1641. เหล่าเทพไม่ได้พิเศษอันใด
‘หากราชันย์เทพสีรุ้งบาดเจ็บสาหัสและต้องปิดด่านบ่มเพาะ เช่นนั้นเซียนสีรุ้งที่ข้าเห็นในดินแดนเจ็ดสีของดาราจักรฟ้ากระจ่างคือใครกัน…’ หวังหลินลูบคางและ ไม่คิดเรื่องยุ่งเหยิงนี้อีก เขามองออกไปไกลตรงกลิ่นอายทั้งสี่ที่ห่างออกไป
ความจริงเขาสัมผัสกลิ่นอายนี้ได้ตั้งแต่เข้ามาในแดนสวรรค์โบราณแล้ว เหตุผลที่เขามาที่นี่นอกจากการทำลายรูปปั้นก็คือการพบเจอกลิ่นอายที่คุ้นเคยหนึ่งในสี่นั้น
เขาเข้าใจบางอย่างขึ้นมาบ้างจึงจะไปเจอคนที่เขาคุ้นเคยและทำข้อตกลง!
หวังหลินก้าวเท้าและเดินเข้าสู่ส่วนลึกของแดนสวรรค์โบราณ
เขาสะบัดแขนเสื้อส่งพายุกวาดผ่านรูปปั้นที่เหลืออยู่ของเผ่าโบราณที่อยู่ด้านนอกพื้นที่และจึงเดินทางต่อไปอีกหลายล้านลี้
เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง เหล่ารูปปั้นถูกทำลายไปทีละตัว หวังหลินไม่หยุดพักและเดินหน้าต่อไปอย่างมืดมน รูปปั้นบนพื้นดินพังทลายไปอย่างต่อเนื่อง เทพบางคนที่กำลังฟื้นฟูอยู่ถึงกับตื่นขึ้น พวกเขารีบปรากฏตัวและล่าถอย
พริบตาเดียวมีเทพประมาณเจ็ดถึงแปดคนปรากฏขึ้นล้อมรอบหวังหลิน แต่ละคนเปล่งแสงสีทองและมีแววตาโกรธแค้น พวกเขาเอาแต่จ้องหวังหลินแต่ไม่มีใครพูดอะไร
หวังหลินไม่ได้สนใจ คนเหล่านี้อาจจะมีอำนาจทรงพลังมาก่อน แต่ไม่สามารถทำให้เขาสนใจได้ในยามนี้ พอคิดเรื่องความยากในการค้นวิญญาณแล้ว หวังหลินจึงล้มเลิกความคิดและให้พวกเขาติดตามมาด้านหลังอยู่ไกลๆ
อย่างไรก็ตามหากมีใครกล้าโจมตีเขา หวังหลินจะสังหารโดยไม่ใส่ใจนัก ความจริงหวังหลินไม่ได้สังหารมากนัก ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีแผนอื่น คนพวกนี้คงไม่มีโอกาสรอดเบื้องหน้าหวังหลิน
ขณะเดินทางไปข้างหน้า รูปปั้นยักษ์สี่ตนค่อยๆ เผยออกมาเบื้องหน้าหวังหลิน รูปปั้นทั้งสี่ตนนี้สูงส่งเทียมสวรรค์ พวกมันเหมือนภูเขาสูงเสียดฟ้าสี่ลูก!
ด้านหลังรูปปั้นทั้งสี่คือเผ่าโบราณจำนวนนับไม่ถ้วน กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
สี่รูปปั้นแต่ละตนมีวังวนหนึ่งหมุนอย่างช้าๆ ตรงกลางหน้าผาก สายตาหวังหลินกวาดผ่านไปและสัมผัสถึงกลิ่นอายกดขี่รุนแรงด้านใน
หวังหลินคุ้นเคยยิ่งกับหนึ่งในสี่กลิ่นอายนั้น ซึ่งมาจากวิหคศักดิ์สิทธิ์!
กลิ่นอายนี้ให้ความรู้สึกเหมือนบรรพชนของวิหคศักดิ์สิทธิ์ หวังหลินรู้สึกเหมือนตอนที่เจอบรรพชนวิหคศักดิ์สิทธิ์รุ่นแรกที่อยู่ในดินแดนตกสวรรค์
‘วิหคศักดิ์สิทธิ์…’ หวังหลินหรี่สายตา กลิ่นอายจากหนึ่งในรูปปั้นนั้นแทบเหมือนกันกับกลิ่นอายของวิหคศักดิ์สิทธิ์รุ่นแรกไม่มีผิดเพี้ยน เห็นได้ชัดว่าหนึ่งในนั้นคือ ร่างอวตาร!
‘ขุนพลวิหคศักดิ์สิทธิ์แห่งราชันย์เทพสีรุ้ง ออกมาเจอข้า!’ หวังหลินหยุดกึกและลอยตัวกลางอากาศ เอ่ยเสียงสงบนิ่งและกระจายออกไปทุกทิศทาง
เขายืนปล่อยแรงกดดันทรงพลัง ราวกับสวรรค์ต้องตกอยู่ใต้ฝ่าเท้า
ขณะที่คำพูดของหวังหลินดังกึกก้อง ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงัด เหล่าเทพประมาณเจ็ดถึงแปดคนที่ติดตามมาถึงกับหยุดชะงักและมองด้วยสายตาเย็นเยียบ
‘ช่างเป็นเด็กน้อยที่โอหังอะไรกัน เจ้าทำลายเมล็ดพันธุ์จำนวนมากระหว่างทางมาที่นี่และสังหารเหล่าเทพของข้าไปหลายคน เจ้าสืบเชื้อสายของวิหคศักดิ์สิทธิ์ การกระทำเช่นนั้นถือเป็นเรื่องชั่วร้ายมหาศาล! ข้าพยัคฆ์ขาวจะสั่งสอนเจ้าแทน วิหคศักดิ์สิทธิ์เอง!’ น้ำเสียงมืดมนทำลายความเงียบ ชายชราชุดขาวผู้หนึ่งก้าวออกมาจากหนึ่งในวังวนทั้งสี่ ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น ร่างกายมีกลิ่นอายเก่าแก่ เล็ดลอดออกมา
เพียงก้าวเดียวเขาก็ออกมาจากวังวนและพุ่งใส่หวังหลิน การเคลื่อนไหวรวดเร็วจนเกิดเป็นเสียงสายลมหวนดุจพยัคฆ์คำราม
ในมุมมองของหวังหลิน ร่างเงายักษ์หนึ่งขนาดเท่าดาวเคราะห์พลันปรากฏเบื้องหลังชายชรา ร่างเงานี้คือพยัคฆ์ขาว!
พยัคฆ์มีสายตาดุร้ายโหดเหี้ยม เปล่งกลิ่นอายกดดันมหาศาล ชายชราปลดปล่อยระดับบ่มเพาะทรงพลังขั้นแก่นแท้ดับสูญระดับกลาง
หวังหลินมองชายชราด้วยใบหน้าสงบนิ่งดังเดิม แขนขวากำหมัดและโยนกำปั้นออกไปใส่ เมื่อทั้งสองปะทะกันจึงเกิดเสียงดังสนั่นและพื้นดินสั่นสะเทือน
ท้ายที่สุดชายชราผมขาวจึงถูกบังคับให้ถอยร่นไปหลายก้าว แววตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
ร่างหวังหลินกะพริบวูบวาบ เขาไม่ได้ล่าถอยแต่มองชายชราอย่างสงบและเอ่ยกล่าว
“หากท่านฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้ทั้งหมด ท่านถึงจะต่อสู้กับข้าได้ แต่ยามนี้ท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า! หากก้าวมาอีกครั้งเดียว ข้าจะสังหารท่าน!”
หวังหลินเอ่ยเสียงเบามาก ไม่ได้เย็นเยียบดั่งสายลมและไม่มีจิตสังหาร เขาเพียงแค่เอ่ยตามความเป็นจริง พอเสียงเข้าสู่หูของชายชราผมขาว อีกฝ่ายขบคิดเงียบๆ การโจมตีของทั้งคู่เป็นแค่การทดสอบ แค่นั้นก็ทำให้ชายชรารู้สึกหวาดหวั่นหวังหลินขึ้นไปอีก
ทว่าเขาไม่สามารถล่าถอยไปได้เพียงเพราะหวังหลินห้ามปราม ยามนี้จึงกัดฟันแน่นและกำลังจะก้าวไปข้างหน้า
สายตาสงบนิ่งของหวังหลินประสานกับสายตาของชายชรา ความคิดของชายชราผมขาวสั่นสะท้านและถอยเท้าโดยไม่รู้ตัว
ยิ่งสายตาหวังหลินสงบนิ่งมากเท่าไร ยิ่งทำให้ชายชรารู้สึกกดดันมากขึ้นเท่านั้น
“ข้าไม่อยากสังหารท่าน ในความคิดข้านั้นแดนสวรรค์โบราณไม่มีอะไรให้ประหลาดใจเลย ก็แค่กลุ่มเซียนไร้อำนาจจากแผ่นดินเซียนดาราที่เรียกตัวเองว่า เทพในถ้ำแห่งนี้เท่านั้น ควบคุมคนที่ตนเองเรียกว่า ‘มดแมลงชั้นต่ำ’ ช่างน่าขัน!”
“ในสายตาข้า พวกเจ้าทั้งหมดก็เหมือนมดแมลงเช่นกัน!”
ชายชรามีท่าทีมืดมนยิ่งขึ้นกว่าเดิม เขาไม่ประหลาดใจที่หวังหลินรู้เรื่องนี้ เพราะเขาสังเกตตอนที่หวังหลินตรวจสอบความทรงจำของเทพตนนั้น เดิมทีเขาเยาะเย้ยอยู่ในใจเนื่องจากเข้าใจราชันย์เทพเป็นอย่างดี ในสายตาเขา ไม่มีใครสามารถทำลายผนึกได้
อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยคาดคิดว่าหวังหลินจะเปิดผนึกได้จริงๆ เข้าถึงความทรงจำของทหารเทพและเห็นความจริงเกี่ยวกับที่นี่
นี่เป็นสิ่งที่ทำให้พยัคฆ์ขาวรู้สึกหวาดกลัว ทั้งยังเป็นความหวาดกลัวจนเอ่ยปากออกมาไม่ได้
หวังหลินไม่ได้มองชายชราผมขาว สายตาหันไปที่วังวนกลางหน้าผากของรูปปั้นที่สอง เอ่ยเสียงขึ้น “วิหคศักดิ์สิทธิ์ ออกมาเจอข้า”
“นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าบอก อย่ารอให้ข้าสังหารท่านและค้นวิญญาณเลย!” หวังหลินยืนนิ่งมองไปยังท้องฟ้า
แรงกดดันที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาจากร่างกายและห่อหุ้มทั่วพื้นที่