1821. เจอคนจากบ้านเกิด
ชายคนนั้นดูตื่นตระหนกและรีบตอบกลับ ทั้งสามเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงลอยเข้าหาภูเขาสีแดง
หวังหลินกำลังจะออกไปจากร่างชายคนนี้แต่ก็คิดอะไรบางอย่างได้ เขาประคับประคองสภาวะนี้และไปพร้อมกันกับเซียนในกลุ่ม
บางทีเป็นเพราะสัมผัสวิญญาณเพิ่งกระจายออกมา ทั้งสามคนกลับไม่ได้ถูกสัมผัสวิญญาณตรวจสอบอีกเลย พวกเขาเข้าไปใกล้ภูเขาสีแดงได้สำเร็จ
“เราต้องเร็วกว่านี้ เมื่อจบเรื่องกับบรรพชนหยานหลวน เรายังต้องไปยอดเขาหลักอีกแห่งและช้าไม่ได้ ซ่งหยิน พวกเจ้ามุ่งหน้าไปก่อน เมื่อเจ้าส่งมอบเสร็จแล้วก็ตามมาให้ทันนะ” สตรีก่อนหน้านี้พูดขึ้นอีกครั้ง ส่วนอีกสตรีอีกคนพยักหน้าเป็นเชิงตกลง
ทั้งสามกระจายตัว สตรีชื่อซ่งหยินมุ่งหน้าหน้าไปที่ภูเขาสีแดง สตรีอีกคนและ หวังหลินได้เปลี่ยนทิศทาง ทั้งสองลัดผ่านภูเขาสีแดงและมุ่งหน้าออกไปไกล
หวังหลินเปลี่ยนกลายเป็นหมอกควันโดยไม่ลังเลและออกจากชายคนนั้น เขาล้อมรอบสตรีชื่อซ่งหยินและทะยานเข้าหาภูเขาสีแดงไปพร้อมกับนาง
สตรีซ่งหยินผู้นี้ไม่ได้ดูแก่ชราและมีหน้าตางดงามมาก ร่างกายเปล่งกลิ่นหอม อันบริสุทธิ์ นางเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงสีแดงและพุ่งทะยานเข้าหายอดเขา
นางหยุดกลางอากาศด้านนอกภูเขาเนื่องจากมีม่านแสงพร่าเลือนป้องกันเอาไว้ นางนำหินหยกสีแดงออกมาและกำลังจะกดลงต้านกับม่านแสง วินาทีนั้นหวังหลินแบ่งสัมผัสวิญญาณส่วนหนึ่งเข้าหาหินหยกสีแดงและใช้พลังเต็มที่เพื่อศึกษามัน
หินหยกส่งเสียงแตกร้าวเล็กน้อย เมื่อหินหยกถูกกดประทับกับม่านแสง หวังหลินจึงได้ถอนสัมผัสวิญญาณ
ม่านแสงสั่นเทาและเกิดระลอกคลื่น นางเก็บหินหยกและก้าวเข้าไปในม่านแสง ตอนนี้ภายในเสื้อผ้านางมีควันที่หวังหลินเปลี่ยนกลายเป็นภาพบิดเบือน เขาใช้แก่นแท้ เขตอาคมเพื่อเลียนแบบหินหยกและเข้าไปพร้อมกับนางอย่างเงียบงัน
พอหวังหลินเข้าไป ในใจเกิดความตื่นเต้นเนื่องจากมีแก่นแท้เพลิงจำนวนมหาศาล ราวกับเพียงแค่หายใจเข้าก็ทำให้แก่นแท้เพลิงของเขาแข็งแกร่งขึ้นได้แล้ว
แต่ขณะเดียวกันก็มีเซียนสตรีขั้นวิบากดับสูญระดับต้นที่หวังหลินหวาดกลัว เขาไม่ได้ละจากสตรีผู้นี้ในทันทีและอยู่กับนางไปชั่วขณะ
นางดูเหมือนรู้สึกอึดอัดกับความร้อนที่นี่ ตอนที่นางเข้าไปนางเต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อ ท่องทะยานเข้าไปยังถ้ำหลายแห่งเพื่อส่งมอบผลไม้แยกวิญญาณ
ตามที่หวังหลินสังเกตการณ์มีถ้ำในภูเขาแห่งนี้ทั้งหมดสิบเก้าแห่ง นอกจากถ้ำบนยอดเขาแล้วนางได้ส่งผลไม้ให้แก่ถ้ำอื่นอีกด้วย แต่ละถ้ำเต็มไปด้วยพลังชีวิตและมีศิษย์สำนักมหาวิญญาณอยู่ภายในถ้ำละหนึ่งคน
หลังจากนั้นไม่นานนางก็มาถึงด้านนอกถ้ำแห่งสุดท้าย ตอนนี้เนื้อตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อเนื่องจากคลื่นความร้อนสูง
“พี่หญิง ผลไม้แยกวิญญาณอยู่นี่แล้ว” นางเอ่ยน้ำเสียงอ่อนเล็กน้อย
“วางเอาไว้” น้ำเสียงเบาบางดังออกมาจากใกล้ประตูถ้ำ พอหวังหลินได้ยินจึงเกิดความคิดสั่นไหว
‘เป็นนาง!’
หวังหลินขบคิด สตรีผู้เต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อพลางนำผลไม้สีขาวแกมเขียวเปล่งพลังงานเย็นออกมาเก้าลูก หวังหลินออกมาจากนางและเกาะไปกับใบของผลไม้
ซ่งหยินคำนับฝ่ามือและจากไปอย่างเคารพ นางทะยานออกจากม่านแสงและเลือนหายไป
ขณะเดียวกันประตูถ้ำได้เปิดออกเพียงเล็กน้อย มีพลังดึงดูดทำการดึงผลไม้เข้าไปข้างใน จากนั้นประตูถ้ำก็ปิดลง
ในถ้ำมีแสงส่องสว่าง ผลไม้เทพที่ถูกดึงเข้าไปในถ้ำได้ถูกวางลงบนโต๊ะหิน
สตรีชุดชมพูผู้หนึ่งนั่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล นางงดงามมากและมีกลิ่นอายที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นยอดสตรีแห่งยุคนี้
นางขมวดคิ้วและดูหดหู่เล็กน้อย นางไม่ได้บ่มเพาะแต่มองออกไปตรงหน้า ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใด
หวังหลินซ่อนตัวอยู่บนใบของผลไม้ มองนางพลางขบคิดไปด้วย
ผ่านไปสักพักสตรีชุดชมพูจึงได้ถอนหายใจ หลับตาลงเพื่อพยายามบ่มเพาะ แต่ทว่าวินาทีนั้นเสียงที่สงบเงียบพลันดังขึ้นในใจนาง
“ฟ่านชานลิ่ว…”
วินาทีที่เสียงนี้ดังขึ้นมา สตรีชุดชมพูพลันลืมตา แขนขวาที่อยู่ใต้เสื้อผ้าถึงกับสั่นเทา นางยกแขนขึ้นมาโบกสะบัด
เกิดหมอกขึ้นมาและปิดผนึกถ้ำอย่างสมบูรณ์
“หวังหลิน!! ท่านอยู่ไหน?” ฟ่านชานลิ่วสูดหายใจลึกและมองไปรอบๆ แม้นางจะดูสงบนิ่งแต่แขนขวากำลังสั่นเทาจนเผยอาการตกตะลึงออกมา
หวังหลินไม่ได้ปรากฏตัวทันทีแต่มองสายหมอกที่ฟ่านชานลิ่วสร้างขึ้น หมอกนี้แปลกประหลาดมาก หน้าที่ของมันคือ ผนึกกลิ่นอายทั้งหมดในถ้ำเอาไว้เพื่อไม่ให้ คนภายนอกตรวจจับสิ่งใดได้
นี่คือนิสัยของฟ่านลานลิ่วทำลงไปโดยไม่รู้ตัว หวังหลินมองรายละเอียดเหล่านี้เพื่อมองเป็นภาพใหญ่ เขาขบคิดเล็กน้อยก่อนจะออกมาจากใบผลไม้และปรากฏตัวเบื้องหน้าฟ่านชานลิ่ว
“ไม่เจอกันนาน” หวังหลินเผยรอยยิ้มพลางมองฟ่านชานลิ่ว สายตากวาดผ่านหมอกเข้าไป
หลังจากเห็นหวังหลิน ฟ่านชานลิ่วตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนจะเผยรอยยิ้ม
“นานมาก…ข้าไม่คิดว่าท่านจะมาที่นี่…หมอกนี้เอาไว้เพื่อให้ศิษย์หลักของ สำนักมหาวิญญาณเข้าไปปิดด่านบ่มเพาะ เมื่อหมอกปรากฏขึ้นมา สัมผัสวิญญาณของอาจารย์จะไม่กวาดมาอย่างจงใจ ดังนั้นที่นี่จึงปลอดภัย”
รอยยิ้มของฟ่านชานลิ่วช่างเปี่ยมไปด้วยความสุข นางไม่คาดคิดว่าจะเจอ หวังหลินที่นี่ อย่างไรก็ตามนางยังรู้สึกขอบคุณหวังหลินและมันจะไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา
สิ่งที่เกิดในโลกถ้ำกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนาง ถ้าไม่ใช่เพราะหวังหลิน นางคงไม่สามารถกลับมาที่บ้านได้ ฟ่านชานลิ่วจึงนับถือหวังหลินด้วย
หวังหลินนั่งลง หลังจากฟังคำอธิบายของนางและสังเกตท่าที หวังหลินจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อยแต่เขาก็ยังระมัดระวังอยู่ หากฟ่านชานลิ่วมีความคิดอื่น เขาจะโจมตีโดยไม่ลังเล
“ท่านยังคงทำตัวระมัดระวัง…แต่นั่นก็ดีแล้ว ท่านจำเป็นต้องระมัดระวังตัวบนแผ่นดินเซียนดาราเพื่อการเอาตัวรอด…” ฟ่านชานลิ่วยิ้มขณะมองหวังหลิน
“สามปีก่อน ข้าเจอกับหยุนยี่เฟิงแห่งสำนักกุ้ยยี่และพูดถึงท่าน ตามการคาดคำนวณของเรา ท่านน่าจะมาที่แผ่นดินเซียนดารานานแล้ว แต่เรายังไม่ได้ยินข่าวคราวท่านเลย บางทีคงมีเรื่องเกิดขึ้นหรือท่านอาจจะอยู่ที่ไหนไกลๆ”
“ข้าไม่คิดว่าจะมาเจอท่านที่นี่วันนี้” ฟ่านชานลิ่วกะพริบตาและหัวเราะ
“มีเหตุการณ์เกิดขึ้นหลายอย่างระหว่างทางจนข้าสายไปเล็กน้อย ข้ายินดีที่ได้ เจอเจ้า” หวังหลินยิ้ม หายากนักที่จะเจอคนคุ้นเคยบนแผ่นดินเซียนดาราซึ่งทำให้ หวังหลินรู้สึกอบอุ่นเล็กๆ
ความจริงฟ่านชานลิ่วก็รู้สึกอบอุ่นเหมือนกัน นางใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตอยู่ในถ้ำ ความสัมพันธ์กับสำนักมหาวิญญาณก็มีแค่ชื่อและตอนนี้มันช่างไม่คุ้นเคยกับนางเสียจริงๆ
“พูดมาเถอะ ท่านมาที่สำนักมหาวิญญาณและมาที่ถ้ำของข้า ต้องมีเหตุผลบางอย่าง หากมีสิ่งใดให้ข้าช่วยเหลือ ข้าจะทำอย่างดีที่สุด” ความรู้สึกหดหู่ของ ฟ่านชานลิ่วจางหายไปเมื่อหวังหลินมาถึงและถูกแทนที่ด้วยความสุขแท้จริง
หวังหลินสัมผัสความสุขของฟ่านชานลิ่วได้และสิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกจิตใจอบอุ่น หวังหลินเผยรอยยิ้มเงียบๆและเอ่ยออกมา
“ข้าจำเป็นต้องใช้สายเพลิงปฐพีเส้นหลักเพื่อบ่มเพาะ…มันอาจจะกระทบ สายเพลิงเส้นหลักที่นี่”
ฟ่านชานลิ่วขบคิด ผ่านไปสักพักจึงพยักหน้า
“ไม่มีปัญหา ข้าสามารถพาเจ้าไปตำแหน่งบ่มเพาะใกล้ๆ กับสายเพลิงปฐพี อาจารย์น่าจะจัดการได้ง่าย นางปิดด่านบ่มเพาะอยู่ตลอดเวลาและแผ่กระจายสัมผัสวิญญาณไม่บ่อยนัก นางจะไม่ตรวจสอบการบ่มเพาะของศิษย์บ่อยเกินไปเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบ”
“ปัญหาหลักคือพี่หญิงของข้า…นางอยู่บนภูเขาเพลิงด้วย…แต่นางก็ได้รับความสนใจจากอาจารย์จนนางไม่อาจออกมาง่ายๆ”
“เอาแบบนี้ ข้าจะไปห้องเพลิงกับเจ้าด้วย หากมีคนอื่นถามข้าแค่บอกว่าปิดด่านบ่มเพาะ แต่มันจะใช้เวลาได้ไม่นาน ไม่เช่นนั้นคนอื่นจะเริ่มตั้งคำถามอีก” ฟ่านชานลิ่วตัดสินใจและรีบผุดความคิดนี้ขึ้นมา
หวังหลินขบคิดและเอ่ยขึ้น “นั่นคงไม่ดีต่อตัวเจ้า…”
พอฟ่านชานลิ่วได้ยินเช่นนี้ ท่าทีจึงอ่อนลงและส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม
“ไม่มีปัญหาหรอก อาจารย์ก็ปกป้องตัวนางเองเช่นกัน ข้ารู้ขีดจำกัดของข้าดี”
หวังหลินมีท่าทีเคร่งขรึมพลางลุกขึ้นและคำนับฝ่ามือให้กับฟ่านชานลิ่ว “ขอบคุณมาก!”
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า ข้าอยากขอบคุณท่าน หากไม่ใช่เพราะท่านข้าคงไม่สามารถกลับมาที่แผ่นดินเซียนดาราได้” ฟ่านชานลิ่วลุกขึ้น
“เรื่องนี้ไม่ควรชักช้า เราควรเข้าไปเลย ข้าต้องขอให้ท่านซ่อนอยู่ในตัวข้า…” ฟ่านชานลิ่วพูดขึ้นพลางแก้มแดงไปด้วย
หวังหลินพยักหน้าและเปลี่ยนกลายเป็นควัน เขาเข้าไปในแขนเสื้อและห่อหุ้มรอบตัวนางเอาไว้ ด้วยวิธีนี้หากนางเคลื่อนไหวผิดปกติอันใด หวังหลินก็จะตรวจจับได้ทันที
นิสัยความระมัดระวังของเขาจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเพราะคนอื่น ตำแหน่งหรือคำพูดของอีกฝ่าย
ฟ่านชานลิ่วจัดแจงเสื้อผ้า เมื่อท่าทีกลับมาเป็นปกติ นางสะบัดเรียวแขนละเอียดดุจหยกเพื่อสลายหมอก จากนั้นก้าวเดินออกไปนอกถ้ำ
นางไม่หยุดชะงักเลยระหว่างทาง จังหวะไม่ช้าหรือเร็วเกินไป นางตรงไปยัง ถ้ำยักษ์ตรงฐานของภูเขาแดง ซึ่งเป็นจุดที่ใกล้เพลิงปฐพีสายหลักมากที่สุดที่อาจารย์เปิดให้ศิษย์ใช้งานการฝึกฝนได้