1834. ต้องการก้าวไปบนฟ้า
หวังหลินยกแขนขวาขึ้นมา กระบี่โลหิตร่อนลงบนพื้น
“กระบี่เล่มนี้ก็น่าจะพอ!”
หยานหลวนกวาดสายตาผ่านกระบี่หวังหลินไป นางรู้ว่ากระบี่โลหิตเล่มนั้นคือสมบัติของเผ่าบัญชาโบราณ ซึ่งมีค่าเทียบเท่าร่มสีฟ้าที่นางใช้เดิมพัน
“เยี่ยม! ข้าจะเดิมพันกับเจ้า ข้าอยากเห็นว่าเจ้าจะโดนเขตอาคมของชั้นที่เจ็ดกระแทกกลับมาจนมีสภาพอย่างไร!” หยานหลวนหรี่ตาแคบ นางไม่สามารถมองทะลุหวังหลินได้
‘การที่เขานำกระบี่เล่มนี้ออกมา…เป็นไปได้ว่าเขามั่นใจในการเข้าสู่ชั้นที่เจ็ด?’
หวังหลินไม่มองหยานหลวนอีกต่อไป ท่าทีสงบนิ่งก้าวเข้าสู่บันไดไปชั้นที่เจ็ด จังหวะการก้าวเดินไม่ช้าไม่เร็ว ทุกก้าวทำให้เกิดระลอกคลื่นคล้ายกับการก้าวไปบนจิตใจของหยานหลวน นางหยุดทำความเข้าใจร่างวิญญาณที่อยู่เหนือศีรษะและ จดจ้องหวังหลินด้วยความรู้สึกตึงเครียดเล็กน้อย
นางรู้สึกเสียใจอยู่เล็กๆ และไม่ควรไปเย้าแหย่หวังหลิน ร่มสีฟ้านั่นคือสมบัติที่ทรงพลังมากของนาง พลังป้องกันยังแข็งแกร่งอีกด้วย
‘ฮึ่ม มันต้องเจ้าเล่ห์และโกหก ข้ากลัวว่าหลังจากเขาแพ้ จะต้องหาทางทวงกระบี่คืน!’ หยานหลวนมองหวังหลินขณะคิดไปด้วย
หวังหลินมองบันไดซึ่งมีทั้งหมดสิบเก้าขั้นสำหรับการขึ้นไปชั้นที่เจ็ด ดูเหมือน แต่ละขั้นจะก้าวขึ้นไปง่ายๆ แต่เมื่อเข้าไปใกล้แล้วกลิ่นอายอันตรายได้ย้ำเตือนเขา หากเขาขาดความมั่นใจ การก้าวไปบนบันไดก็เหมือนกับการเอาชีวิตรอดบนทะเลที่มีแต่เรือลำเดียว
“อะไร เจ้าไม่กล้า?” พอหยานหลวนเห็นหวังหลินหยุดอยู่ตรงหน้าบันได นางผ่อนคลายเล็กน้อยเพราะกลัวว่าเขาจะก้าวไปบนบันไดโดยไม่มีปัญหาจริงๆ
หวังหลินหันกลับมามองรอบๆและมองหยานหลวนอย่างมีนัยยะ
“จงดูให้ดีดี!” หลังจากหวังหลินเอ่ยขึ้น ดวงตาเปล่งประกาย เท้าเหยียบย่ำไปบนขั้นแรก ท้องฟ้าเหนือสำนักมหาวิญญาณพลันเปลี่ยนไป
บันไดยักษ์กว้างหลายแสนลี้ปรากฏขึ้นในท้องฟ้าเหนือสำนักมหาวิญญาณ บันไดแห่งนี้ส่องสว่างขึ้นในความมืดด้านบน
เสียงดังกึกก้องในยามกลางคืน ปลุกเหล่าเซียนนับไม่ถ้วนจากการปิดด่าน บ่มเพาะ แต่ละคนส่งสัมผัสวิญญาณออกมาหรือบางคนก็เหาะเหินจากยอดเขาเพื่อมาดูบันไดยักษ์ในท้องฟ้า!
“มีคนพยายามเข้าไปในตำหนักสลักวิญญาณชั้นที่เจ็ด!!”
“เรือนผมสีขาวนั่น จากลักษณะแล้วไม่ใช่ผู้อาวุโสหวังคนใหม่หรอกหรือ?”
“แม้ระดับบ่มเพาะของเขาไม่ได้แย่อะไรนัก แต่การเข้าสู่ชั้นที่เจ็ดถือว่ายากมาก!”
“ฮ่าฮ่า มีอะไรดีดีให้ดูแล้ว นี่ก็เกือบร้อยปีแล้วที่ไม่มีใครลองเข้าไปชั้นที่เจ็ด นอกจากเหล่าสหายเฒ่าพวกนั้น แทบไม่มีใครกล้าเข้าไปในชั้นที่เจ็ดเลย!”
“เขตอาคมในตำหนักสลักวิญญาณนั้นทรงพลังมาก บันไดที่ปรากฏขึ้นในท้องฟ้านั้น ก็เพื่อให้ทุกคนได้เห็นว่าเขาพยายามเข้าสู่ชั้นที่เจ็ด ซึ่งจะปรากฏขึ้นมาทุกครั้งเว้นแต่คนผู้นั้นเคยเข้าไปได้สำเร็จแล้ว! ข้าคิดว่าผู้อาวุโสหวังจะต้องล้มเหลวอย่างแน่นอน!”
ขั้นบันไดมีทั้งหมดสิบเก้าขั้น ขั้นแรกมีร่างใหญ่ยักษ์ยืนอยู่ ร่างนี้มีเรือนผมสีขาวเพราะเขาคือหวังหลิน!
นี่คือภาพมายาที่สร้างขึ้นจากตำหนักสลักวิญญาณเมื่อมีคนต้องการเข้าสู่ชั้นที่เจ็ดและเป็นแบบนี้ทุกครั้งนับตั้งแต่ยุคโบราณ ใครที่ต้องการเข้าสู่ชั้นที่เจ็ดจะถูกทุกคนเฝ้าติดตาม!
มันความรู้สึกอันทรงเกียรติแต่ก็เป็นแรงกดดันมหาศาลเช่นกัน หากไม่มีคุณสมบัติมากพอ ทุกคนก็จะได้เห็นการไร้ความสามารถรวมถึงสภาพที่ย่อยยับตอนที่ถูกเตะกลับมา
มันเป็นสิ่งล้ำค่าเพราะเรื่องแบบนี้ไม่ได้มีคนอยากลองเข้าสู่ชั้นที่เจ็ดมากนัก!
ณ สำนักมหาวิญญาณ ลำแสงหลายเส้นได้ลอยออกมาจากยอดเขาของตัวเอง เรื่องมีชีวิตชีวาแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่หาดูได้ง่ายแต่ก็ไม่ยากจนเกินไป
มีคนส่วนน้อยที่คิดว่าหวังหลินจะทำได้สำเร็จ แต่คนส่วนใหญ่หวังว่าจะเห็นเขาตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่
แม้กระทั่งบรรพชนกระทิงเขียวยังขมวดคิ้วมองออกไป สายตาแทงทะลุผ่านภูเขาและเห็นภาพมายาในท้องฟ้า
‘เขาวู่วามไปหน่อย…ด้วยระดับบ่มเพาะเท่านี้ การเข้าสู่ชั้นที่เจ็ดถือว่าเป็นไปไม่ได้…’ บรรพชนกระทิงเขียวถอนหายใจและส่ายศีรษะ
‘ถือว่าเป็นหนทางที่ดีในการฝึกความยับยั้งชั่งใจเสียบ้าง อย่าคิดว่าการอยู่ในสำนักมหาวิญญาณของข้าเป็นเรื่องง่าย!’
ขณะเดียวกัน บนยอดเขาสามในห้าแห่งซึ่งมีเซียนเฒ่าที่มักจะปิดด่านบ่มเพาะอยู่ตลอดเวลาเป็นเจ้าของ ได้มีคนลืมตาและมองเข้ามา
‘น่าสนใจ เข้าไปชั้นที่หกด้วยระดับบ่มเพาะเท่านี้ก็ยากพอแล้ว เขายังต้องการเข้าสู่ชั้นที่เจ็ดอีก…’
‘เด็กคนนี้ประเมินตัวเองสูงเกินไป…’
ในภาพมายาบนท้องฟ้า เท้าขวาหวังหลินเหยียบไปบนบันไดขั้นแรก ดวงตาหลับลงและนิ่งงันไม่เคลื่อนไหว
ทว่าหลังจากนั้นไม่นานเขาพลันลืมตาและจ้องมองที่ปลายสุดของบันได ยกเท้าขึ้นและเริ่มก้าวต่อไป!
ทุกก้าวจะทำให้เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องในสำนักมหาวิญญาณ พริบตาเดียว หวังหลินก็ก้าวไปถึงห้าขั้น!
หยานหลวนจ้องมองหวังหลินบนขั้นหก พอเห็นหวังหลินก้าวไปได้ห้าขั้น สีหน้าท่าทางของนางเปลี่ยนไปแต่ไม่นานก็กลับคืนสู่ปกติ
‘ฮึ่ม ก้าวเดินได้ห้าขั้นแล้วอย่างไร? เขายังไม่ได้ไปบันไดขั้นที่เจ็ดเสียหน่อย!’ หยานหลวนกำหมัดแน่นและลืมเรื่องร่างวิญญาณเหนือศีรษะไปเสียสนิท นางเพ่งสมาธิจับจ้องหวังหลิน
หวังหลินสงบนิ่งแต่จิตใจโหมกระหน่ำดุจพายุ หลังจากมาถึงขั้นที่ห้า ราวกับเขาจมลงไปในขุมนรกไร้ขอบเขต เมื่อเท้าเหยียบย่ำลงไป สัมผัสวิญญาณทรงพลังเข้าไปในร่างและกระหน่ำใส่จิตใจเขา
“ลงมา!”
“ลงมา!!”
“ลงมา!!!”
แม้ว่าเสียงนั้นจะมีแค่สองคำ แต่มันกลับดังกึกก้องในจิตใจหวังหลินอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับมีคนนับแสนกำลังร้องตะโกนใส่เขา
น้ำเสียงทำให้หวังหลินรู้สึกราวกับร่างกายกำลังฉีกขาด ราวกับเขาต้องถูกลบออกไปจากโลกนี้หากไม่ถอยไป เท้าหวังหลินหยุดลงบนชั้นที่ห้าเพราะเสียงนี้ เขามองบันไดด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“รวบรวม ร่างแก่นแท้!” หวังหลินใช้ฝ่ามือสร้างผนึกและชี้ออกไป ส่วนหนึ่งในสำนักมหาวิญญาณเกิดเสียงดังสนั่น ทะเลเพลิงปะทุออกมาจากภูเขาสายเพลิง ทะเลเพลิงนั้นปกคลุมท้องฟ้าและมีใบหน้ายักษ์ปรากฏขึ้นมา
ใบหน้านี้คือ ร่างแก่นแท้ของหวังหลิน!
พริบตาเดียวเปลวเพลิงมหึมาจึงได้พุ่งเข้าหาบันไดลวงตาและเข้าไปในร่างหวังหลิน
ขณะเดียวกันในตำหนักสลักวิญญาณ ณ บันไดสู่ชั้นที่เจ็ด หวังหลินปกคลุมอยู่ในทะเลเพลิง ร่างแก่นแท้ปรากฏขึ้นมา!
ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า เขาที่ได้รับความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีกขั้นพลันยกเท้าและก้าวออกไปอีกครั้ง!
ขั้นที่หก ขั้นที่เจ็ด ขั้นที่แปด มุ่งหน้าสู่ขั้นที่สิบสามรวดเดียวโดยไม่หยุดพัก!
หยานหลวนที่กำลังสังเกตเขาพลันลุกขึ้นยืน ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ ร่างกายสั่นเทา มือที่กำหมัดถึงกับซีดไปแล้วโดยไม่รู้ตัว
‘เป็นไปไม่ได้!’
ขณะเดียวกันสีหน้าท่าทางของทุกคนในสำนักมหาวิญญาณที่เห็นหวังหลิน ก้าวหลายขั้นและร่อนลงบนขั้นที่สิบสามต่างก็มีท่าทีเปลี่ยนไปมหาศาล
“หลังจากหยุดชะงักที่ขั้นห้า เขาก็ตรงไปที่ขั้นสิบสาม! เขา…เขามีเจตจำนง ทรงพลังอะไรเช่นนี้!”
“นั่นมันร่างแก่นแท้!! นั่นมันร่างแก่นแท้!!”
“ผู้อาวุโสหวังช่างน่าอัศจรรย์ อีกแค่เก้าขั้นก็สามารถเข้าสู่ชั้นที่เจ็ดได้แล้ว!”
ร่างแก่นแท้ของหวังหลินไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนในสำนักรู้กันทั้งหมด ความตกตะลึงนี้ได้ทำให้เกิดเรื่องเหลือเชื่อ
ทั้งสำนักมหาวิญญาณตกอยู่ในความโกลาหล แม้แต่เซียนเฒ่าที่ปิดด่านบ่มเพาะยังคล้อยตามไปด้วย
“สิบสามขั้น…” ณ ยอดเขาสวรรค์เขียว ดวงตาของบรรพชนกระทิงเขียวถึงกับเคร่งเครียด แต่เขายังนั่งตรงนั้นและไม่ออกไปไหน
‘ข้าประเมินเขาต่ำไป…ร่างแก่นแท้ของเขาใกล้เคียงกับการกลายเป็นเทพที่แท้จริง…ร่างแก่นแท้กับแก่นเทพ สองคำนี้แตกต่างกันหนึ่งคำ แต่ความแตกต่างนั้นถือเป็นช่องว่างใหญ่หลวง!’
‘แต่สิบสามขั้นก็ใกล้ถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว อย่างมากก็ได้อีกแค่สามขั้น!’ ระดับบ่มเพาะของกระทิงเขียวนั้นลึกล้ำเกินคาด สัญชาตญาณยอดเยี่ยมและผิดพลาดได้ยากมาก
ภายในตำหนักสลักวิญญาณ หวังหลินยืนอยู่บนขั้นที่สิบสามซึ่งมุ่งหน้าสู่ชั้นที่เจ็ด การที่เขามาถึงที่นี่ได้ต้องขอบคุณพลังของร่างแก่นแท้ แต่ตอนนี้น้ำเสียงที่ดังขึ้นในจิตใจกลับดังเพิ่มขึ้นหลายเท่า!
“ลงมา!!”
เสียงคำรามดังกึกก้องในใจและโจมตีวิญญาณดั้งเดิมอย่างต่อเนื่อง แม้เขาจะดูสงบนิ่งแต่ทัศนวิสัยพร่าเลือน
ความสับสนนี้หยานหลวนมองเห็น ซึ่งรวมถึงเหล่าเซียนนับไม่ถ้วนของสำนัก มหาวิญญาณและเหล่าเซียนเฒ่าที่ปิดด่านบ่มเพาะ!
‘เขากำลังจะล้มเหลว!’ หยานหลวนเผยรอยยิ้มอย่างเป็นสุข
“ดูเหมือนเขายังไม่สามารถเข้าสู่ชั้นที่เจ็ดได้…” เซียนส่วนใหญ่ในสำนักต่างก็ ส่ายศีรษะเงียบๆ
ทว่าในจังหวะนั้นเอง แววตาสับสนของหวังหลินพลันหายไปและถูกแทนที่ด้วยแสงมหึมา!
“หยานหลวน เจ้ายินดีเร็วเกินไปหน่อย ข้าจะเอาร่มคันนั้นของเจ้า!”