Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 2000

Cover Renegade Immortal 1

2000. คำขอโทษตั้งแต่ยุคโบราณ!

ข่าวการทำลายวังหลวงและการตายของจักรพรรดิเทพไม่ได้กระจายออกไปเพราะจิ่วตี้ได้ระงับข่าวเอาไว้ ซากปรักหักพังกลับคืนสู่ปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ข่าวได้บอกว่าจักรพรรดิเทพปิดด่านบ่มเพาะอีกครั้ง

จักรพรรดิเทพเหลียนต้าวเจินในรุ่นปัจจุบันมักจะปิดด่านบ่มเพาะและมีช่วงเวลาไม่แน่นอน ทั้งเผ่าเทพจึงไม่คิดถามไถ่อะไรมากนัก

หวู่เฟิงกลับสู่แผ่นดินทิศเหนือและปิดผนึกตัวเองอยู่ในธารน้ำแข็งทันที เขาขับไล่คำสาปบรรพชนในร่างกายอย่างเงียบๆ

หลังจากได้รับคำสาปบรรพชน เขาก็ไม่เคยใช้พลังโจมตีออกไป ดังนั้นเขาจึงมีเวลาจัดการกับคำสาปได้ง่ายมากกว่าต้าวยี่และจิ่วตี้ นอกจากนี้เขายังได้ส่วนหูของบรรพชนเทพ เมื่อเขาขับไล่คำสาปออกไปได้และหลอมหูทั้งสองข้าง ระดับบ่มเพาะจะเพิ่มพูนขึ้นมหาศาล

ด้านต้าวยี่ฝืนลากสังขารตัวเองกลับไปสำนักต้าวยี่พร้อมกับอดทนต่อความเจ็บปวดที่รุนแรงและระงับความอับอายในใจเอาไว้ เขาเข้าไปปิดด่านบ่มเพาะในทันที

ทว่าคำสาปบรรพชนได้ปะทุขึ้นอย่างเต็มที่ในร่างจนเขาไม่สามารถขับไล่คำสาปออกไปได้ง่ายๆ ทว่าต้าวยี่คือมหาชั้นฟ้าและไม่ใช่คนธรรมดา แม้แต่มหาชั้นฟ้าชวงจื่อยังเรียกเขาว่า “เจ้าคนหลอกลวง!”

เพื่อขับไล่คำสาปบรรพชนโดยไม่ให้ส่งผลกระทบต่อระดับบ่มเพาะในภายหลัง เขาจึงรวบรวมผู้สูงส่งชั้นฟ้าและผู้สูงส่งชั้นเทวะอีกหลายคน รวมถึงเรียกเหล่าผู้สูงส่งชั้นทองจำนวนมากเพื่อบังคับให้คำสาปแผ่กระจายสู่ทุกคน!

คำสาปบรรพชนรุนแรงมาก ดังนั้นผู้สูงส่งชั้นทองจึงตายทันทีเพียงแค่สัมผัส! แม้แต่ผู้สูงส่งชั้นฟ้ายังส่งเสียงร้องโหยหวนพร้อมกับร่างกายเริ่มเน่าเปื่อย ถึงจะอยู่ได้นานกว่าเล็กน้อย ผลสุดท้ายก็ยังตาย!

มีเพียงผู้สูงส่งชั้นเทวะเท่านั้นที่สามารถเอาชีวิตรอดได้ด้วยระดับบ่มเพาะอันแข็งแกร่ง แต่สิ่งที่เสียไปก็ยังมหาศาล

นอกจากใช้ผู้สูงส่งชั้นฟ้าและชั้นเทวะที่อยู่ใต้อำนาจมหาชั้นฟ้าต้าวยี่เข้าช่วยแบกรับคำสาป ต้าวยี่ยังค้นหาเซียนขั้นที่สามอย่างบ้าคลั่ง แม้จะช่วยเขาแบกรับคำสาปไปเพียงแค่เศษเสี้ยวก็ยังเป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างยิ่ง

วิธีโหดเหี้ยมในการแบ่งปันคำสาปบรรพชนเช่นนี้ได้ทำให้สำนักต้าวยี่แทบกลายเป็นสำนักไร้ชีวิต…

จิ่วตี้พาไฮ่จื่อกลับไปยังภูเขาจักรพรรดิและปิดด่านบ่มเพาะทันที เขาทรงพลังมากดังนั้นจึงสามารถสลายคำสาปด้วยตัวเองอย่างช้าๆ อีกทั้งการมีไฮ่จื่อช่วยเหลือ พลังคำสาปบรรพชนจะค่อยๆ หายไปตามกาลเวลา

มีเพียงมหาชั้นฟ้าชวงจื่อเท่านั้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากคำสาปเพราะนางไม่ใช่คนโลภมาก สองสาวน้อยพอกลับไปถึงจึงปิดด่านบ่มเพาะเพื่อผสานเข้ากับดวงตาบรรพชน เมื่อออกมาอีกครั้งคงจะสามารถกลบจุดด้อยที่เกิดจากอุบัติเหตุในระหว่างการเกิดใหม่ได้

เผ่าเทพยังมีมหาชั้นฟ้าทั้งห้าคน แต่คนที่ห้าเพียงแค่หลับใหลอยู่ในมิติที่อยู่ใต้วังหลวง เขาเปลี่ยนกลายเป็นภูเขาสีทองและจองจำวิญญาณ 72 ดวงของทั้ง 72 แคว้น

ข้างใต้ภูเขาแห่งนี้ เหลียนต้าวเฟยยังคงหลับไหลราวกับรอคอยให้หวังหลินมาถึงในครั้งหน้า

ครึ่งปีต่อมา

ณ แคว้นกระทิงสวรรค์ แผ่นดินทิศตะวันออกของเผ่าเทพ

แคว้นกระทิงสวรรค์ที่ครั้งหนึ่งเต็มไปด้วยภูเขากลับสูญหายไปจำนวนมากเนื่องจากสงครามระหว่างแคว้นมารเขียว ทำให้ภูมิทัศน์ของแคว้นแห่งนี้เกิดการเปลี่ยนแปลง

อย่างไรก็ตามโครงสร้างด้านพลังอำนาจไม่ได้เปลี่ยนมากนัก สำนักมหาวิญญาณและสำนักกุ้ยยี่ยังคงเป็นสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดและมีสำนักเล็กๆ ยิบย่อยอยู่ใต้การปกครอง

เหล่าศิษย์ที่ได้ส่งไปยังเมืองหลวงกลับมาถึงสำนักของตัวเอง ทุกคนได้โชควาสนาตามแบบฉบับของตัวเองและอาจได้กลายเป็นอนาคตของสำนัก

ณ สำนักมหาวิญญาณ

หลังจากหวังหลินออกไป บรรพชนกระทิงสวรรค์จึงปิดด่านบ่มเพาะไม่สนใจเรื่องราวของโลกภายนอก เรื่องเกี่ยวกับสำนักจึงทิ้งไว้ให้กับผู้อาวุโสแต่เขาก็ตั้งกฎเอาไว้ ภูเขาที่มอบให้หวังหลินจะถูกเก็บรักษาไว้และกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามไม่ให้คนอื่นได้เข้าไป

หลายคนต่างก็สงสัยเรื่องนี้ พอหวังหลินกลายเป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดังในบททดสอบชั้นฟ้าและข่าวลือเรื่องผู้สูงส่งชั้นเทวะผมขาวแพร่กระจายออกไป ผู้คนของสำนักมหาวิญญาณต่างก็สับสน หลายคนค่อยๆ คาดเดาเบาแสหลายอย่างว่าหวังหลินแท้จริงแล้วคือผู้สูงส่งชั้นฟ้าผมขาว จากนั้นจึงเข้าใจความหมายที่บรรพชนกระทิงสวรรค์ต้องการ

หยานหลวน ในอดีตเป็นผู้อาวุโส ตอนนี้นางมีตำแหน่งสูงส่งในสำนักและสามารถตัดสินใจเรื่องสำคัญได้บางเรื่อง นางสามารถย้ายออกจากภูเขาของตัวเองเข้าไปในส่วนลึกของสำนักเพื่อหาถ้ำที่ดีกว่าเดิมได้

แต่นางก็ไม่จากไปไหน เพราะนางสามารถมองเห็นภูเขาของหวังหลินได้ในระยะสายตาจากบนยอดเขาของตัวเอง เมื่อใดก็ตามที่นางนึกถึงเรื่องอดีต นางก็จะยืนอยู่บนยอดเขา มองไปทางภูเขาของหวังหลินพลางขบคิดเงียบๆ

ฟ่านชานเมิ่งและฟ่านชานลิ่วยังคงเป็นศิษย์ของนาง ความขัดข้องใจที่มีต่อหวังหลินได้หมดสิ้นแล้ว พอหลายปีผ่านไปก็ลืมไปหมดสิ้น

ในสำนักมหาวิญญาณมีผู้อาวุโสเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน เขาคือตู้ฉิง ร่างกายไม่ได้สร้างขึ้นมาจากเลือดเนื้อแต่เป็นเศษไม้ หลังจากวิญญาณดั้งเดิมของเขาควบแน่นอยู่ในไม้ จึงทำให้กลายเป็นร่างกายขึ้นมา

เขาถูกบรรพชนกระทิงสวรรค์แต่งตั้งให้เป็นผู้อาวุโสโดยไม่สนระดับบ่มเพาะ ชีวิตเขาจึงสะดวกสบายยิ่งกว่าก่อนนี้มากมาย

กาลเวลาผ่านไป ดวงอาทิตย์ขึ้นและตกหลายครั้ง สำนักมหาวิญญาณดูเหมือนไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักเช่นเดียวกับแคว้นกระทิงสวรรค์ ภูเขายังคงเป็นภูเขาเดิม ตำหนักต่างๆ ก็ยังคงเหมือนเดิมเช่นก่อนหน้านี้

หวังหลินยืนอยู่นอกสำนักมหาวิญญาณและมองสำนักอันคุ้นเคย ตอนที่เขามาถึงที่นี่ครั้งแรก เขาเข้าใจสำนักมหาวิญญาณได้อย่างผิวเผิน จากนั้นเขาก็ค่อยๆ เข้าใจมากขึ้นจนออกจากสำนักไปและเจอกับเรื่องราวหลายอย่าง ท้ายที่สุด ณ วังหลวงซึ่งห่างจากสำนักมหาวิญญาณไกลแสนไกล เขาได้ค้นพบความสัมพันธ์ของที่นั่นกับสำนักมหาวิญญาณจนกระทั่งในตอนนี้เขาก็ยังมีบางอย่างที่ไม่รู้เกี่ยวกับสำนักมหาวิญญาณ

‘เผ่าพันธุ์ต้าวหวัง…อัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้…บรรพชนของสำนักมหาวิญญาณผู้นี้ บางทีเขาอาจจะตายไปแล้วหรืออาจจะไม่ตาย…แต่แผนการของเขาวางไว้นานหลายปีและทำนายเหตุการณ์ได้ถึงเหตุการณ์ของวันนี้ เขาวางแผนหลอกทุกคน ในสายตานั้นทุกคนเป็นเพียงตัวหมาก…’

‘ท้ายที่สุดแผนการในการปลดปล่อยผนึกของเผ่าพันธุ์และทำให้สายโลหิตบรรพชนเทพหายไปก็ทำได้สำเร็จ เพื่อให้คนในเผ่าที่เหลืออยู่คนสุดท้ายได้รับอิสระภาพ…’

หวังหลินมองสำนักมหาวิญญาณด้วยท่าทีที่ซับซ้อน หวังหลินมาถึงแผ่นดินเซียนดาราได้นานแล้วแต่ตอนนี้เพิ่งจะรู้ว่าแคว้นกระทิงสวรรค์อันห่างไกลที่ผู้คนดูถูกกลับซ่อนความลับสืบต่อกันมาหลายรุ่น

หวังหลินถอนหายใจพลางก้าวเข้าสู่สำนักมหาวิญญาณ

ระดับบ่มเพาะในตอนนี้ของหวังหลินเหนือกว่าบรรพชนกระทิงเขียวและศิษย์สำนักมหาวิญญาณทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตการมาถึงของเขาได้

ภายในสำนักมหาวิญญาณ หวังหลินเห็นตู้ฉิงและหยานหลวนที่กำลังยืนอยู่บนภูเขาด้วยชุดราตรีสีแดงเพลิง หวังหลินยังเห็นฟ่านชานเมิ่งและฟ่านชานลิ่วด้วย

หวังหลินก้าวเข้าสู่ส่วนลึกของสำนักมหาวิญญาณโดยไม่หยุดพัก มุ่งหน้าเข้าตำหนักสลักวิญญาณที่เขาเคยเข้าไปเมื่อคราวก่อน!

ตำหนักสลักวิญญาณ ที่ตอนนั้นต้องเปิดด้วยพลังของบรรพชนกระทิงเขียว แต่ตอนนี้เพียงหวังหลินก้าวเท้าก็มายืนอยู่นอกตำหนักสลักวิญญาณได้แล้ว

ตำหนักเจ็ดชั้นปกคลุมด้วยหมอกบางๆ ด้านนอกมีรูปปั้นอสูรขนาดใหญ่สองตัวคล้ายกับมีชีวิต

ประตูของตำหนักปิดสนิทและเงียบงัน มีตัวอักษรขนาดใหญ่อยู่เหนือประตู

ตำหนักสลักวิญญาณ!

ตำหนักแห่งนี้ดูเหมือนมีเจ็ดชั้นแต่ความจริงมันมีชั้นที่แปด เก้า…และชั้นที่สิบ! บรรพชนกระทิงสวรรค์พูดเอาไว้ว่าแม้แต่เขาก็ไม่สามารถเข้าไปชั้นที่สิบได้ ที่นั่นมีบรรพชนรุ่นก่อนๆของสำนักมหาวิญญาณนอนพักผ่อนอย่างสงบ

หวังหลินมองไปบนยอดตำหนักด้วยใบหน้าสงบนิ่ง เขามาเพื่อค้นหาคำตอบว่าอัจฉริยะของเผ่าต้าวหวังทิ้งอะไรเอาไว้ให้

หวังหลินเปิดประตูก้าวเข้าไป เขาคุ้นเคยกับที่นี่และก้าวขึ้นบนบันไดอย่างมั่นคง

ภายในตำหนักอันเงียบสงัดเกิดเสียงแตกร้าวดังสนั่น หวังหลินก้าวไปบนชั้นที่สอง สาม…จนกระทั่งถึงชั้นที่แปดซึ่งเขาเคยมาถึงชั้นนี้แล้ว

หวังหลินไม่จำเป็นต้องทะลวงเขตอาคมที่นี่ เพียงแค่เขาเดินผ่าน เขตอาคมก็แตกกระจาย

หวังหลินก้าวเดินขึ้นสู่บันไดชั้นที่เก้าอย่างช้าๆ ในชั้นนี้มีหินหยกเพียงไม่กี่ก้อนลอยอยู่ พวกมันมีสุดยอดวิชาของสำนักมหาวิญญาณ

วิชาภาพมายาทับซ้อนฉบับสมบูรณ์ที่หวังหลินต้องการอยู่ที่นี่

เขากวาดสายตาผ่านหินหยกไปทีละก้อน หวังหลินมองเห็นทุกอย่างข้างในและจากนั้นเดินไปยังบันไดเก่าๆ ห่างออกไปไม่ไกลนัก

บันไดขึ้นสู่ชั้นที่สิบ!

ขั้นบันไดทั้งหมดมีสิบสามขั้น หวังหลินยกเท้าเหยียบขึ้นไปทีละก้าวจนมาถึงยอดตำหนักสลักวิญญาณชั้นที่สิบ

วินาทีที่เขาเข้ามาชั้นที่สิบได้ หวังหลินเห็นบางอย่างที่ทำให้เขาต้องขบคิดอยู่นาน เขามองข้างในด้วยความรู้สึกซับซ้อนสักพักก่อนจะถอนหายใจ

‘แสดงว่านี่คือสิ่งที่เจ้าทิ้งไว้ให้ข้า…และสิ่งที่เจ้าต้องทำให้ข้ามาถึงที่นี่…อัจฉริยะของเผ่าต้าวหวัง…เรื่องที่เจ้าหลอกใช้ข้าก็เหมือนที่ข้าบอกไฮ่จื่อ!’ หวังหลินไม่ได้มองไปรอบชั้นที่สิบแต่หันตัวกลับและจากไป

ภายหลังหวังหลินจากไป ภาพเหตุการณ์ที่สมบูรณ์ของชั้นที่สิบจึงเผยออกมา

ชั้นที่สิบไม่ได้ใหญ่นัก มีขนาดเพียงร้อยฟุตเท่านั้น ภายในมีรูปปั้นและโครงกระดูกอยู่หนึ่งร่าง

รูปปั้นเป็นรูปร่างของชายคนหนึ่ง เขายืนอยู่และใช้สายตามองลงมาดุจมีพลังอำนาจใจการทำลายโลก เปล่งแรงกดดันที่ไม่ได้โกรธเกรี้ยวและจ้องมองโครงกระดูกเบื้องหน้าอย่างเย็นชา

โครงกระดูกกำลังคุกเข่าเบื้องหน้ารูปปั้นด้วยท่าทีเจ็บปวดและอ้อนวอน บนศีรษะมีรอยแตกร้าวแต่ไม่มีสมอง…ภายในหน้าอกมีหลุมแต่กลับไร้หัวใจอยู่ข้างใน…

สองมือยกขึ้นเหนือศีรษะ แขนซ้ายถือสมองที่เหี่ยวแห้ง ส่วนแขนขวาถือหัวใจไร้สัญญาณชีพ เขามองดูรูปปั้นราวกับกำลังขอให้ยกโทษและคุกเข่าอยู่ที่นี่มานานหลายปีตั้งแต่อดีต…

นี่ไม่ใช่โครงกระดูกธรรมดาแต่เป็นพันธนาการวิญญาณ วิญญาณดวงที่อ้อนวอนให้ยกโทษ

รูปปั้นตรงหน้าคือรูปปั้นหวังหลิน

โครงกระดูกนั้นคือบรรพชนสำนักมหาวิญญาณ อัจฉริยะของเผ่าพันธุ์ต้าวหวัง!

…………………………………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!