1597. หนึ่งประโยคจากหลายร้อยปีก่อน
ตอนที่หวังหลินพัดพายุออกไปโดยไม่รู้ตัว ศิษย์พี่ของตุ้นเทียนรู้สึกถึงบางอย่าง จากนั้นใช้พลังชีวิตจำนวนมากเพื่อพยากรณ์อนาคตถึงเก้าครั้ง
เขากำลังหาอนาคตของสำนักหลอมวิญญาณ เขากำลังหาเส้นทางอยู่รอดของสำนัก!
การพยากรณ์ถึงเก้าครั้งได้ทำให้เขาได้ข้อสรุปอย่างไร้เหตุผลสิ้นดี คราแรกเขาไม่เชื่อแต่หลังจากทำนายแล้วได้ผลลัพธ์เดิมไปถึงเก้าครั้ง เขาจึงต้องเชื่อ
การพยากรณ์ทั้งหมดชี้มาที่แคว้นจ้าว ชี้มาที่เมืองแห่งนี้โดยเฉพาะและบัณฑิต ผู้หนึ่งในแคว้นนั้น!
ผลลัพธ์ทำให้เขาคาดหวังมาพร้อมกับความรู้สึกอันไร้เหตุผล หลังจากมาถึงเมืองแห่งนี้ เขาใช้เวลาตั้งคำถามต่อบัณฑิตแทบทุกคนแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบที่พึงพอใจ
บัณฑิตเหล่านั้นเป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น แล้วจะตอบคำถามนี้ได้อย่างไร? ด้วยระดับบ่มเพาะของชายวัยกลางคน อย่าว่าแต่แคว้นจ้าวเลย เขาถือว่าเป็น เซียนทรงพลังยิ่งในดวงดาวเลยด้วยซ้ำ ขั้นแปลงวิญญาณ ขั้นแปลงวิญญาณที่ห่างจากขั้นเทวะเพียงขั้นเดียว!
ชายวัยกลางคนยกแขนเสื้อขึ้น สายลมทมิฬร้องคำราม ภูตผีนับไม่ถ้วนส่งเสียงร้องล้อมรอบหวังหลินและต้าฝู ทำให้พื้นที่แห่งนี้แยกตัวออกจากโลกและพร่ามัว
ต้าฝูกำลังหลับใหล เสียงกรนดังลั่นและหลุดโลกไปไกล หวังหลินหันมามองชาย ที่เดินออกมาจากโลกอันมิดมิด
คนผู้นี้คือเซียน หวังหลินเข้าใจดีแต่ไม่ได้หวาดกลัวเลย เขามองเห็นว่าขณะที่ ชายวัยกลางคนดูทรงพลัง แต่ความจริงอ่อนแอยิ่ง
หวังหลินไม่เข้าใจว่าทำไม ดูเหมือนว่าตั้งแต่ที่เสียงประหลาดปรากฏขึ้นในใจเขายามคืนฝนตกคืนนั้น จึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาดขึ้นกับร่างเขา
การเปลี่ยนแปลงเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก และมันยิ่งชัดเจนขึ้นหลังจาก เขาเขียนการทดสอบเสร็จสิ้น!
เขามองชายวัยกลางคนที่กำลังเดินเข้ามาด้วยท่าทีสงบนิ่งและเอ่ยตอบ
“พูดมา”
ชายวัยกลางคนประหลาดใจ เขายืนอยู่ห่างจากหวังหลินเพียงไม่กี่ฟุตและมองหวังหลินอย่างละเอียด ในสายตาของเขาหวังหลินเป็นคนธรรมดา เป็นคนธรรมดา ที่แท้จริงและไม่ใช่เซียน
อย่างไรก็ตามท่าทีสงบนิ่งของหวังหลินได้ทำให้ชายวัยกลางคนเห็นความพิเศษบางอย่าง เหล่าบัณฑิตทั้งหมดที่เขาเจอต่างก็ก้มหัวต่อหน้าเขา พวกเขาล้วนหวาดกลัวและหวั่นเกรงจนเขาต้องใช้วิชาเพื่อให้ยอมพูดออกมาได้
หวังหลินเป็นคนแรกที่เขาเจอแล้วสงบนิ่งได้ขนาดนี้
ความสงบนิ่งมิอาจอธิบายออกมาได้ จากจุดที่ชายวัยกลางคนเห็น หวังหลินดูเหมือนไม่ใส่ใจกับตัวตนของเขาเลย ราวกับหวังหลินไม่ได้คิดว่าเขาเป็นเซียน แต่เป็นคนธรรมดา
ต้องบอกว่าด้วยระดับบ่มเพาะของเขา แม้กระทั่งเหล่าราชาในโลกมนุษย์ยังต้องหวาดกลัวและดูแลเขาเหมือนบรรพชน แรงกดดันที่มองไม่เห็นรอบตัวเขาไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะต่อต้านได้ แม้กระทั่งเหล่าเซียนเองยังต้องระงับความหวาดกลัวเอาไว้
ชายวัยกลางคนเคยเจอเรื่องแบบนี้สองครั้งในชีวิตเท่านั้น คนธรรมดาทั้งสองที่เขาเจอแล้วสงบนิ่งขนาดนี้คือมหาบัณฑิตบนดาวซูซาคุ
เหล่าบัณฑิตที่รู้แจ้งสวรรค์และมองออก พวกเขามีกลิ่นอายทรงพลังและ ไม่หวาดกลัวภูตผีปีศาจหรือสิ่งเหนือธรรมชาติ แม้เซียนขั้นรวบรวมลมปราณจะสามารถสังหารเขาได้ แต่คนที่มีระดับบ่มเพาะสูงกว่า ยิ่งรู้สึกว่ามีกลิ่นอายที่คล้ายกับเซียนอยู่ภายในตัวบัณฑิตด้วยเช่นกัน
หากมีใครสักคนแบบนี้มาฝึกเซียน นั่นคงเป็นไปตามธรรมชาติ
หวังหลินเป็นคนที่สองที่ทำให้เขารู้สึกแบบนี้ หลังจากขบคิดเล็กน้อย ชายวัยกลางคนคำนับฝ่ามือให้หวังหลิน
“ข้าผู้อาวุโสคือ จ้าวสำนักหลอมวิญญาณ เนี่ยนเทียน”
“หนึ่งบรรทัดอ่านสวรรค์ คำว่า ‘เนี่ยน’[1] ครอบคลุมทุกสิ่ง เป็นชื่อที่ดี!” หวังหลินยิ้มและคำนับฝ่ามือให้กับชายวัยกลางคน กลิ่นอายของมหาบัณฑิตยิ่งรุนแรงออกมาจากร่าง เหล่าวิญญาณภูตผีถอยร่นราวกับกลัวว่าจะใกล้เกินไป แม้แต่เสียงพวกมันก็บางเบาจนหายไปสิ้น
สิ่งนี้ทำให้ชายวัยกลางคนตกตะลึง เขาสูดหายใจลึกและเกิดประกายตา แห่งความหวัง เขาสัมผัสได้เบาบางว่าอาจจะค้นพบคำตอบจากคนผู้นี้ ราวกับว่า การทำนายทั้งเก้าครั้งของเขาชี้มาที่คนตรงหน้า!
“ข้าต้องการถามว่าสำนักหลอมวิญญาณของข้ามีเส้นทางรอดอยู่หรือไม่! ข้าหวังว่าท่านจะสามารถจัดการคำถามร้อยปีของข้าได้!” เนี่ยนเทียนดูจริงใจและคำนับ ฝ่ามือให้หวังหลินอีกครั้ง
การสืบทอดของสำนักเป็นเรื่องสำคัญมากและการถามกับคนธรรมดานับว่าแปลกประหลาด แม้แต่ตัวเนี่ยนเทียนเองยังคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ด้วยการพยากรณ์ทั้งเก้าครั้งมีผลออกมาแบบเดียวกัน เขาจึงต้องยอมเชื่อ โชคดีที่ความสงบนิ่งอันน่าอัศจรรย์ของหวังหลินทำให้เขาเห็นความหวังพร้อมกับรอคอยคำตอบของหวังหลิน
หลังได้ยินคำถามนี้ หวังหลินตกตะลึงและขบคิดเงียบๆ
“ข้าไม่สามารถตอบคำถามได้” หลังผ่านไปสักพักหวังหลินจึงส่ายศีรษะ เขาไม่รู้ว่าสำนักหลอมวิญญาณคืออะไร เขาเพียงแค่เดาว่ามันคือสำนักเซียน
ชายวัยกลางคนไม่ได้กล่าวอะไรและเผยสีหน้าขมขื่น เขาส่ายศีรษะและถอนหายใจ มองดูท้องฟ้าและรู้สึกว่าการกระทำนี้ช่างไร้เหตุผลเสียจริง เขากำลังถามคนธรรมดาเกี่ยวกับชะตาของสำนัก
“ข้ารบกวนเจ้าแล้ว เจ้าเป็นมหาบัณฑิต ดังนั้นข้าจะไม่ลบความทรงจำของเจ้า อาา” เขาเผยรอยยิ้มบิดเบี้ยว จากนั้นสะบัดแขนและเดินออกไป ร่างกายส่งสัมผัสห่อเหี่ยวและงุนงงสับสน
หวังหลินมองร่างเยือกเย็นผู้นั้น เขารู้สึกเหมือนมีภูเขาที่มองไม่เห็นกำลังทับใส่อีกฝ่าย ภายใต้ความหนักของขุนเขา ชายวัยกลางคนดูน่าเวทนายิ่งกว่าเดิม
หวังหลินคิดถึงความฝันของตัวเอง เขานึกถึงเสียงที่ดังกึกก้องอยู่ในความคิดและ เอ่ยขึ้นอย่างสงบนิ่ง “พาข้าไปดูสำนักหลอมวิญญาณ”
ชายวัยกลางคนที่กำลังจะจากไปถึงกับหยุดชะงักและหันมามองหวังหลิน ผ่านไปสักพักจึงพยักหน้าและชี้ใส่ สายลมทมิฬรวมกันจากทุกทิศทางเข้าล้อมรอบหวังหลิน เพียงเนี่ยนเทียนก้าวเท้าเข้าไปในท้องฟ้า เขาก็หายวับไปพร้อมหวังหลิน
ในแคว้นจ้าวไม่มีใครสังเกตวิชาที่ถูกใช้ข้างนอกสนามสอบ ไม่มีคนธรรมดาคนใดมองเห็นสายลมทมิฬที่ปรากฏขึ้น ภายใต้ต้นไม้ยังมีต้าฝูนอนกรนอยู่เหมือนเดิม เขาพึมพำเล็กน้อยก่อนจะหลับต่อไป
ณ ดาวซูซาคุ บนท้องฟ้าเหนือสำนักหลอมวิญญาณ หวังหลินปรากฏตัวด้วยใบหน้าซีดเผือดแต่สงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง สายลมทมิฬล้อมรอบเขาและทำให้เขายืนอย่างมั่นคงได้
ด้านข้างเขาคือเนี่ยนเทียน
“ที่นี่คือสำนักหลอมวิญญาณของข้า” เนี่ยนเทียนชี้ไปที่พื้นด้านล่างและเกิดเสียงดังลั่น หมอกสีดำปกคลุมสำนักกระจายตัวกันออกไป ทั้งสำนักหลอมวิญญาณจึงกระจ่างชัดในตาหวังหลิน
หวังหลินมองสำนักหลอมวิญญาณด้านข้างเขาและรู้สึกถึงความคุ้นเคยโผล่ออกมาจากก้นบึ้งจิตใจ เขารู้สึกเหมือนเคยเห็นที่นี่มาก่อนในความฝัน แต่ตอนที่คิดอย่างละเอียดแล้วก็นึกไม่ออก
ครู่ต่อมาหวังหลินเอ่ยขึ้นเบาๆ “ข้าอยากไปดูรอบๆ…”
“ได้” เนี่ยนเทียนไม่ลังเล เขาควบคุมสายลมให้หวังหลินเพื่อนำทางไปยังสำนักหลอมวิญญาณ ในสำนักมีเซียนอยู่หลายคนและการเปิดสำนักทำให้แต่ละคนสนใจ พอพวกเขาเดินออกมาจึงเห็นหวังหลินและเนี่ยนเทียน
“ขอคารวะท่านจ้าวสำนัก”
น้ำเสียงดังกึกก้อง เหล่าเซียนของสำนักหลอมวิญญาณต่างมีสีหน้าแปลกประหลาด ทั้งหมดเห็นได้ว่าหวังหลินเป็นคนธรรมดา แต่ไม่รู้ว่าทำไมจ้าวสำนักถึงพาหวังหลินมาที่นี่
หวังหลินเต็มไปด้วยสายตาสับสนพลางเดินลอดผ่านสำนักหลอมวิญญาณ เขารู้สึกว่าที่นี่ช่างคุ้นเคยและยังรู้ล่วงหน้าด้วยว่ามีอันตรายอยู่ที่นี่ ยิ่งเขาเดินเหินก็ยิ่งรู้สึกรุนแรง
หวังหลินหยุดลงใต้ยอดเขา ในภูเขาแห่งนี้มีถ้ำอยู่หลายแห่งและมองเห็นได้ จากด้านล่าง ความรู้สึกคุ้นเคยโผล่ออกมารุนแรงขึ้น ราวกับเขาอาศัยอยู่ที่นี่ในช่วงเวลาหนึ่ง
เนี่ยนเทียนยังติดตามหวังหลินและพาเขาเดินไปทั่วสำนักหลอมวิญญาณ สายตาเผยแสงลึกลับพลางมองไปที่หวังหลิน เวลาเกือบทั้งวันค่อยๆ ผ่านไปและในที่สุด หวังหลินก็มาถึงภูเขาหลักในสำนักหลอมวิญญาณ
ภูเขาหลักถูกห่อหุ้มด้วยหมอกวงแหวนสีดำที่นำขึ้นสู่ท้องฟ้า เป็นภาพอัน น่าอัศจรรย์ยิ่ง
ตอนนี้ท้องฟ้ามืดมน หวังหลินมองไปที่ยอดเขา แม้จะมีความรู้สึกคุ้นเคยอยู่ที่นี่แต่มันขาดบางอย่างไป ผ่านไปสักพักเขาจึงส่ายศีรษะและกำลังจะเอ่ย
เสียงคำรามดังออกมาจากภูเขาหลักและมีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในสายหมอกบนยอดเขา มันก้าวเข้ามาหาหวังหลินและเนี่ยนเทียน
“ศิษย์พี่ คนผู้นี้คือ?” น้ำเสียงเก่าแก่ดังกึกก้อง เงาสีดำเข้ามาใกล้ เขาเป็นชายวัยกลางคนเช่นกันและสายตากวาดมาหาหวังหลิน
“ตุ้นเทียน คนผู้นี้คือบัณฑิตที่ข้าชวนมาที่นี่ เจ้าอยู่ในช่วงกลางของการผสานธงแล้ว อย่าให้เสียจังหวะ รีบกลับไปปิดด่านบ่มเพาะ” เนี่ยนเทียนเอ่ยขึ้นมาด้วยอารมณ์ซับซ้อน
ตุ้นเทียนยิ้ม ในสายตาเขาหวังหลินเป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น แม้เขาจะชำเลืองมองแต่ไม่ได้นำหวังหลินมาใส่ใจ เขาหันตัวกลับและจากไป
แม้เขาจะเป็นแบบนั้น แต่ตอนที่หวังหลินเห็นตุ้นเทียน ความคิดสั่นสะท้านราวกับคิดอะไรได้บางอย่าง เขามองร่างของตุ้นเทียนที่กำลังถอยไป หยาดน้ำตาสองสายเริ่มไหลลงมาโดยไม่รู้เหตุผล
ขณะนั้นวิหคสีขาวตัวหนึ่งบินผ่านสำนักหลอมวิญญาณ มันผ่านไปพร้อมกับส่งเสียงร้องไปด้วย
“อีกหลายร้อยปีนับตั้งแต่บัดนี้ วันที่ท่านตายจะมีชายคนหนึ่งมาที่นี่ เขาจะกลายเป็นเส้นทางการอยู่รอดของสำนักหลอมวิญญาณ!”
หวังหลินพึมพำพร้อมกับมองแผ่นหลังของตุ้นเทียนและมีน้ำตาหลั่งไหลยิ่งกว่าเดิม
เนี่ยนเทียนตัวสั่น เขามองหวังหลินอยู่สักพักและคำนับฝ่ามือ เขาไม่เชื่อเรื่องนี้ทั้งหมดแต่ก็จดจำเอาไว้ในใจ เขาไม่ได้บอกตุ้นเทียนจนกระทั่งอีกหลายร้อยปีต่อจากนี้ตอนที่เขากำลังตาย คำพูดของบัณฑิตคนนี้จะผุดขึ้นในใจเขา
………………………………………………..
[1] เนี่ยน มีความหมายว่าการอ่านหรือการเรียนรู้