1789. การจากลาอันยากลำบาก
ปกติแล้วหนึ่งเดือนมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่เดือนนี้ในโลกถ้ำกลับแตกต่าง
พริบตาเดียวสิบวันก็ผ่านไป
ช่วงสิบวันที่ผ่านมาหวังหลินได้เจอฟ่านชานลิ่ว นางเป็นนางสนมอันดับหนึ่งของราชันย์เทพสีรุ้งและมีสายโลหิตแห่งแผ่นดินเซียนดารา นางสามารถผ่านประตูไปและกลับบ้านได้
ฟ่านชานลิ่วจากไป ทิ้งไว้แต่เรือขนาดใหญ่เบื้องหลัง หวังหลินได้หลอมใบเรือหลักและสามารถควบคุมมันได้อย่างอิสระแล้ว เขาจึงเก็บมันเข้าไปในมิติเก็บของ
ช่วงสิบวันหวังหลินได้ค้นพบดาวเคราะห์เซียนดวงหนึ่งด้วย เขาใช้ระดับบ่มเพาะของตัวเองเพื่อค้นหาร่างที่เพิ่งตายและจากนั้นเปลี่ยนแปลงร่างกาย เก็บวิญญาณ ดวงน้อยๆ ไว้ในร่างและสร้างวิญญาณดั้งเดิมขึ้นมา
หลังจากทำเช่นนี้ หวังหลินจึงท่องทะยานผ่านดวงดาวไปคนเดียวอย่างเงียบงัน ลึกๆในใจรู้สึกถึงความไม่เต็มใจ
ตอนแรกความรู้สึกนี้ไม่มากนัก แต่ขณะที่เดินผ่านไปยังสถานที่อันคุ้นเคย มันยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
หวังหลินถอนหายใจพลางหายตัวไปจากแสงอันเจิดจ้า ปรากฏตัวอีกครั้งตรงทางเชื่อมกันระหว่างสี่ดาราจักรซึ่งคือตำแหน่งของแดนสวรรค์!
เขาก้าวเข้าไปในแดนสวรรค์ ระลอกคลื่นดังกึกก้อง สัมผัสวิญญาณของหวังหลินแผ่กระจายออกไปห่อหุ้มแดนนสวรรค์ ส่งข้อความเกี่ยวกับการเกิดใหม่เพื่อออกไปจากโลกถ้ำ
‘หากใครต้องการออกไป เจ้าสามารถมาเจอข้าได้…อีกครึ่งเดือนนับจากนี้ข้าจะออกไป…’ หวังหลินนั่งอยู่บนภูเขาที่เขาใช้ปิดด่านบ่มเพาะและหลับตาลง
อยู่หรือไปคือตัวเลือกหนึ่ง หวังหลินคงไม่แทรกแซง เขาแค่เปิดประตู ส่วนโลกด้านนอกนั้นหวังหลินไม่รู้ว่าดีหรือแย่ต่อคนในโลกถ้ำ เป็นเพราะแบบนี้เขาจึง มอบโอกาสให้ทุกคนตัดสินใจด้วยตัวเอง
พอวันที่สองหลังจากหวังหลินนั่งลง ซือถูหนานก็มาถึง เขาก้าวทะยานผ่านอากาศมาพร้อมกับก้อนเมฆสีขาวใต้ฝ่าเท้า ถือขวดสุราในมือพลางก้าวมาทีละก้าวจนกระทั่งอยู่ข้างหวังหลิน
เขาดูเหมือนเดิมเช่นก่อนหน้านี้ เรือนผมยาวพริ้วสะบัด เสื้อผ้าสบายๆพลางจิบสุราไปด้วย แม้จะดูสงบนิ่งแต่ยังมองออกว่าเขากำลังคิดอยู่ในใจ
“หวังหลิน บอกข้าทีว่าหากข้าไปเกิดใหม่ ข้าจะสามารถเป็นราชาของประชาชนคนธรรมดาบนแผ่นดินเซียนดาราได้หรือไม่…” ซือถูหนานพึมพำ
เดิมทีมีแค่ความรู้สึกของการลาจาก แต่ความรู้สึกนี้กลับจางหายไปพร้อมกับคำพูดของซือถูหนาน หวังหลินยิ้มออกมาพลางคว้าสุราจากซือถูหนานและดื่มไปอึกใหญ่
“หากข้าบังเอิญไปเกิดใหม่เป็นราชาได้จริงๆ อย่ารีบตามหาข้าเร็วเกินไปนัก รอจนกว่าข้าจะสุขสมไปกับชีวิตราชาแล้วค่อยมาตามหาข้า” ซือถูหนานมองหวังหลินและยิ้มออกมา
“ท่านได้ตัดสินใจแล้ว” หวังหลินมองซือถูหนาน ซือถูหนานเป็นทั้งสหายและอาจารย์ เพียงแค่กล่าวคำลา ความทรงจำมากกว่าสองพันปีก็ฉายขึ้นมาอีกครั้งในใจของทั้งคู่
“ข้าตัดสินใจแล้ว ด้วยพรสวรรค์ของข้า มันคงน่าเสียดายหากติดแหง็กอยู่กับที่ ข้าควรจะมีความสุขที่นั่นมากมาย!” ซือถูหนานหัวเราะ เขาสบายใจขึ้นมาก
“เราสามารถมีชีวิตได้อย่างอิสระและทำอะไรก็ได้ที่ต้องการบนแผ่นดินเซียนดารา นั่นไม่น่าสนุกหรือ?” ซือถูหนานดึงขวดสุรากลับมาจากหวังหลินและดื่มไปอึกใหญ่
หวังหลินมองซือถูหนานอย่างสงบนิ่ง สองสายตาประสานกัน ผ่านไปสักพักซือถูหนานจึงถอนหายใจ
“เจ้าเด็กน้อย อย่าลืมมาตามหาข้านะ ไอ้การเกิดใหม่บัดซบ ข้าจะไปเกิดใหม่เป็นราชาดีกว่า!” ซือถูหนานถอนหายใจ หวังหลินพยักหน้า
“หากข้าไม่ตาย ข้าจะตามหาท่านแน่นอน”
ฉิงชุ่ยเป็นคนที่สองที่มาหาหวังหลิน ด้านข้างยังเป็นผีเสื้อสีชาด พ่อและลูกสาวเข้ามาพร้อมกัน พวกเขาปรากฏตัวด้านนอกและร่อนมาถึงข้างหวังหลิน
ฉิงชุ่ยไม่พูดมากนัก เขายืนอยู่สักพักและไม่ได้พูดอันใดเลย ด้านข้างยังเป็นผีเสื้อสีชาดที่มองมาด้วยแววตาแดงเล็กน้อย ดูเหมือนมีบางอย่างที่หวังหลินไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นตอนที่พวกเขาตัดสินใจ
“ฮันหยาน ต้องมีวิธีให้เจ้ากลับไปบนแผ่นดินเซียนดารา! จากนั้นครอบครัวของเราจะอยู่ด้วยกันอีกครั้ง…” ฉิงชุ่ยส่งสายตาไปยังผีเสื้อสีชาดด้วยความรักของผู้เป็นพ่อ
นอกจากซือถูหนาน ฉิงชุ่ยและผีเสื้อสีชาด คนที่สี่ที่มาหาคือ ฉือซาน!
ความคิดของฉือซานนั้นเรียบง่ายมาก ในฐานะศิษย์ของหวังหลิน เขาต้องติดตามไปแม้จะต้องผ่านคมดาบหรือเปลวไฟ หรือกระทั่งผ่านการเกิดใหม่ก็ตาม ในใจเขานั้น อาจารย์ก็ยังเป็นอาจารย์อยู่ดีแม้จะต้องผ่านการเกิดใหม่!
ฉือซานนั่งอยู่ด้านหลังหวังหลินอย่างสงบนิ่ง นิสัยของเขาสงบนิ่งมากกว่าก่อน จิตสังหารส่วนใหญ่หายไปแล้วและถูกซ่อนไว้ในร่างกายเป็นอย่างดี เขาไม่เผยมันออกมาเลยแม้แต่น้อย!
วันเวลาผ่านไปเช่นนี้อย่างช้าๆ ผู้คนหลั่งไหลออกมาจากแดนสวรรค์และนั่งลงด้านหลังหวังหลิน พวกเขาคือ คนที่เลือกจะจากไป
พอถึงวันที่เก้าที่หวังหลินกลับมายังแดนสวรรค์ ลี่เฉียนเหมยก็มา
นางสวมชุดราตรีสีขาว รูปร่างผอมบางยิ่งกว่าก่อนเยอะมาก นางดูเศร้าโศก แต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความบากบั่น ลี่เฉียนเหมยซ่อนความโศกเศร้าของตัวเองเบื้องหน้าหวังหลิน
นางกัดริมฝีปากและเอ่ยถามออกไปเบาๆ “ข้าควรไปหรือไม่…”
หวังหลินลืมตาขึ้นมามองลี่เฉียนเหมยอยู่สักพัก
“ข้าควรไปหรือไม่…” นางเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง แต่น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ
หวังหลินมองนาง เขาเห็นท่าทีทำอะไรไม่ถูกของลี่เฉียนเหมย ยิ่งเห็นนางดิ้นรนอยู่ภายในยิ่งเหมือนกับตัวเขา คำพูดจากตอนนั้นดังอยู่ในสองหูอีกครั้ง
“ข้าควรไปหรือไม่…” ลี่เฉียนเหมยบิดรอยยิ้ม ฝ่ามือเนียนละเอียดจับปลายผมและนางหันตัวกลับจะจากไป
หวังหลินคว้ามือนางไว้และเอ่ยเสียงดังขึ้นมา “ไปที่แผ่นดินเซียนดารา… รอจนกว่าข้าจะตามหาเจ้า จนกว่าข้าจะปลดปล่อยความทรงจำของเจ้า อาจจะเป็นสิบปี ร้อยปีหรือเป็นพันปี เจ้า…เจ้าจะรอหรือไม่?”
ลี่เฉียนเหมยหยุดลงและหันกลับมา นางมองหวังหลินแต่ไม่พูดอะไร เพียงพยักหน้าเบาๆ
“ข้าจะตามหาเจ้า” หวังหลินมองลี่เฉียนเหมยและดึงนางมาข้างๆ จากนั้นนั่งลงด้วยกัน
เมื่อลี่เฉียนเหมยถูกหวังหลินดึงไป หยาดน้ำตาสองสายไหลรินออกมา หยดลงบนใบหน้าและตกลงบนเสื้อผ้า
“ท่านพ่อไม่ยอมจากไป…เขาจะอยู่ที่นี่กับท่านแม่…ข้าไม่รู้ว่าข้าควรจะไปดีหรือไม่…ข้าควรอยู่ที่นี่กับท่านพ่อหรือรอท่านบนแผ่นดินเซียนดารา…” ลี่เฉียนเหมยก้มหน้า ในใจนางมีอยู่สองเสียง แต่ตอนที่หวังหลินคว้าแขนเอาไว้ มันเหลือเพียงเสียงเดียวเท่านั้น
“ท่าน…ท่านต้องการให้ข้าไปที่แผ่นดินเซียนดาราจริงหรือ…” นางกัดริมฝีปากและมองหวังหลิน ดวงตาเต็มไปด้วยความสับสน
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยและพยักหน้า
“เช่นนั้น…ท่านต้องรีบตามหาข้านะ…ข้าจะรอท่านตลอดไป” สายตาสับสนของ ลี่เฉียนเหมยหายไปและถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่น
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ เหลือเพียงอีกแค่สามวันจากสิบห้าวันที่หวังหลินอยู่ใน แดนสวรรค์! ในวันที่ผ่านมามีผู้คนที่หวังหลินคุ้นหน้าคุ้นตา แต่พวกที่เลือกจะจากไปก็ยังมีน้อยกว่าคนที่เลือกจะอยู่ที่นี่
ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเผชิญหน้ากับการเกิดใหม่และเผชิญกับโลกที่ไม่รู้จักด้านนอกได้ เป็นผลทำให้พวกเขาเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่อันตรายยิ่ง
ปรมาจารย์หงซานเลือกที่จะไปเกิดใหม่ แต่จ้าวเมฆาใต้ตัดสินใจอยู่สักพักและเลือกที่จะอยู่ต่อ
ยังมีคนที่หวังหลินรู้จักอีกหลายคนเช่นจางกงเล่ย ปรมาจารย์จงเฉินและคนอื่นๆ ทั้งหมดเลือกที่จะอยู่ต่อและไม่ออกไป
ช่วงเวลาครึ่งเดือนเหลืออยู่แค่สองวันเท่านั้น ช่วงเวลาค่ำ โลกมืดสลัวจนมองเห็นได้ไม่ไกลและเห็นแต่เค้าโครงของภูเขาเท่านั้น ความมืดสลัวมีความงดงามเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองดุจภาพวาดสีทอง
ในโลกที่เหมือนภาพวาดแห่งนี้ มีร่างสามคนเข้ามาใกล้ คนตรงกลางเป็น ชายวัยกลางคน รูปร่างหน้าตาภูมิฐาน เปล่งสัมผัสของคนมีอายุ เขาคือ ฉิงหลิน
ด้านข้างคือลูกสาว ฉิงชวง ผู้มีท่าทีเย็นชาและดูไม่สนใจเรื่องโจวยี่เลย ส่วนโจวยี่ ก็ดูไม่สนใจราวกับเคยชินและไม่เสียใจแล้ว เขามองฉิงชวงเหมือนเดิมในอดีต
นางมีใบหน้าเดิมแต่เป็นคนที่ไม่เหมือนเดิม ความรู้สึกนี้ได้สร้างความเจ็บปวดขึ้นในใจของโจวยี่จนสามารถฉีกเขาออกเป็นสองส่วน เขาต้องเลือกที่จะยอมแพ้หรือยอมรับมัน
“หวังหลิน ลูกสาวข้าและข้าพร้อมที่จะจากไปและไปเกิดใหม่!” ฉิงหลินกล่าวเมื่อมาถึงข้างหวังหลิน เขาหันกลับมามองโจวยี่และถอนหายใจ
ขณะที่สามวันสุดท้ายได้ผ่านมา โจวลี่ เฉินกงฮู่และคนอื่นๆ ได้ตัดสินใจและมาหาหวังหลิน คนที่ตัดสินใจจะไปมีไม่มากนัก น้อยกว่ายี่สิบคนเสียอีก
ในวันสุดท้าย สายฝนเบาบางตกลงมาบนแดนสวรรค์ มู่ปิงเหมยสวมชุดราตรีสีขาว ก้าวเดินผ่านสายฝน หวังหลินลืมตาขึ้นมองสตรีผู้งดงามยิ่งและถือร่มอยู่ตรงนั้น
เรือนผมยาวสีดำดุจภาพวาด ความงดงามที่ไม่สามารถอธิบายได้ของนางดูเหมือนทำให้โลกสงบนิ่งท่ามกลางเสียงสายฝน พลังประหลาดทำให้หลายคนลืมเรื่องราว ทุกอย่าง ร่างของนางปกคลุมไปด้วยไอหมอกแห่งสายฝน
นี่คือ ความงดงามของมู่ปิงเหมย หรือกล่าวให้ชัดเจนกว่านี้คือหลิวเหมย! ด้วยเหตุนี้รูปลักษณ์ของมู่ปิงเหมย เสื้อผ้าและท่าทีของนางเป็นสิ่งที่หวังหลินไม่มีวันลืม