1790. จักรพรรดิมังกรปรากฏ เส้นทางสู่แผ่นดินเซียนดาราเปิดออก
“ข้าหวังว่าท่านจะเดินทางอย่างปลอดภัย…” มู่ปิงเหมยถือร่มพลางมองหวังหลินผ่านสายฝน คำพูดของนางดังกึกก้องในสายฝน ทั้งอ่อนโยนและไม่เย็นชาเลย
ท้ายที่สุดนางก็ตัดสินใจจะไม่จากไป นางมาที่นี่เพื่อเจอหวังหลินเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้พบกันอีกครั้ง
หวังหลินไม่สามารถคาดเดาความคิดของนางได้ มู่ปิงเหมยไม่ใช่สตรีเรียบง่าย ตั้งแต่ที่นางตัดสินใจพูดออกมา นางมีเหตุผลของตัวเอง
หวังหลินไม่อยากถามและไม่ต้องการจะถาม
ครึ่งเดือนผ่านไปในสายฝน พลบค่ำในวันสุดท้าย สายฝนยิ่งตกหนักมากขึ้น และเกิดเป็นม่านแห่งสายฝน หากมองใกล้จะมองเห็นสุดขอบฟ้าเป็นหมอกสลัว
หวังหลินยืนขึ้นและก้าวเท้าเข้าไปหาท้องฟ้า ทุกคนด้านหลังที่จะจากไปพลันทะยานขึ้นสู่อากาศ เปลี่ยนกลายเป็นลำแสงและปลดปล่อยเสียงดังระเบิดในสายฝน
หวังหลินยืนอยู่ในท้องฟ้า มองลงมายังพื้นดินด้านล่าง มู่ปิงเหมยยังคงถือร่มและยืนอยู่ตรงนั้น ร่างของนางปรากฏเลือนรางราวกับกำลังเฝ้าดูหวังหลิน
ร่างนุ่มนวลภายใต้ร่ม ชุดราตรียาวเหยียดและเรือนผมพัดพริ้วในสายลม ส่วนหนึ่งในนั้นมีความรู้สึกเศร้าออกมา
หวังหลินมองมู่ปิงเหมยและขบคิดเงียบๆ
ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยขึ้นมา “หากข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะกลับมา…”
ร่มของมู่ปิงเหมยกดลงเล็กน้อยไม่ให้เห็นหน้าของนาง และนางเอ่ยขึ้นเบาๆ “หากข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะทักทายท่าน…”
หวังหลินยกแขนขวาขึ้นมายื่นออกไป เจ็ดแก่นแท้เปิดใช้งานในคราเดียวและรวมกันในฝ่ามือ ขณะที่แสงสะท้อนกับสายฝน ปรากฏเป็นกระบี่ผลึก
กระบี่เล่มนี้คือการผสานแก่นแท้และพลังบัญชาโบราณเอาไว้ พลังของมันจึง น่าตกตะลึงยิ่ง!
“ข้าไม่รู้ว่าเมื่อใดข้าจะได้กลับมาโลกถ้ำอีก อาจจะเป็นพันปี หมื่นปีหรือนานกว่านั้น บางทีข้าอาจไม่ได้กลับมาอีกเลย…ข้าขอมอบกระบี่เล่มนี้ไว้ให้เจ้า ดูแลตัวเองด้วย!” หวังหลินถอนหายใจและก้าวเข้าไปในท้องฟ้า
ทุกคนด้านหลังทะยานออกไป ลี่เฉียนเหมยมองกลับมาที่มู่ปิงเหมยและจากไป
มู่ปิงเหมยยืนอยู่ตรงนั้น มองลำแสงที่กำลังทะยานออกห่างไป หยาดน้ำตา สองสายไหลรินจากมุมขอบดวงตา โลกเบื้องหน้าของนางพร่ามัวขึ้น ตอนนี้นางดูเหมือนเป็นภรรยากำลังส่งสามีที่ประตูบ้าน และร่างนั้นห่างไกลออกไปเรื่อยๆ
“ดูแลตัวเองด้วย…” มู่ปิงเหมยพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา ซึ่งมากสุดก็ได้ยินเพียงแค่นาง คนเดียว นางถือกระบี่แก่นแท้ที่หวังหลินทิ้งไว้ให้และค่อยๆ เดินจากไปในสายฝน
หวังหลินมองรอบด้านอันคุ้นเคยในท้องฟ้า จิตใจสงบนิ่งลง เขามีความรู้สึกว่าเรื่องราวในโลกถ้ำยังไม่จบ
‘ด้วยค่ายกลที่นี่จะไม่มีสงครามระหว่างดินแดนชั้นในและชั้นนอกอีกครั้ง เว้นแต่จะมีคนแบบราชันย์ปรากฏตัว! แม้ห้าปรมาจารย์ยังอยู่แต่ทั้งหมดก็บาดเจ็บสาหัส การที่มีปรมาจารย์เต๋าความฝันและจ้าวเมฆาใต้ที่นี่ น่าจะไม่มีปัญหา ข้ามีอีกหลายสิ่งที่ต้องคิด’
‘ขุนพลวิหคศักดิ์สิทธิ์ได้จากไปแล้ว หากวิหคศักดิ์สิทธิ์รุ่นแรกในดินแดนชั้นนอกแยกขาดจากขุนพลวิหคศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เช่นนั้นเขาก็ควรจากไปแล้ว…ข้าไม่รู้ว่าวิหค รุ่นสองและคนอื่นๆ ยังอยู่ดีหรือไม่…’ หวังหลินขบคิดเงียบๆ พลางนำกลุ่มคนออกมาจากแดนสวรรค์
เขาไม่ได้ไปที่ดินแดนตกสวรรค์
‘ดินแดนตกสวรรค์ไม่ได้ง่ายเช่นนั้น…เป็นตัวชี้เข็มทิศให้แก่ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า…’ หวังหลินดวงตาส่องสว่าง ในใจมีสิ่งที่คาดเดาแต่ไม่ใช่เวลาที่จะไปดู
‘ยังมีจ้าววิญญาณสีชาดที่ข้าปลดปล่อยออกมา…และคนลึกลับที่โดนผนึกใน แดนสวรรค์วายุซึ่งช่วยข้าต่อสู้กับฉุยต้าว…ต่อมาเขาได้ออกไปจากแดนสวรรค์วายุ ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ไหน แต่บางทีคงเผยตัวออกมาตอนที่ประตูเปิด’
‘มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้…’ หวังหลินหลับตาพลาง ก้าวเดินไปข้างหน้า เก็บความสงสัยและการคาดเดาทั้งหมดไว้ เมื่อกลับมาจากแผ่นดินเซียนดาราอีกครั้งค่อยหาคำตอบ
‘แผ่นดินเซียนดาราไม่ใช่บ้านข้า บ้านข้าอยู่ที่นี่…การเดินทางครั้งนี้เหมือนเด็กที่ออกมาจากบ้าน จะมีสักวันที่ข้าได้กลับมา!’ หวังหลินลืมตา ดวงตาเปล่งประกาย
‘หากข้าไม่ตายและกลับมาได้ ความลึกลับที่เหลืออยู่ทั้งหมด ข้าจะรู้ให้ได้!’ ด้วยระดับบ่มเพาะของหวังหลินในตอนนี้ก็สามารถสืบสาวราวเรื่องได้หมดแล้ว แต่เขาไม่ทำเช่นนั้น เขาทิ้งความลึกลับพวกนี้เอาไว้เพื่อเป็นสิ่งย้ำเตือนถึงบ้านของตัวเองกล่าวได้ว่ามันเป็นเรื่องคาใจรูปแบบหนึ่ง ด้วยเรื่องที่ยังไม่ได้แก้ไขให้ชัดเจนนี้ แม้จะลืมทุกอย่างเนื่องจากผ่านเวลาไปอย่างยาวนาน เขาก็จะไม่มีวันลืมบ้านของตัวเอง
หวังหลินท่องทะยานผ่านดวงดาวพร้อมกับลำแสงหลายสิบสาย ด้วยระดับบ่มเพาะของทุกคนที่สูงส่งจึงเคลื่อนไหวดุจอุกกาบาต
ความเร็วของลี่เฉียนเหมยช้าลงเล็กน้อย แต่มีหวังหลินอยู่ด้วยจึงไม่เป็นปัญหา
อีกไม่กี่วันจะครบเดือน หวังหลินพาทุกคนมาที่ประตูในดาราจักรทุกชั้นฟ้า ประตูทองระเบิดแสงสีทองออกมา มองไกลๆ จึงดูน่าค้นหา
ประตูนี้ใหญ่เกินไปและสามารถค้ำจุนดาราจักรได้ทีเดียว ซวนลั่วกำลังนั่งอยู่ข้างประตูและมีแสงสีทองห่อหุ้ม แรงกดดันน่าตกตะลึงกระจายออกมาจากร่างและห่อหุ้มรอบๆ เอาไว้
เมื่อหวังหลินและคนอื่นมาถึง ซวนลั่วลืมตาจนเรืองแสงสีทอง สายตากวาดผ่านทุกคนไป
“มาถึงก่อนสองสามวัน แต่ไม่มีปัญหา คนทั้งหมดนี้เหมาะสมที่จะไปเกิดใหม่!” คำพูดของซวนลั่วดังกึกก้องในดวงดาว ตอนที่เขาเห็นจำนวนคนจึงผ่อนคลายเล็กน้อย มีคนน้อยกว่ายี่สิบคนและนั่นช่วยประหยัดแรงเขาไปได้เยอะ
เดิมทีเขาคิดว่ามีคนเป็นหลักร้อยหรือหลักพัน ถ้าเป็นเช่นนั้นคงเป็นเรื่องยากสำหรับซวนลั่ว อีกทั้งยิ่งมีคนมากขึ้นยิ่งทำให้วิชาก่อกำเนิดยากขึ้นไปอีก จำนวนคนเท่านี้ถือว่าดีที่สุด
ความจริงหวังหลินไม่ได้บอกทุกคน ไม่เช่นนั้นคงมีคนต้องการจากไปที่นี่อีกมากแน่นอน เหตุผลที่เขาไม่ได้ทำแบบนั้นก็เพราะซวนลั่ว
หวังหลินไม่ต้องการติดหนี้ซวนลั่วมากกว่านี้ แค่นี้ก็ถึงขีดจำกัดแล้ว เขาไม่ต้องการให้ซวนลั่วแบกภาระและทำให้บาดเจ็บเพราะการพาคนมามากเกินไป
ซวนลั่วยืนขึ้น สองมือสร้างผนึก ดาราจักรดวงดาวสั่นเทา ระลอกคลื่นส่งเสียง ดังสนั่นออกไปทุกทิศทางและดังกึกก้องข้ามผ่านดาราจักร
แรกเริ่มเดิมทีเสียงไม่ได้หนักแน่นมากนัก แต่เพียงชั่วครู่เดียวราวกับเสียงดังสนั่นแทนที่ทุกเสียงในโลกนี้ เสื้อผ้าของซวนลั่วสบัดพริ้วราวกับมีอากาศไหลเวียน อยู่ภายใน เส้นผมปลิวไสวไปมา
ดวงอาทิตย์สีแดงโลหิตขนาดใหญ่ยักษ์ปรากฏขึ้นด้านหลังซวนลั่ว หลังจากนั้นประตูทองในดาราจักรก็หมองลงราวกับไม่สามารถเอาชนะได้
ซวนลั่วใช้แขนขวาสร้างผนึกขึ้นมาและยื่นมืออกไป
“จิตวิญญาณสวรรค์จักรพรรดิมังกร ข้าซวนลั่ว ขออัญเชิญ!” ซวนลั่วเอ่ยเสียงเต็มไปด้วยพลังลี้ลับ เสียงดังมากอยู่แล้วยิ่งดังขึ้นไปอีก ระลอกคลื่นนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมากมายพร้อมกับวังวนขนาดใหญ่ มันหมุนอย่างรวดเร็วราวกับทั้งดาราจักรกำลังถูกดูดเข้าไป
ภายในส่วนลึกของวังวนมันมืดสนิท ราวกับเชื่อมต่อกับโลกอีกใบ
ขณะที่วังวนหมุนด้วยความเร็วถึงจุดหนึ่ง เสียงมังกรดังคำรามออกมาจากวังวน แผ่กระจายออกมาและทำให้หวังหลินหูอื้อ
กรรร!! เสียงคำรามดังรุนแรงและแผ่กระจายข้ามผ่านดาราจักร สีหน้า คนด้านหลังหวังหลินทั้งหมดเปลี่ยนไป สายตาแต่ละคนมองมาที่ซวนลั่วด้วย ความหวาดกลัว
เสียงคำรามสั่นสะเทือนจิตใจหวังหลินแต่ยืนจ้องวังวนไม่ขยับไปไหน
เสียงคำรามโผล่ออกมาจากวังวนอย่างต่อเนื่อง แม้หวังหลินจะมองไม่เห็นในวังวนแต่เขาก็สามารถจินตนาการได้ว่าเจ้ามังกรพยายามทะลวงออกมามากแค่ไหน
ชั่วขณะต่อมาเมื่อเสียงคำรามกำลังทำลายดาราจักร ศีรษะขนาดยักษ์ได้โผล่ออกมาจากวังวน มันใหญ่เกินกว่าที่วังวนประคองได้ วังวนเริ่มแตกสลาย เศษเสี้ยวกระจัดกระจายพร้อมคลื่นกระแทก
ศีรษะยักษ์นั้นคือ เศียรมังกร!!
มันมีเขาเดียวและหนวดมังกรสองข้างยาวหลายพันฟุต เกล็ดสีม่วงดำ สายตาเย็นชาและเยือกเย็น
ทั้งหมดนี้กลายเป็นแรงกดดันเข้ากดทับทุกคนที่ได้เห็น
สิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็คือ ปลายเขาไม่ได้แหลมแต่มันแบน มองไกลๆปลายเขาเหมือนมงกุฎของจักรพรรดิ!
แค่หัวของมันก็มีขนาดเกือบหมื่นฟุตแล้ว ตอนนี้มีเพียงแค่หัวที่โผล่ออกมา เจ้ามังกรบิดร่างและส่งเสียงดังกึกก้องเพื่อจะออกมาอย่างสมบูรณ์!
“มังกรตัวนี้คือ หนึ่งในเก้าอาวุธของข้า จักรพรรดิมังกร! มันมาจากป่านอกเมืองทางตะวันออกของแผ่นดินเซียนดารา! มีอสูรดุร้ายอีกหลายตัวที่นั่นและเจ้ามังกรนี้ถือเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตชั้นสูงสุด!”
“มันมีระดับขั้นวิบากดับสูญระดับกลาง ตอนนั้นข้าสังหารมันเอาวิญญาณมา หลอมร่างกาย แยกกระดูก และปล่อยให้กลายเป็นอาวุธ! อาวุธนี้คือแส้ ข้าจะใช้แส้เพื่อฟาดกฎของแผ่นดินเซียนดาราให้สร้างช่องว่างเพื่อให้พวกเจ้าไปเกิดใหม่ได้!” ซวนลั่วส่งเสียงดังกึกก้อง แขนขวายื่นไปหามังกร
เจ้ามังกรร้องคำราม ร่างกายพุ่งออกมาจากความว่างเปล่า สองหมื่นฟุต สามหมื่นฟุต ห้าหมื่นฟุตจนกระทั่งยาวหลักแสนฟุต มันมาถึงเบื้องหน้าซวนลั่วและหดตัวลงจนกลายเป็นแส้มังกรสีโลหิตความยาวพันฟุต!
แส้เส้นนี้เปล่งแรงกดดันอันน่าตกตะลึง แม้แต่หวังหลินยังต้องหรี่ตาแคบที่ได้เห็นแส้ เขาลอบตื่นตัว รู้สึกได้ว่าหากโดนฟาดด้วยแส้เส้นนี้คงไม่สามารถทนไหวแม้แต่ ครั้งเดียว!
พลังอำนาจของแส้นั้นเหนือล้ำเกินกว่าจินตนาการถึง!