนรุ่นหลังไม่ควรฝึกเซียน การสนุกสนานกับโลกธรรมดาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”
“พวกเจ้าทั้งหมด จดจำคำของข้าไว้ให้ดี!” นางกระแอม ดวงตาส่องสว่างขึ้นพลางกวาดสายตาไปยังเหล่าลูกหลาน
แรงกดดันแพร่กระจายออกมาจากร่างและห่อหุ้มทุกคนที่นี่ สิ่งนี้ทำให้เหล่าลูกหลานรวมถึงชายวัยกลางคนสวมเกราะต้องคุกเข่าด้วยความหวาดกลัวและรีบตอบรับ
“ดีแล้วที่พวกเจ้าจดจำ ดีแล้วที่พวกเจ้าจดจำ…ตอนนี้ไปเถอะ ปล่อยให้ข้าพักผ่อน…” ดวงตาของหญิงชราหยุดส่องประกาย ใครๆต่างก็มองเห็นว่าตอนที่นางยังเยาว์วัยคงสวยสดงดงามและชอบดุด่าคนอื่น
เหล่าลูกหลานที่กำลังคุกเข่าถึงกลับไม่กล้าต่อต้านและจากไปหมด พอเหล่าลูกหลานทั้งหมดกระจายกันไปแล้ว ค่ำคืนจึงค่อยๆเงียบสงบลง
หญิงชราถอนหายใจและค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้หินด้านข้าง นางมองดวงจันทร์ที่ค่อยๆปกคลุมและเริ่มหวนคิดถึงอดีต
‘ข้าแก่แล้วและชอบนึกถึงอดีต…แม้จะคิดว่าข้ากำลังจะตาย ข้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนนิสัยต้องการดุด่าไปได้ พูดถึงการดุด่า ข้าไม่ได้กล่าวว่าใครหลายคนในชีวิตนัก…’ ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในความคิดนาง
คนผู้นั้นนางคิดว่าเขาเป็นเซียนตัวน้อยที่มักจะขี้เกียจฝึกฝน นางโกรธและดุด่านิสัยขี้เกียจของเขาอยู่บ่อยครั้ง
พอคิดกลับไปนางจึงเผยรอยยิ้ม นางมีความสุขมากที่พบความสุขนี้ในความทรงจำ
ร่างสีขาวผู้หนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นด้านนอกลานกว้างใต้เสียงตะเกียง
หวังหลินมองลานกว้างเบื้องหน้า ขณะที่แพร่กระจายสัมผัสวิญญาณผ่านไปบนดาวรานหยุน เขาพบคนผู้หนึ่งที่รู้จัก เซียนตัวน้อยผู้นั้นที่เคยแต่งตัวเป็นชาย
ตอนนั้นอีกฝ่ายดุด่าเขาอย่างรุนแรงทุกครั้งที่กลับมาถ้ำเพื่อฝึกฝนจนวันหนึ่งเขาได้บรรลุเต๋า
หวังหลินมองเห็นว่าทุกอย่างที่นางพูดล้วนมีแต่ความจริงใจ เป็นความรู้สึกอันพิเศษในโลกแห่งเซียนอันโหดร้าย เป็นสัมผัสความอบอุ่นที่ผุดขึ้นในใจหวังหลิน
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขายังจำคนผู้นี้ได้
เขาไม่คาดคิดว่าคนเดียวที่เขายังจำได้หลังจากผ่านมาเป็นพันปีคือหญิงสาวคนนั้น
รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าพลางก้าวเดินเข้าหาลานกว้าง ขณะที่ตะเกียงทั้งสองสั่นไหว ฝีเท้าดังกึกก้องและมาถึงด้านนอกบ้านที่ดูธรรมดา
เขาเห็นร่างคนผู้หนึ่งที่รู้จักในอดีต เซียนสตรีซุนหลิง
การมาถึงของหวังหลินเหมือนคนธรรมดาและฝีเท้าดังกึกก้อง เขาไม่ได้ซ่อนตัวและคงไม่ซ่อนอะไรอื่น
นางขมวดคิ้ว เริ่มดุด่าโดยไม่หันกลับมา “ข้าไม่ได้พูดหรือว่าปล่อยให้ข้าพักผ่อนเสียบ้าง?”
หวังหลินยิ้มและเอ่ยเสียงเบา “เราไม่ได้เจอกันเป็นพันปี ข้าเพิ่งมาถึงและเจ้าอยากให้ข้ากลับไปแล้วหรือ?”
หญิงชราตะลึงงันตอนที่ได้ยินเสียงหวังหลิน นางหันกลับมาเห็นหวังหลินอยู่ห่างไปไม่ไกล ร่างกายสั่นเทา
“ซิ่วมู่…” หลังจากมองหวังหลินอยู่นานจึงยิ้มขึ้น
“เจ้ากลับมาเมื่อไหร่…” นางไม่ได้สูญสิ้นความคิดเหมือนปรมาจารย์จงเฉินและคนอื่นๆ นางฟื้นสติกลับมาได้ในเวลาไม่นาน แม้อายุขัยจะด้อยกว่าปรมาจารย์จงเฉินและนางมีระดับบ่มเพาะน้อยกว่า ด้วยเวลาที่เหลืออยู่เจ็ดวัน นางคิดว่ามากพอแล้ว ตอนนี้นางรู้สึกยินดีกับการเจอสหายเก่า
“ข้าเพิ่งกลับมา ข้าผ่านมาดูว่าจะมีสหายเก่าของข้าเหลืออยู่กี่คนกัน” หวังหลินนั่งตรงข้าม มองนางราวกับกำลังมองมิตรสหาย
ในสายตาหวังหลิน ชื่อนางไม่ได้สำคัญนัก ความสัมพันธ์แต่ละคนไม่ใช่แค่หญิงกับชายแต่เป็นเรื่องสหาย ไม่เกี่ยวว่านางจะเป็นชายหรือหญิง ทั้งหมดเป็นแค่ความทรงจำ
คืนนี้หวังหลินมีความสุขมาก คำพูดของเขากับซุนหลิงดังกึกก้องอยู่ในลานกว้าง แม้นางจะมีน้ำเสียงแหบพร่า แต่สำหรับเขาเหมือนเสียงกระดิ่งที่ส่งเสียงหัวเราะดังลั่นจากเมื่อพันปีก่อน
กระทั่งสายลมเย็นของฤดูใบไม้ร่วงยังหายไป ราวกับลมอุ่นๆ ในฤดูใบไม้ผลิทำให้คนรู้สึกอบอุ่น
แสงจันทราค่อยๆ หมองลงและมีสีขาวผุดขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้า ราวกับดวงตาแห่งสวรรค์ค่อยๆ เปิดออกมา
ขณะที่สีขาวเต็มไปทั่วท้องฟ้า หวังหลินเอ่ยขึ้นเบาๆ “เจ้าตัดสินใจแล้วจริงๆหรือ?”
“ที่ไหนที่มีชีวิตก็มักจะมีความตายเป็นเรื่องปกติ ข้าเหนื่อยมากแล้ว ถึงแม้จะรอดชีวิตไปก็คงไม่มีความหมาย การจากไปเป็นเรื่องที่ดีกว่า…” ซุนหลิงยิ้มพลางมอง หวังหลินไปด้วย
“หากเจ้าเปลี่ยนใจ เจ้ากินยาเม็ดนี้” หวังหลินนำเม็ดยาออกมาด้วยท่าทีสงบนิ่งและวางลงไป เขาถอนหายใจพลางมองนางอีกครั้ง จากนั้นเดินออกไปจากลานกว้างโดยไม่หันหลังกลับ
ซุนหลิงเฝ้าดูร่างหวังหลินค่อยๆ จางหายไป นางรู้สึกเหมือนตอนที่นั่งอยู่ข้างนอกถ้ำที่ตนเองจัดการ ดุด่าชายหนุ่มที่มักจะออกไปไหนต่อไหนและไม่ค่อยฝึกฝน
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งสำคัญสำหรับการเป็นเซียนคืออะไร? ข้าจะบอกเจ้าให้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการขยันหมั่นเพียร!”
“แม้พรสวรรค์เจ้าไม่ได้ดีเด่น เจ้ายังก้าวหน้าได้หากเจ้าขยัน ข้าปกป้องถ้ำเหล่านี้มาหลายปี เซียนบางคนจากที่นี่บรรลุถึงขั้นตัดวิญญาณมาแล้ว ไม่มีใครออกไปเตร็ดเตร่ตอนเช้าเหมือนเจ้า”
รอยยิ้มบนใบหน้านางส่องสว่างยิ่งขึ้น แต่มีรอยสีแดงจางๆ อยู่ใต้รอยยิ้ม
แสงแดดยามเช้าส่องกระทบบนพื้นดินและพัดพาความหนาวเย็นออกไป กระทั่งสายลมฤดูใบไม้ร่วงกลับเย็นน้อยลงและมีความอบอุ่นแฝงอยู่
ใบไม้แห้งเหี่ยวสีเหลืองและสีแดงพัดอยู่ในสายลม ดูงดงามยิ่งนัก
หวังหลินค่อยๆ เดินขึ้นไปบนภูเขาที่สูงที่สุดบนดาวดวงนี้ เขาไม่ได้ใช้ระดับ บ่มเพาะอันใดและเดินขึ้นไปเหมือนคนธรรมดา
เหมือนตอนที่เขาพาหวังหลินมาปีนเขาลูกนี้!
หวังหลินยืนอยู่ข้างแม่น้ำที่กำลังไหล สายตาทอดมองออกไปไกล
เรือลำหนึ่งล่องอย่างโดดเดี่ยวในมหาสมุทร หวังหลินยืนอยู่บนเรือพร้อมกับเผชิญทะเลอันเกรี้ยวกราด
“ผิงเอ๋อร์ ภูเขาก็เหมือนความทระนง แม่น้ำคือความคิด ทะเลคือหัวใจ ข้าพาเจ้าไปปีนเขาเพื่อให้เจ้ามีความทระนงตน ไม่ย่อท้อต่อสวรรค์ ไม่ย่อท้อต่อโชคชะตา ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ไหน เจ้าต้องเงยหน้าไว้ด้วยความทระนง!”
“ข้าพาเจ้ามาล่องแม่น้ำนี้เพื่อให้เจ้าตระหนักได้ว่าสายน้ำที่กำลังไหลมีโชคชะตาอยู่ หากแม่น้ำไร้ซึ่งโชคชะตาคงไม่ไหลอย่างเชื่องช้า หากคนไร้โชคชะตาก็คงเหมือนร่างไร้ชีวิต!”
“พ่อพาเจ้ามาพิชิตมหาสมุทรแห่งนี้เพื่อให้เจ้าใจกว้างดั่งมหาสมุทร เมื่อเจ้าใจกว้างดั่งมหาสมุทรแล้ว เรื่องอื่นล้วนเป็นเรื่องเล็ก!”
หวังหลินก้าวเดินบนภูเขา แม่น้ำและมหาสมุทร เดินผ่านพื้นราบ ป่าไม้และทุกอย่างที่เขาเห็นไปพร้อมกับหวังผิงเมื่อคราวนั้น แม้เขาจะเป็นเทพโบราณเจ็ดดาว แม้จะมีชื่อเสียงในดินแดนชั้นนอก แม้เขากำลังจะเป็นคนมีชื่อเสียงในดินแดนชั้นในและทำให้ทุกคนตกตะลึง
แต่เขายังเป็นพ่อ…เป็นคนธรรมดาที่คิดถึงลูกชาย หวังผิง…
พอคิดถึงบ้านเกิด ความคิดจึงเริ่มโศกเศร้า เขารู้สึกว่าวิญญาณของหวังผิงกำลังออกมาจากลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า ผมสีขาวและร่างอันโดดเดี่ยว หวังหลินทิ้งความทรงจำ มิลืมเลือนไว้ในที่แห่งนี้และค่อยๆ หายตัวออกไปไกล เหลือไว้แต่เสียงถอนหายใจ ค้างไว้อยู่แบบนั้น