1832. วิญญาณซ่อนเร้น
ลึกเข้าไปในสำนักมหาวิญญาณ มีภูเขาสูงทะลุฟ้าอยู่แห่งหนึ่ง ภูเขาแห่งนี้เป็น สีเขียวชอุ่มและสูงล้ำจนดูราวกับค้ำจุนโลกแห่งนี้ ที่นี่คือสถานที่ต้องห้ามของ สำนักมหาวิญญาณ มันคือที่พำนักของบรรพชนกระทิงเขียว
หวังหลินทะยานร่างผ่านเข้าไป เขตอาคมเบื้องหน้าทั้งหมดส่งเสียงดังกึกก้องแต่ไม่มีอันไหนหยุดยั้งเขา หวังหลินหยุดอยู่นอกยอดเขาสวรรค์เขียวและคำนับฝ่ามือ เอ่ยเสียงดังฟังชัดเข้าไปยังภูเขา
“ผู้น้อยหวังหลินมาแล้ว ผู้อาวุโสกระทิงเขียวอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่?”
ภูเขาสวรรค์เขียวสั่นเทา เขตอาคมทั้งหมดโดยรอบเลือนหายไป น้ำเสียงเก่าแก่ดังออกมาจากภูเขา
“ข้ารอเจ้าอยู่บนยอดเขา”
หวังหลินแผ่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมาและตรวจสอบภูเขา แม้ภูเขาแห่งนี้จะดูธรรมดาแต่กลับมีกลิ่นอายทรงพลังอยู่ภายใน
‘นี่มันภูเขาที่สร้างขึ้นจากสมบัติ…’ หวังหลินพุ่งทะยานผ่านก้อนเมฆและมาถึงยอดเขาในเวลาไม่นาน
ณ ยอดเขาสวรรค์เขียว บรรพชนกระทิงเขียวกำลังนั่งอยู่ตรงนั้น สวมเสื้อคลุม สีเขียวพัดกระพือในสายลมพร้อมกับเรือนผมสีขาว หวังหลินมาถึงและนั่งลงตรงข้ามด้วยท่าทีสงบนิ่ง
หวังหลินเอ่ยขึ้น “เต๋าเนตรวิญญาณช่างน่าอัศจรรย์ บ่มเพาะไปสัก 178,000 ปีบางทีมันคงแข่งขันกับราชครูได้บ้าง ข้าขอชื่นชมความล้ำลึกของสำนักมหาวิญญาณ”
เพียงกระทิงเขียวได้ยินเช่นนี้จึงส่งเสียงหัวเราะ เขาไม่ได้ดูอึดอัดและสงบนิ่งมากกว่า
“ใช่แล้ว ผู้อาวุโสหวังกล่าวถูกต้อง การเข้าร่วมกับสำนักมหาวิญญาณของข้าและภาคภูมิใจในสำนักถือเป็นเรื่องที่ดี ความจริงข้าก็คิดอยู่เช่นกัน จะมีคนที่สามารถ ปิดด่านบ่มเพาะไป 178,000 ปีและบรรลุเต๋าเนตรวิญญาณจนสมบูรณ์ได้จริงหรือ พวกนั้นคงมีพลังอำนาจพอจะแข่งขันกับราชครูได้!”
“178,000 ปีที่บ่มเพาะวิชาเดียวและระดับบ่มเพาะไม่เพิ่มขึ้นเลย ร่างกายคงไม่มีพลังชีวิตมากพอ คนเช่นนั้นจะมีอยู่ได้อย่างไร?” หวังหลินเอ่ยตรงๆ เวลา 178,000 ปีทำให้เขารู้สึกทำอะไรไม่ถูก
“ฮ่าฮ่า กระนั้นข้าก็ไม่เคยได้ยินใครในสำนักมหาวิญญาณที่เป็นปรมาจารย์ วิชาเต๋าเนตรวิญญาณเลย แม้แต่บรรพชนรุ่นแรกก็ทำได้เพียงบรรลุสี่พันหนึ่งร้อยล้านอักขระเท่านั้น”
“อย่างไรเสียพรสวรรค์ของผู้อาวุโสหวังนับว่ายอดเยี่ยม ท่านผ่านอะไรมามาก บางทีท่านคงจะหาทางเชี่ยวชาญยอดวิชาของสำนักมหาวิญญาณได้” กระทิงเขียวเอ่ยขึ้นพลางยิ้มออกมา
“ไร้สาระ!” หวังหลินไม่ได้ทำตัวสุภาพเลยและไม่ค่อยพูดจาเช่นนี้ แต่เขาพบว่า สีหน้าท่าทางของกระทิงเขียวในปัจจุบันช่างชั่วร้ายเกิน
กระทิงเขียวตกตะลึงไปชั่วขณะ เขาไม่คาดคิดว่าหวังหลินจะตอบเช่นนี้ เพียงพริบตาเดียวกระทิงเขียวก็รู้สึกผิดเล็กน้อยและยิ้มคล้ายกลั่นแกล้ง
“ช่างมันเถอะ อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย ข้ามีของขวัญสามอย่างที่สำนักมหาวิญญาณได้เตรียมไว้ให้ พวกมันน่าจะเป็นประโยชน์มหาศาลต่อตัวของเจ้า!” หลังกล่าวเช่นนี้จึงสะบัดแขนขวาปรากฏแสงทั้งสาม พวกมันคือกล่องสามกล่องและลอยเข้าหา หวังหลิน
หวังหลินสะบัดแขนเสื้อเก็บกล่องกลับไปโดยไม่หันไปมอง
“หรือว่าข้าจะต้องใช้เวลา 178,000 ปีก่อนที่จะเปิดมันได้?”
บรรพชนกระทิงเขียวกระแอมและรีบพูด “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ ของขวัญทั้งสามนี้ถูกบรรพชนรุ่นแรกเตรียมไว้ให้และถูกส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น ตอนนี้พวกมันอยู่ในมือ เจ้าแล้ว ข้างในจะเป็นอะไรข้าก็ไม่ทราบ หากมีสิ่งใดผิดพลาด อย่ามาตามหาข้าล่ะ…”
พอเห็นหวังหลินขมวดคิ้ว บรรพชนกระทิงเขียวจึงยืนขึ้นและยกแขนขวาขึ้นไปยังท้องฟ้า ปรากฏระลอกคลื่นด้านนอกหุบเขาคล้ายกับรอยแยกอวกาศขนาดยักษ์ มันมีอวกาศอีกแห่งในรอยแยกและมีตำหนักข้างในถึงเก้าชั้น
ตำหนักนี้ปกคลุมไปด้วยสายหมอก แรงกดดันวิญญาณรั่วไหลออกมาจากรอยแยก แค่หวังหลินไม่ได้เข้าไปก็รู้สึกถึงแรงกดดันได้แล้ว
“ข้ายังมีเตาปรุงยา เจ้าสามารถเข้าไปตำหนักสลักวิญญาณและเลือกวิชาได้ กฎที่ส่งต่อมาทุกรุ่นคือ เจ้าสามารถเลือกได้เพียงวิชาเดียว หากเจ้าต้องการเข้าไปอีกครั้งจะต้องทำงานของสำนักให้เสร็จสิ้น!” หลังจากบรรพชนกระทิงเขียวเอ่ยปาก เขาจึงจากไป
หวังหลินยืนขึ้นและไม่สนบรรพชนกระทิงเขียว เขามองดูรอยแยก ขบคิดเล็กน้อยก่อนจะก้าวเข้าไป
วินาทีที่เข้าไปในรอยแยก แรงกดดันทรงพลังเข้าห่อหุ้มรอบตัว ที่นี่เป็นอวกาศพร่ามัวไร้ท้องฟ้าหรือผืนดิน สิ่งเดียวที่อยู่ข้างในคือตำหนักเก้าชั้นที่ห่อหุ้มด้วย สายหมอก
ด้านนอกตำหนักมีรูปปั้นอสูรดุร้ายคล้ายมีชีวิตสองตัว
ประตูตำหนักปิดอยู่และเงียบสงัด ภายในชั้นที่หกมีแสงกะพริบวูบวาบราวกับ มีคนกำลังเดินอยู่ข้างใน
เหนือประตูมีตัวอักษรสลักเอาไว้
ตำหนักสลักวิญญาณ
นี่คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของสำนักมหาวิญญาณ ซึ่งมีเหล่ายอดวิชาจากยุคก่อนเก็บเอาไว้ทั้งหมด แม้จะดูสงบแต่หวังหลินสัมผัสได้ถึงกับดักที่ซ่อนตัวไว้ ซึ่งมีกับดักที่ น่ากลัวหลายอย่าง
หวังหลินขบคิดก่อนจะก้าวเข้าสู่ตำหนัก พอเขาเข้าไปใกล้พลันหันไปมองรูปปั้นหินยักษ์ซึ่งมีรูปร่างเป็นอสูรดุร้าย
เจ้าอสูรตัวนี้ดูเหมือนกิเลนแต่ก็มีความแตกต่าง
ขณะที่หวังหลินมองเข้าไป เจ้าอสูรดุร้ายพลันขยับเขยื้อน พื้นที่รอบบริเวณดูเหมือนบิดเบือนและมีเสียงดังขึ้นในใจ
“ส่งหินหยกมา!”
หวังหลินดวงตาส่องสว่าง เขาเห็นว่ารูปปั้นนี้มีวิญญาณของอสูรทรงพลังถูกปิดผนึกไว้ภายใน วิญญาณดวงนี้ผสานกับรูปปั้นและสามารถเปลี่ยนกลายเป็นวิชาได้หลายอย่าง
หวังหลินยกแขนขึ้น หินหยกที่บรรพชนกระทิงเขียวมอบให้พลันปรากฏขึ้นมา หวังหลินรู้สึกแต่เพียงมีอะไรกวาดผ่าน จากนั้นเห็นแสงสีแดงกะพริบก่อนที่หินหยกจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย ตรงปากของรูปปั้นคล้ายกับมีมีเสียงเคี้ยว ครู่ต่อมามันก็พ่นหินหยก
“เจ้าสามารถเข้าตำหนักสลักวิญญาณและเลือกได้หนึ่งวิชา!” รูปปั้นหินส่งข้อความสัมผัสวิญญาณออกมาก่อนจะหยุดเคลื่อนไหว อากาศที่บิดเบือนหายไปและดูเหมือนกลับเป็นรูปปั้นปกติ
‘เร็วอะไรขนาดนั้น!’ หวังหลินหรี่ตา เขามองไม่เห็นเลยว่ารูปปั้นทำอะไรลงไป พอขบคิดชั่วครู่จึงตระหนักได้ว่าแสงสีแดงคือลิ้นของรูปปั้น
หลังจากนั้นมีช่องว่างเปิดขึ้นมาในตำหนัก คลื่นความผันผวนผุดออกมาจากตำหนัก ทำให้แรงกดดันรุนแรงมากขึ้น
หวังหลินก้าวเข้าไปในประตูและเข้าไปในช่องว่าง พอเขาเข้าไปในชั้นแรกจึงได้เห็นความลับของมัน
ชั้นนี้เป็นห้องกว้างราวหมื่นฟุตและมีคนตัวเล็กประมาณเจ็ดนิ้วลอยอยู่รอบๆนับไม่ถ้วน ดวงตาแต่ละคนปิดสนิทและอยู่นิ่งไม่ไหวติง ทว่าทั้งหมดกลับเปล่งระดับ บ่มเพาะทรงพลัง
หวังหลินกวาดสายตาผ่านเหล่าคนตัวน้อยหลายพันไป พวกนั้นมีทั้งชายและ หญิง เยาว์วัยและแก่ชราแต่ทั้งหมดล้วนเป็นร่างวิญญาณ และวิญญาณมีวิชาหนึ่งชนิดบรรจุเอาไว้
“ตำหนักสลักวิญญาณ…” หวังหลินพึมพำหลังจากชำเลืองมองในชั้นนี้และเห็นบันไดขึ้นสู่ชั้นที่สอง มันมีแสงน่ากลัวอยู่ หากมีระดับบ่มเพาะไม่สูงพอจะไม่สามารถขึ้นไปได้
เป็นที่แน่ชัดว่ายิ่งสูงขึ้นก็ยิ่งมีวิชาอันน่าอัศจรรย์มากขึ้น หวังหลินสะบัดแขนเสื้อ ท่องทะยานผ่านร่างวิญญาณหลายร้อยเพื่อไปถึงตรงบันได ตอนที่หวังหลินจะก้าวไปบนบันได มีพลังต่อต้านไม่ให้เขาได้ขึ้นไป
พลังต่อต้านนี้แข็งแกร่งมากและสามารถหยุดเซียนที่ไม่ใช่ขั้นที่สามไว้ได้หมด ทว่าสำหรับหวังหลินนั้นแตกต่าง เขาสงบนิ่งพลางก้าวเดินขึ้นไปบันไดไปสู่ชั้นที่สอง
ชั้นที่สองมีร่างวิญญาณหลักพัน กลิ่นอายแต่ละดวงทรงพลังยิ่งกว่าชั้นแรกมากมาย แต่หลังจากหวังหลินชำเลืองสายตามองก็ยังไม่พบวิชาที่ต้องการ เขามองหาวิชาภาพมายาทับซ้อนและวิชาที่ใช้อัญเชิญวิญญาณของบรรพชนสำนักมหาวิญญาณ
‘วิชาพวกนี้ส่วนใหญ่สำหรับเซียนขั้นสวรรค์ดับสูญและสามารถแสดงพลังอำนาจอันน่าอัศจรรย์ได้…แต่พวกนี้กลับไร้ประโยชน์สำหรับข้า’ หวังหลินขบคิดก่อนจะ ก้าวเดินขึ้นไปบนบันไดอีก
ชั้นที่สาม ชั้นที่สี่ ชั้นที่ห้า! หวังหลินหยุดแต่ละชั้นไม่นานนักจนกระทั่งมาถึงชั้นที่ห้า ในชั้นนี้มีร่างวิญญาณลดลงจนเหลืออยู่ราวๆ ห้าร้อยดวง กลิ่นอายที่พวกมันปลดปล่อยออกมาอยู่ราวๆ ขั้นแก่นแท้ดับสูญ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นวิชาสำหรับเซียน ขั้นแก่นแท้ดับสูญ
แม้ว่าหวังหลินจะไม่เห็นว่าพวกนี้เปลี่ยนแปลงหรือร่ายวิชาได้อย่างไร เขากลับสัมผัสได้ว่าวิญญาณแต่ละดวงนั้นทรงพลังยิ่ง
หวังหลินไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากมีหนึ่งในร่างวิญญาณที่นี่ถูกนำพาไปข้างนอก แต่เขารู้ว่าหากมันถูกวางไว้ในโลกถ้ำ มันคงทำให้เกิดหายนะใหญ่หลวง!
แต่ถึงแม้วิชาเหล่านี้จะน่าสนใจแค่ไหน มันก็ไม่ใช่สิ่งที่หวังหลินต้องการ! พอมองไปที่บันไดสู่ชั้นที่หก ดวงตาหวังหลินส่องสว่างและเดินขึ้นไป
เมื่อเท้าเหยียบย่ำ หวังหลินรู้สึกจิตใจดังสนั่นราวกับมีคนตีเข้าศีรษะ ร่างกาย สั่นสะท้านและนิ่งงันไม่เคลื่อนไหว
ณ ชั้นที่หก หยานหลวนกำลังนั่งอยู่ที่นั่นพร้อมกับมีร่างวิญญาณลอยอยู่เหนือศีรษะ สายพลังวิญญาณโผล่ออกมาจากร่างวิญญาณและเข้าศีรษะของนาง
เพียงเท้าหวังหลินเหยียบย่ำไปบนบันไดสู่ชั้นที่หก หยานหลวนพลันลืมตาเป็นประกาย
‘คนที่เข้าตำหนักสลักวิญญาณในเวลานี้อาจเป็นหวังหลิน! ระดับบ่มเพาะของเขาช่างแปลกประหลาด เขาคงไม่ใช่แค่ขั้นวิญญาณดับสูญระดับปลาย มาดูกันว่าเขาสามารถขึ้นมาที่นี่ได้หรือไม่ เมื่อนั้นข้าจึงจะตัดสินระดับบ่มเพาะของเขาได้!’