Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1868

Cover Renegade Immortal 1

1868. จางต้าวจง!!

การกวาดล้างครั้งนี้ไม่ได้มีเซียนมากมายเท่าครั้งแรก ดังนั้นขอบเขตการต่อสู้จึงไม่กว้างจนเกินไปและอยู่ราวๆ ไม่กี่ร้อยลี้เท่านั้น

พื้นที่สนามรบนับแสนลี้ยังคงปกคลุมไปด้วยสายหมอก หินก้อนหนึ่งตกอยู่บนดินโคลนและพงหญ้า ตอนนี้กลับเกิดแสงเจิดจ้าและมีร่างหวังหลินปรากฏขึ้นมา

ท้องฟ้ามืดครึ้มไปด้วยสายหมอก สายฝนที่ตกพรำลงมาหลายวันก่อนยังไม่หยุดแต่ก็เบาบางลงไปมากแล้ว มันผสานเข้ากับสายหมอกทำให้ชื้นแฉะยิ่ง

หวังหลินหยิบหินมิติขึ้นมาเก็บใส่มิติเก็บของ จ้องมองออกไปไกลด้วยสายตาเย็นเยียบ

‘หลังจากข้าเข้าไปในหินมิติ หินยังคงอยู่ที่เดิม นี่ถือเป็นเรื่องอันตรายมาก ข้าไม่ควรใช้มันอีกรอบเว้นแต่จะถึงคราวจำเป็น’

ร่างหวังหลินวูบวาบและเลือนหายไป

เขาปรากฏตัวอีกครั้งด้านนอกสนามรบ ที่นี่สามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของเหล่าวิชาและกลิ่นอายแห่งความตายได้เบาบาง

ตราบใดที่มีการต่อสู้ครั้งใหญ่จะมีทั้งสองฝั่งตายไปอยู่เสมอ หวังหลินรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการต่อสู้แบบนี้และไม่ต้องการเข้าร่วมมากนัก

หวังหลินมาที่นี่เพื่อทำเงื่อนไขทั้งสามของบรรพชนกระทิงเขียวให้เสร็จ ตอบแทนต่อของขวัญทั้งสามของสำนักมหาวิญญาณ! นี่คือนิสัยของหวังหลิน เขาจะต้องตอบแทนความเมมตาที่ผู้อื่นมอบให้!

‘ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาต่อสู้กับพวกเซียนขั้นวิบากดับสูญ…แต่หากมีหนึ่งในนั้นบาดเจ็บสาหัส บางทีคงเป็นโชคดีของข้า…’ หวังหลินดวงตาส่องสว่าง ร่างกายเปลี่ยนกลายเป็นหมอกควันและเข้าใกล้สนามรบขึ้นเรื่อยๆ

ยิ่งเข้าไปใกล้ยิ่งมีความผันผวนของเหล่าวิชารุนแรงมากขึ้น กลิ่นอายแห่งความตายมีมากกว่าเดิม เขาถึงกับได้ยินเสียงสมบัติและเหล่าวิชาปะทะกันอย่างเลือนลาง

‘สนามรบแห่งนี้เหมาะต่อการจับวิญญาณดั้งเดิมมาผนึกในร่างกายสำหรับเคล็ดเร่งความเร็ว!’ ไม่นานหลังจากนั้นเขาจึงพุ่งเข้าไปในสนามรบ เสียงดังสนั่นและความผันผวนโผล่ออกมาจากทุกทิศทางพร้อมกับแสงสีเสียงจนเลือนตา

เดิมทั้งสองฝั่งมีเซียนประมาณหกถึงเจ็ดพันคนเท่านั้น แต่ตอนนี้เหลืออยู่ไม่ถึงสี่พันคน แววตาแต่ละคนแดงเถือกเนื่องจากพัวพันกับการต่อสู้อันโหดเหี้ยม หวังหลินเห็นเซียนจากแคว้นมารเขียวตายตรงหน้า ทั้งยังเห็นเซียนจากแคว้นกระทิงสวรรค์ตายด้วยเช่นกัน แต่เขาก็ไม่ได้ลงมือทำอะไร

หวังหลินไม่ได้ต้องการเข้าร่วมในการสังหารนี้ ในมุมมองเขาไม่ว่าจะเป็นแคว้นกระทิงสวรรค์หรือแคว้นมารเขียว ทั้งสองไม่ได้แย่ไปกว่ากันเท่าใดนักจนแทบไม่มีความแตกต่าง

พริบตาเดียวหวังหลินได้พุ่งเข้าสู่ส่วนลึกของสนามรบ จากนั้นไม่นานหวังหลินได้หันไปมองทางขวา ในสายหมอกนั้นมีเซียนสองคนกำลังต่อสู้กัน เขาคือชายชราจากแคว้นมารเขียวที่อยู่ระดับขั้นวิบากดับสูญระดับกลาง การโจมตีของเขาดุดันและโหดเหี้ยม แต่อีกฝั่งหนึ่งกำลังจะพ่ายแพ้เพราะเผชิญกับสถานการณ์เฉียดเป็นเฉียดตายหลายอย่าง

‘นั่นเขา!’ หวังหลินมองเซียนที่กำลังล่าถอย เขาเกิดความจำฝังใจอยู่ส่วนหนึ่งเพราะเป็นชายชราที่ปรากฏตัวบนทุ่งยอดนภา

ชายชรากำลังตกอยู่ในสภาพย่ำแย่และหน้าซีดเผือด โลหิตไหลย้อนออกมาจากมุมปากแต่สีหน้าท่าทางมุ่งมั่น

หลังจากสอดสายตามองไม่กี่ครั้ง หวังหลินถึงกับแววตาส่องสว่างและพุ่งออกไป

อีกกลุ่มหนึ่งมีเซียนที่กำลังไล่ล่าชายชราต่างมีท่าทีดุดันและสะบัดแขนปรากฏยักษ์มายาขึ้นมาสองตัวพร้อมกับไล่ตามชายชราไป

“เจ้าต่อสู้กับข้ามานานแล้ว ตายเสียตอนนี้เถอะ!” เซียนคนนั้นยกแขนขึ้นมาชี้ออกไปข้างหน้า ภาพยักษ์สองตัวเพิ่มความเร็วและกำลังจะไล่ตามชายชราทัน

ชายชราถอนหายใจ เขาผ่านความเป็นความตายมาหลายครั้ง เห็นสหายร่วมรบตายไปจำนวนมาก ตอนนี้ถึงตาเขาแล้ว

ภายในใจลึกๆ ของเขามีความโศกเศร้า แต่กระนั้นเขาก็รู้สึกโล่งใจ ทว่าเขาจะตายอย่างไร้ค่าไม่ได้ แววตาเย็นเยียบพร้อมกับเตรียมตัวระเบิดตัวเอง

นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะสามารถทำได้เพื่อแคว้นของตัวเองก่อนตาย ในฐานะเซียนจากแคว้นกระทิงสวรรค์!

‘ข้าถือกำเนิดในแคว้นกระทิงสวรรค์ ระดับบ่มเพาะของข้าทั้งหมดมาจากแคว้นแห่งนี้ ตอนนี้ข้าจะคืนทุกอย่างให้แก่แคว้นกระทิงสวรรค์ ข้าไม่มีวันเสียใจ!’ ชายชราหันตัวกลับมาด้วยสายตาสงบนิ่ง ทว่าขณะที่กำลังจะระเบิดตัวเอง เขากลับเห็นร่างเงาหนึ่งปรากฏขึ้นตรงกลางระหว่างเขากับเซียนที่กำลังไล่ตามมา

ร่างนี้มีเรือนผมสีขาวและสวมชุดสีขาว!

หวังหลินปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบๆ และสะบัดแขนเสื้อ สายหมอกในพื้นที่สั่นสะเทือน จากนั้นยักษ์สองตัวเกิดการสั่นเทาและแตกสลายในทันที

ภาพมายาสองตัวที่แตกสลายไปทำให้สีหน้าเซียนของแคว้นมารเขียวถึงกับเปลี่ยนไป ไม่ใช่ว่าวิชาของเขาไร้เทียมทาน แต่อีกฝ่ายสามารถทำลายได้ง่ายๆ นั้นมีความหมายเพียงอย่างเดียว!

อย่างน้อยคนผู้นี้ก็อยู่ในขั้นวิบากดับสูญ!

ความคิดหลายอย่างแล่นวาบขึ้นในใจและทำให้เขาเกิดความรู้สึกด้านชา พลันถอยร่นโดยไม่ลังเลและกำลังจะหนีออกไปจากที่นี่

หวังหลินพ่นลมหายใจเย็นและก้าวเท้า ตรงเข้าไปปรากฏตัวด้านหน้าของเซียนจากแคว้นมารเขียว ฝ่ามือกระแทกลงไปดุจภูเขาไท่ซาน เซียนผู้นั้นไม่มีโอกาสต่อต้านฝ่ามือของหวังหลินได้เลย

ร่างกายแตกสลายเป็นชิ้นๆ วิญญาณดั้งเดิมถูกพลังสายหนึ่งดึงออกมาจากร่าง หวังหลินวางผนึกใส่วิญญาณดั้งเดิมอย่างรวดเร็วจากนั้นนำมาประทับบนหน้าอกตัวเอง

ดวงวิญญาณดั้งเดิมหายไปแต่มีวังวนหนึ่งปรากฏขึ้นในร่างหวังหลิน วังวนนี้คือจุดเริ่มต้นของเส้นชีพจรเซียนที่หวังหลินเปิดออกมาตามแบบฉบับของวิชาเร่งความเร็ว

เหตุการณ์ทั้งหมดรวดเร็วและจบในพริบตา ชายชราจ้องมองอย่างงุนงงพลางเห็นหวังหลินหายไปตัวไป ผ่านไปสักพักจึงสูดหายใจลึก

“เขาคือผู้อาวุโสของสำนักมหาวิญญาณ!” พอชายชราพบเจอกับหวังหลินในวังใต้ดินจึงจำหน้าได้ แต่พอเห็นเรือนผมสีขาว เสื้อสีขาวและกลิ่นอายเย็นเยียบนั้น ชายชรารู้สึกคุ้นๆ ว่าเคยพบหวังหลินที่ไหนสักแห่งมาก่อน

หวังหลินเคลื่อนร่างผ่านสายหมอกและตรงเข้าหาจุดที่เซียนขั้นวิบากดับสูญกำลังต่อสู้กับ เซียนขั้นแก่นแท้ดับสูญคนใดที่เขาพบจะเข้าไปทำการสังหารและผนึกวิญญาณไว้ในร่างกายในทันทีเพื่อเสริมสร้างเส้นชีพจรเซียนจุดแรก

หวังหลินเข้าใจหลักการของเคล็ดเร่งความเร็วได้ไม่มากนัก เขาจะต้องผนึกวิญญาณดั้งเดิมของเซียนอย่างต่อเนื่องจนสร้างเป็นวังวนให้ได้ ยิ่งวังวนหมุนเร็วขึ้นจะช่วยเพิ่มความเร็วขึ้นอย่างมหาศาล!

ยิ่งมีเซียนมากขึ้นและระดับบ่มเพาะสูงขึ้น วังวนยิ่งหมุนเร็ว ส่งผลให้ตอนที่หวังหลินต้องการใช้วิชาอันใด ความเร็วในการร่ายจะเพิ่มขึ้นไปด้วยหลายระดับ

อย่างไรก็มันก็มีขีดจำกัด ระหว่างทางหวังหลินได้ผนึกวิญญาณดั้งเดิมทั้งหมดเก้าดวงใกล้ กับจุดที่เหล่าเซียนขั้นวิบากดับสูญกำลังต่อสู้กัน เขากลับไม่สามารถผนึกได้อีกและไม่สามารถสร้างเส้นชีพจรเซียนแห่งที่สองได้

มีคำอธิบายอยู่ในเคล็ดเร่งความเร็ว หลังจากหวังหลินพบเจอด้วยตัวเองจึงเข้าใจอย่างลึกซึ้ง หากเขาต้องการสร้างเส้นชีพจรเซียนแห่งที่สองนั้นเขาจำเป็นต้องใช้วิญญาณดั้งเดิมของเซียนที่แข็งแกร่งขึ้น

วังวนที่หวังหลินสร้างขึ้นในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าวังวนสี่แห่งของฉวี่เต๋อข่ายเสียอีก เพราะตอนที่ฉวี่เต๋อข่ายเริ่มฝึกฝนเป็นตอนที่อยู่ขั้นสวรรค์ดับสูญ พลังจึงอ่อนลงอย่างมาก

ระยะห่างของระดับความแข็งแกร่งนับว่าไกลเกินอย่างยิ่ง

‘เซียนขั้นวิบากแก่นแท้น่าจะทำให้สามารถสร้างเส้นชีพจรเซียนแห่งที่สองได้ แต่ที่นี่ไม่ได้มีคนระดับนี้มากนัก…’ หวังหลินมองไปยังสายหมอกเบื้องหน้า ตรงจุดที่เหล่าเซียนขั้นวิบากดับสูญกำลังต่อสู้กัน

หลังจากมองไปสักพัก หวังหลินจึงขมวดคิ้ว

‘การทำให้ใครก็ตามในนั้นบาดเจ็บสาหัสคงเป็นเรื่องยากมาก พวกเซียนจากแคว้นมารเขียวได้ใช้เม็ดยาบางอย่างทำให้เผชิญหน้ากับสายหมอกและเพิ่มพูนพลังได้ด้วย…ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว คงต้องการเซียนขั้นวิบากแก่นแท้ก่อนดีกว่า’ หวังหลินขบคิดและกำลังจะจากไป ทันใดนั้นสีหน้าเปลี่ยนแปลง จากนั้นพุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วสูงสุดโดยไม่ลังเล

ตอนที่พุ่งออกไปได้สามสิบฟุต ลำแสงสีเขียวสายหนึ่งร่อนลงตรงจุดที่เขายืนเมื่อครู่ พื้นดินสั่นสะเทือนและมีเสียงดังสนั่นแผ่กระจาย แม้แต่สายหมอกยังเกิดอาการแตกสลายหลังจากโดนแสงสีเขียวเข้าไป

การโจมตีนี้ได้สร้างคลื่นกระแทกรุนแรงผลักหวังหลินออกไปไกล ถ้าไม่ใช่เพราะหวังหลินตรวจจับได้ทันเวลา การโจมตีนี้คงทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส

หวังหลินไม่ได้หันกลับมาแต่รู้สึกว่าเส้นขนบนร่างตั้งขึ้น เขาสัมผัสได้ว่ามีสัมผัสวิญญาณจับจ้องมาจึงพุ่งทะยานออกไป

ใต้ฝ่าเท้าเกิดเสียงระลอกคลื่นดังกึกก้องและกำลังจะผสานเข้ากับโลก

“ผนึก!” ทว่าในจังหวะนั้น เสียงเย็นเยียบเอ่ยดังออกมา โลกคล้ายกับโดนปิดผนึก หวังหลินไม่สามารถผสานเข้าไปได้

‘เซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลาง!’ หวังหลินตัดสินระดับบ่มเพาะจากคนที่ล็อคเป้ามาที่เขา เขาจึงกัดฟันแน่นและไม่พยายามผสานกับโลกอีกต่อไป เขาเรียกราชายุงออกมาพาหนีไปห่างๆ

ด้านหลังหวังหลินเป็นชายชราแซ่จางที่กำลังต่อสู้กับกลุ่มของลิ่วเหวินหลาน จ้องมองมาตรงจุดที่หวังหลินหนีไป แววตาผุดจิตสังหารขึ้นมาและเข้ามาไล่ตามหวังหลินโดยไม่สนสถานการร์ต่อสู้ในปัจจุบัน

“ข้าจางต้าวจงรอคอยเจ้ามาหลายวัน ในที่สุดเจ้าจิ้งจอกน้อยก็โผล่หัวออกมา เจ้าสังหารหลิวจื่อหยวน ข้าจะต้องระบายความโกรธแทนจ้าวสำนัก!”

หวังหลินไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำและทะยานหนีออกไปแสนฟุตพร้อมกับราชายุง ทว่าจางต้าวจงเร็วกว่า พริบตาเดียวระยะห่างระหว่างทั้งสองได้ย่นระยะมาไม่ถึงพันฟุต!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!