1676. หลี่เฉียนเหมยผอมแห้ง
พอเดือนที่ห้านับตั้งแต่สตรีชุดชมพูอยู่ข้างกายหวังหลิน เขาก็ลืมตาขึ้นมาและ พ่นอากาศเหม็นออกจากปาก ดวงตาถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างสดใส
ทว่าในสายตายังมีความเหนื่อยล้า หวังหลินได้รับบาดเจ็บจากวิชาผ่าสวรรค์ ยามนี้พอคิดถึงมันจึงรู้สึกว่าพลังอำนาจช่างน่าหวาดกลัว
“ท่านตื่นแล้ว…” สตรีชุดชมพูผู้สวยสดงดงามกำลังนั่งข้างกายหวังหลิน นางมองเขาด้วยรอยยิ้ม
“นางไปแล้ว?” หวังหลินหันกลับมาและพบว่าซื่อจื่อเฟิงจากไปแล้ว เหลือเพียงแต่มู่ปิงเหมยที่นั่งนิ่งอยู่ไกลๆ
“ท่านใช้เวลาฟื้นฟูมากกว่าหนึ่งปี น้องหญิงซื่อจื่อจากไปแล้ว” สตรีชุดชมพูเอ่ยขึ้นเบาๆ
แววตางดงามของนางจับจ้องที่หวังหลินและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก่อนนางจากไป นางขอให้ข้าส่งข้อความหนึ่งให้ท่าน นางจะไปที่ดาวฉิงหลิง แต่นางไม่ได้ไปหาเซี่ยฉิง ศิษย์ที่ท่านเอ่ยถึง…”
หวังหลินขบคิดเงียบๆ เล็กน้อยและพยักหน้า
ตอนนี้ดูเหมือนไม่มีอะไรจะพูด ขณะที่หวังหลินขบคิด สตรีชุดชมพูเงียบลงเช่นกัน ดาราจักรเงียบสนิท พอไม่มีเหล่าเซียนดินแดนชั้นนอกเข้ามา บางครั้งก็ได้เห็นดวงดาวส่องประกายอยู่ไกลลิบ
แสงอ่อนๆ ของดวงดาวช่างงดงามในท้องฟ้า ดวงดาวและแสงดาวอยู่คู่กันกับ สองชายหญิง ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกอุบัติขึ้นระหว่างสองคน
หลังจากนั้นสักพักนางก็มองหวังหลินด้วยท่าทางอันซับซ้อน เอ่ยขึ้นบางเบา “หลายปีมาแล้วตั้งแต่ที่เราแยกจากกัน…ท่าน…รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร…”
หวังหลินไม่ได้มองนาง เขามองดินแดนชั้นในและเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ผีเสื้อสีแดง”
“เช่นนั้นท่านก็รู้อยู่แล้ว” นางหลับตาลง
“เป็นโจวหวู่ไท่ที่ย้ำเตือนข้า เขาค้นพบค่ายกลในเฉว่ยี่ที่มีเส้นผมของเจ้าหนึ่งเส้น ดูเหมือนเจ้าจะหลีกเลี่ยงหายนะครั้งนั้นได้ด้วยค่ายกลนั้น” ค่ายกลนั้นปรากฏขึ้นในสายตาหวังหวังหลิน
สตรีชุดชมพูผู้นี้คือ ผีเสื้อสีแดง!
ทว่าสตรีผู้เย่อหยิ่งในอดีตเปลี่ยนไปมากแล้วนับตั้งแต่นั้น ความเย่อหยิ่งถูกซ่อนเอาไว้ส่วนลึก มองจากภายนอกจึงไม่อาจเป็นความแพรวพราวดั่งผีเสื้อเช่นกาลก่อน
“ท่านยังจำเรื่องที่เกิดขึ้นในแดนสวรรค์พิรุณได้ไหม…ตอนนั้นเราต่อสู้กัน…” ผีเสื้อสีแดงยิ้มแย้มพลางนึกถึงอดีตและพูดกับหวังหลินดุจสหาย
“มีช่วงหนึ่งที่ข้าเกลียดท่าน หวังหลิน ท่านตัดแขนข้าไปหนึ่งข้างในแดนสวรรค์พิรุณ…”
หวังหลินยิ้มอย่างขมขื่นและลูบจมูกโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“ข้าไม่เคยคิดว่าเราจะได้มาพูดกันแบบนี้หลังจากนั้นอีกสองพันปี…” ตอนที่ ผีเสื้อสีแดงเห็นหวังหลินลูบจมูก นางจึงยิ้มออกมา ดวงตาหรี่ราวกับพระจันทร์เสี้ยว ดูน่ารักน่าชังเป็นอย่างยิ่ง
“ตอนนั้น เจ้าต้องการฆ่าข้า แม้ข้าไม่ได้ไปล่วงเกินเจ้าก็ตาม” หวังหลินส่ายศีรษะและหัวเราะออกมาด้วย
“แม้น้องหญิงซื่อจื่อจะไปแล้ว นางทิ้งสุราเอาไว้ที่นี่” ผีเสื้อสีแดงมองหวังหลินพลางคว้าขวดสุราและยื่นส่งให้เขา
หวังหลินรับขวดสุราและดื่มไปหนึ่งจิบ
“ตอนนั้นบนดาวซูซาคุด้วย ตอนที่เราต่อสู้ ท่านขโมยแส้ฟาดวิญญาณของข้า…” ผีเสื้อสีแดงหัวเราะ
“ทั้งหมดนั้นเป็นอดีตไปแล้ว แต่เจ้าก็ยังจำได้” หวังหลินยิ้มอย่างขมขื่นและไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร
“ข้าจำได้สิ หากข้าไม่บาดเจ็บสาหัส ข้าคงไม่ถูกคนอื่นควบคุม…พูดถึงตอนนั้นแล้ว ต้องขอบคุณท่านที่แช่แข็งข้าไว้ในสุสานซูซาคุ” พอคิดถึงอดีต ผีเสื้อสีแดงก็ ถอนหายใจ
“ระหว่างเราไม่มีความเกลียดชังฝังลึก ทั้งหมดนั้นในตอนนี้เป็นเพียงอดีต เจ้าขอให้ข้าไปที่เฉว่ยี่เพื่อค้นหากุหลาบสีฟ้า และข้าพบมัน” ผีเสื้อสีแดงคือสตรีที่ทำให้เขาเกิดความประทับใจฝังลึกที่สุดนอกจากลี่มู่หวานและหลิวเหมย
ร่างของนางงดงามดุจผีเสื้อ สตรีผู้มีความภาคภูมิใจคนนี้เป็นคนที่ยากจะลืมเลือน
นางบรรลุขั้นตัดวิญญาณในเวลาเพียงแค่ร้อยปี และเป็นสตรีที่สวรรค์ประทานพร!
“ตอนนั้นข้าไม่คิดว่าท่านจะมาถึงจุดนี้ได้…ทุกอย่างเหมือนฝันไป ข้ารู้สึกว่ามันไม่ใช่ความจริง” ผีเสื้อสีแดงส่ายศีรษะ
กาลเวลาผ่านไปในชั่วพริบตา ผ่านไปอีกสามวัน หวังหลินไม่ได้ฟื้นฟูพลังแต่รื้อคืนความทรงจำร่วมกับผีเสื้อสีแดง ทั้งสองค่อยๆ รื้อฟื้นความรู้สึกราวกับเป็นเซียนที่ยังอ่อนแอ
ความรู้สึกนี้อบอุ่นและสบายใจยิ่ง
“ต่อจากนั้น ในการต่อสู้ระหว่างดาราจักรทุกชั้นฟ้าและพันธมิตรเซียน ข้าเห็นท่าน… แต่ท่านจำข้าไม่ได้เลย” ผีเสื้อสีแดงมองหวังหลิน นางเห็นเขาบนดาวซูซาคุและเฝ้าดูแสงของเขาส่องสว่างขึ้นเรื่อยๆ แสงนี้แผ่กระจายออกไปจนครอบคลุมทั่วทั้งดินแดนชั้นในและดินแดนชั้นนอก
ผีเสื้อสีแดงรู้สึกชื่นชมในตัวหวังหลิน ในชีวิตนางไม่มีใครที่ชื่นชอบ หากจะมี สักคนก็คงเป็นหวังหลิน อย่างไรก็ตามทั้งสองไม่ได้รู้สึกอะไรต่อกัน แต่เป็นความสัมพันธ์ที่อธิบายออกมาไม่ได้ นางไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร
บางทีคงเหมือนสุรา ยิ่งเวลาผ่านไปยิ่งเกิดเป็นความรู้สึกคุ้นเคย
การสนทนาของทั้งสองค่อยๆ เงียบลงหลังจากผ่านไปไม่กี่วัน หวังหลินเริ่ม บ่มเพาะฟื้นฟูพลัง ผีเสื้อสีแดงเพียงแค่นั่งเงียบๆ จ้องมองหมู่ดาว ในสายตามีคำถาม ความซับซ้อนและเป็นประกายอยู่ในนั้น
หนึ่งเดือน สองเดือน…กาลเวลาผ่านไปถึงเดือนที่เก้าของปีที่สอง
ในวันนี้แสงสีฟ้าบางเบาปรากฏขึ้นด้านนอกค่ายกลและค่อยๆ เต็มไปทั่วดาราจักร แสงสีฟ้าเข้าทับแสงอื่นทั้งหมด ทั่วทั้งดาราจักรกลายเป็นสีฟ้าไปหมด
แสงสีฟ้าดุจน้ำทะเลย้อมค่ายกลกงล้อ ทำให้เกิดความรู้สึกงดงามแต่โศกเศร้า
สีฟ้ามักจะทำให้ผู้คนรู้สึกเศร้าและหดหู่
หวังหลินลืมตาขึ้นมา มองแสงสีฟ้าด้านนอกค่ายกลและขบคิดเงียบๆ เขาเห็น สองร่างกำลังเดินออกมาจากแสงสีฟ้า
เป็นหนึ่งบุรุษและหนึ่งสตรี เป็นพ่อและลูกสาว ทั้งสองคือปรมาจารย์เต๋าความฝันและหลี่เฉียนเหมย
หลังจากคิดอยู่หนึ่งปีเก้าเดือน ปรมาจารย์เต๋าความฝันเลือกที่จะมาหา เขาและลูกสาวหยุดอยู่นอกค่ายกล สายตาหวังหลินกวาดผ่านไปที่หลี่เฉียนเหมย
หลี่เฉียนเหมยยามนี้ผอมบางลงไปมาก
สีหน้าท่าทางของนางมัวหมอง นางไม่มีรูปร่างดีเหมือนแต่ก่อน พอหวังหลินมองเข้ามา นางจึงมองหวังหลินด้วยท่าทีขมขื่น
ในโลกนี้ นอกจากลี่มู่หวานแล้ว หวังหลินสามารถจดจำหลิวเหมยได้เพราะหวังผิง จดจำผีเสื้อสีแดงได้เพราะเวรกรรมของทั้งสอง หลี่เฉียนเหมยเป็นประสบการณ์ที่งดงามและไม่มีวันลืม
ทั้งคู่รู้จักกันเพราะเรื่องสามคำถาม และเพราะแสวงหาเต๋าจึงพบกันอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่หลี่เฉียนเหมยได้กล่าวเอาไว้ตอนนั้นยังคงแจ่มชัดอยู่ในใจหวังหลินไปตลอดกาล
“หากมีวันใดวันหนึ่งเมื่อข้าไม่อยู่ที่นี่ ท่านจะยังจำได้หรือไม่ว่ามีสตรีผู้หนึ่ง นามว่า หลี่เฉียนเหมยอยู่ในชีวิตท่าน…”
หวังหลินไม่สามารถทำให้ตัวเองลืมหลี่เฉียนเหมยได้ นางป้ายโลหิตตัวเองใส่ รูปปั้นเขาเป็นเวลาสิบปีจนความงดงามของนางเหี่ยวเฉา นางกระทั่งออกไปหาเม็ดยามาให้เขา จากนั้นในรอยแยกที่อยู่ในทะเลเมฆา นางใกล้ตายและใกล้จะหลับตาลง ในสายตานางไม่มีความเสียใจ
เพื่อนางแล้ว หวังหลินจึงออกไปดินแดนชั้นนอกเพื่อหาปรมาจารย์เต๋าความฝันเพื่อให้นางได้มีชีวิตอยู่ต่อ…จากนั้นนางก็ตื่น หวังหลินปีนป่ายภูเขาฟ้าพร้อมกับเผชิญกับแรงกดดันมหาศาล เขาเพียงต้องการไปเห็นหน้านางและดูว่านางตื่นหรือไม่
แต่คำว่า “เจ้าเป็นใคร?” เสมือนคมมีดที่ตัดขาดทุกสิ่งอย่าง!
ประโยคนั้นทำให้หวังหลินตระหนักได้เป็นอย่างดีและล้มเลิกการต่อต้าน เขายอมให้แรงกดดันจากภูเขาฟ้า ผลักเขาออกไปไกลแสนไกล
หวังหลินมองหลี่เฉียนเหมย ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยขึ้น “เจ้าผอมลงนะ…”
ร่างของหลี่เฉียนเหมยสั่นเทา หยาดน้ำตาไหลออกมาจากมุมสายตา ความทรงจำของนางกลับมานานแล้วและจดจำถึงเรื่องที่เกิดขึ้นได้ ตอนนี้พอได้เสียงหวังหลิน นางจึงไม่สามารถอดทนได้อีกแล้ว หยาดน้ำตาไหลรินออกมา
ผีเสื้อสีแดงมองเรื่องราวทั้งหมดนี้และตกตะลึงไปชั่วขณะ นางมองทั้งสองคนและขบคิดเงียบๆ
ปรมาจารย์เต๋าความฝันถอนหายใจและพาลูกสาวเข้ามาหาค่ายกล พริบตาเดียวทั้งคู่ก็ห่างจากค่ายกลเพียงร้อยฟุต ค่ายกลกงล้อส่งเสียงซี่ๆเป็นสัญญาณว่ากำลังเปิดใช้งาน
หวังหลินเลื่อนสายตาออกมาจากหลี่เฉียนเหมยและมองมายังปรมาจารย์ เต๋าความฝัน สายตาเปล่งประกายเจิดจ้าแต่ก็หายไปเพียงไม่นาน
หวังหลินสะบัดแขนและหยุดค่ายกลกงล้อ หลุมรูปทรงวงรีปรากฏขึ้นเบื้องหน้าปรมาจารย์เต๋าความฝันเพื่อนำทางมาหาหวังหลิน
ปรมาจารย์เต๋าความฝันไม่ลังเลและพาหลี่เฉียนเหมยเข้ามาข้างใน เขาปรากฏเบื้องหน้าหวังหลินและนั่งลง มองเตาหลอมจักรพรรดิด้านหลังและมีสายตาอ่อนโยน
“ข้ารู้ว่าเจ้าชอบสุรา นี่คือสุราแพรฟ้าที่ข้าทำขึ้น เจ้าอยากดื่มหรือไม่?” ปรมาจารย์เต๋าความฝันสะบัดแขนขวา ขวดสุราแพรฟ้าลอยเข้าหาหวังหลิน
หวังหลินมองปรมาจารย์เต๋าความฝัน ยิ้มรับสุราและวางไว้ด้านข้าง
ปรมาจารย์เต๋าความฝันหยิบขวดสุราขึ้นมาจิบ “ตลอดชีวิตของข้า หายากนักที่ข้าจะคาดเดาผู้คนผิด แต่เมื่อมันเป็นเรื่องเจ้า ข้าชื่นชมว่าข้าประเมินเจ้าแต่ละครั้ง ต่ำเกินไป…ในค่ายกลมายา ข้าต้องลงมือ ส่วนหนึ่งเพื่อตัวเองและส่วนหนึ่งเพื่อ ลูกสาวข้า…ตอนนั้นข้ามักจะเชื่อเสมอว่าถึงแม้เจ้าจะเก่งกาจแค่ไหน หากเจ้า ไม่สามารถตัดขาดสัมพันธ์กับดินแดนชั้นในได้ เจ้าก็ไม่มีค่าพอที่จะคู่ควรเป็นบุตรเขยของข้า…”
“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะบรรลุระดับบ่มเพาะถึงตรงนี้ได้… ส่งนางสนมอันดับห้ามาให้ข้าและกลายเป็นบุตรเขยของข้า… ตั้งแต่บัดนี้ไป ข้าจะพาเผ่าแพรฟ้าเข้าร่วมดินแดนชั้นใน!”
“ข้าจะกวาดเส้นทางข้างหน้าให้เจ้า!” ปรมาจารย์เต๋าความฝันดื่มไปอึกใหญ่ น้ำเสียงตัดสินใจหลังจากคิดอยู่นานถึงเก้าเดือน
หลี่เฉียนเหมยร่างสั่นเทา นางหันกลับมามองผู้เป็นพ่อ ระหว่างทางมาที่นี่ พ่อของนางไม่เอ่ยอะไรสักคำ นางเข้าใจว่าพ่อคือหนึ่งในห้ายอดปรมาจารย์แห่งดาราจักรโบราณ ด้วยตำแหน่งและระดับบ่มเพาะ เขาไม่ได้เพียงแค่พูดประโยคนั้นเพื่อท่านแม่…
ปรมาจารย์เต๋าความฝันเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ปล่อยให้อดีตเป็นเรื่องของอดีต… หวังหลิน ข้าจะรอคำตอบของเจ้าที่นี่”