Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 2049

Cover Renegade Immortal 1

2049. หยุด

หวังหลินถอนสายตาออกมา สิ่งสุดท้ายที่เขามองดูคือทะเลอันกว้างใหญ่ระหว่างเผ่าเทพและเผ่าโบราณ เสาหลักทั้งเก้านั้นก่อตัวกลายเป็นประตูสู่แดนเทพบรรพกาล

ทว่าแม้หวังหลินจะมีระดับบ่มเพาะขนาดนี้ก็ยังไม่สามารถมองเห็นแดนเทพบรรพกาลได้ชัดเจน ราวกับแดนเทพบรรพกาลสูงล้ำยิ่งกว่าความสามารถของหวังหลินในตอนนี้

หวังหลินส่งสายตาไปที่ทะเลโหมกระหน่ำ หลังจากนั้นสักพักจึงหลับตา สายตาจึงหายไปจากแผ่นดินเซียนดารา

พอลืมตาอีกครั้งเขายังอยู่ในสถานที่ไม่รู้จักซึ่งบนสะพานแห่งที่สองอันกว้างใหญ่ ทว่าพอออกไปกลับพบว่าถึงจะยังอยู่บนสะพานที่สอง หวังหลินก็เกือบอยู่ปลายสุดของสะพานแล้ว

ราวกับทุกอย่างก่อนหน้านี้ใช้เวลาแค่ไม่กี่อึดใจก็ทำให้เขาข้ามผ่านสะพานไปได้แล้ว แทบมิอาจแยกออกว่าเป็นความฝันหรือความจริง

หวังหลินมองสะพานย่ำสวรรค์ออกไปยังแห่งที่สาม สี่…จนกระทั่งสะพานที่เก้า และมองภาพพร่าเลือนที่อยู่หลังจากสะพานที่เก้า เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่าทั้งหมดช่างอยู่ห่างไกลเหลือเกิน แม้แต่จิตใจเขายังรู้สึกว่ามันไกล ราวกับสะพานเป็นตัวแทนของยอดเขาที่ไม่สามารถปีนข้ามผ่านได้จนทุกคนได้แต่หยุดลง

จังหวะที่ความคิดนี้โผล่ขึ้นมามันจึงแผ่กระจายออกไปจนทั่วร่างหวังหลิน คล้ายกับมีเสียงหนึ่งกำลังบอกเขาให้หันตัวกลับและออกไปจากที่นี่ หยุดลงและไม่ต้องข้ามสะพานที่เหลือเจ็ดแห่งไปหรอก

หวังหลินยืนอยู่ตรงขอบของสะพานที่สอง เขาแค่ต้องก้าวอีกครั้งเพื่อเดินลงสะพานที่สองก็จะก้าวข้ามได้อย่างสมบูรณ์ ทว่าหลังจากนั้นสักพักหวังหลินก็ยังไม่สามารถข้ามผ่านขั้นสุดท้ายไปได้

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า หวังหลินยังคงยืนอยู่ตรงนั้นและมองตรงออกไปอย่างสงบนิ่ง เขาถอนหายใจพลางยกเท้าขึ้นและก้าวข้ามผ่านสะพานย่ำสวรรค์แห่งที่สอง

“มันเป็นการตั้งคำถามกับตัวเองใช่หรือไม่…หากจิตใจไม่เข้มแข็ง หากไม่มีเจตจำนงฝืนลิขิตสวรรค์ หากไม่มีความมุ่งมั่นที่จะก้าวต่อไป บางทีคงต้องถอยไปแล้วในก้าวนั้น” หวังหลินพึมพำกับตัวเองพลางก้าวเข้าสู่สะพานที่สาม

สะพานที่สามนั้นทั้งยาวไกลและใกล้ในเวลาเดียวกัน หวังหลินเดินไปสามวันก็ยังไม่ถึงปลายสะพาน เขาเดินอีกสามวันก็ยังเหมือนเดิม สะพานยังคงดูไกลและใกล้มาก

ในวันที่เก้า หวังหลินหยุดชะงัก หลังจากขบคิดอยู่ชั่วครู่จึงหันมองขึ้นไป สายตาเผยแววประหลาดใจและจากนั้นค่อยๆ หลับตาลง

เขาไม่จำเป็นต้องใช้ตามองหรือใช้สัมผัสวิญญาณ หวังหลินปิดผนึกทัศนวิสัยและสัมผัสวิญญาณเพื่อไม่ให้ต้องมองทิศทางหรือตำแหน่งของสะพานที่สาม จากนั้นเขาก็ก้าวเดินต่อไปอย่างเรียบง่าย

หวังหลินก้าวเดินต่อไปทีละก้าว พอถึงก้าวที่เก้า เขาได้ยินเสียงนกร้องขับขานอยู่รอบตัว เสียงอ่อนเบาคล้ายกับทะลุเข้าเปลือกตาหวังหลินมาได้

หวังหลินได้กลิ่นของพื้นดินและยังเป็นกลิ่นอายอันคุ้นเคย มันเป็นกลิ่นของขี้เลื่อยและกลิ่นของยาสูบ

สองเท้าจึงเก้าหยุดลง

“ไท้จู การเรียนเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ไท้จู เจ้าต้องเรียนให้ดี ปีหน้าจะต้องสอบราชการ เจ้าจะมีอนาคตหรือไม่ก็ขึ้นอยู่ตรงนั้น อย่าเป็นเหมือนพ่อที่ติดแหง็กอยู่ในหมู่บ้านนี้ทั้งชีวิต”

“พอแล้ว พี่ก็จู้จี้เขาทุกวัน ข้าบอกเสมอว่าไท้จูของเราจะผ่านการสอบได้อย่างแน่นอน”

คำพูดเหล่านี้ดังออกมาจากท่านพ่อและท่านแม่ น้ำเสียงนี้คล้ายกับข้ามผ่านกาลเวลาหลายพันปีมาถึงหูของหวังหลิน ทั้งหมดล้วนสมจริงและเหมือนได้นำหวังหลินกลับไปยังหมู่บ้านในภูเขาอันเงียบสงบหลายพันปีก่อน

หวังหลินยืนเงียบอยู่ตรงนั้นและฟังเสียงของสองพ่อแม่ หยาดน้ำตาไหลรินลงมาโดยไม่รู้ตัว เสียงพวกเขาดังกึกก้องในใจ บอกให้หวังหลินลืมมาเพื่อมาดูพ่อและแม่

แต่ในขณะเดียวกัน หวังหลินก็รู้ว่าหากเขาลืมตา คงต้องหยุดลงบนสะพานย่ำสวรรค์แห่งที่สามเป็นแน่

สะพานแรกผสานกฎแห่งโลกเข้าไปในวิญญาณดั้งเดิม สะพานที่สองทำให้คนได้รับภาพของการย่ำสวรรค์แต่ก็ตั้งคำถามว่าจิตใจของตนเองแข็งแกร่งพอหรือไม่…คราแรกหวังหลินไม่เข้าใจคำถามที่อยู่สุดทางของสะพานที่สองและเกิดอาการลังเล แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว

สะพานที่สามแห่งนี้เสมือนมารในใจ หากมีจิตใจมุ่งมั่นและชีวิตดำเนินไปด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ก็สามารถสงบนิ่งลงและจากนั้นจึงเดินข้ามผ่านสะพานที่สามไปได้

แต่เมื่อคนผู้นั้นลืมตาขึ้นมา คงต้องเผชิญกับมารในใจตนเอง เผชิญกับชีวิตของตัวเอง เป็นผลให้โอกาสในการผ่านสะพานที่สามลดน้อยลงไปอย่างมหาศาล

เสียงของพ่อและแม่ยังคงอยู่ข้างหูพร้อมกับหยาดน้ำตาไหลรินลงใบหน้าหวังหลิน เขาลืมตาขึ้นมาโดยไม่ลังเล เบื้องหน้าหวังหลินได้เห็นบ้านอันคุ้นเคย สนามหญ้า โต๊ะและอาหารบนนั้นที่เขาคุ้นตา

เขาเห็นพ่อตัวเองที่กำลังล้างกล้องยาสูบอยู่ข้างๆ เขาเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของพ่อและสายตาเข้มงวด แต่ก็เห็นว่าภายในสายตาเข้มงวดนั้นซ่อนความอ่อนโยนเอาไว้

เขาเห็นแม่ก้าวเดินออกมาพร้อมกับอาหารที่ทำเสร็จใหม่ๆ บนเรือนผมของแม่มีเส้นผมสีขาวอยู่บ้างแต่ไม่มากนักและส่วนใหญ่ถูกซ่อนเอาไว้ด้วยผมสีดำ หวังหลินมองเห็นทั้งหมด

แม่ของเขาอาจไม่ได้สวยงามสำหรับคนภายนอก แต่ในใจหวังหลินนางคือผู้หญิงที่สวยที่สุดและเป็นที่พักพิงในใจได้ชั่วชีวิต

พอมองท่านพ่อ ท่านแม่และภาพอันคุ้นเคย แม้ยังมีน้ำตาไหลรินแต่กลับเผยรอยยิ้มออกมา หวังหลินเฝ้าดูทุกอย่างเบื้องหน้าค่อยๆ สูญสลายไปในความว่างเปล่า เขารู้ว่าทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกแต่ก็ยังต้องมองอยู่ดี

เมื่อฉากเหตุการณ์นี้พังทลายลง หวังหลินยังยืนอยู่ด้านล่างสะพานที่สามและอยู่ห่างไกลจากสะพานที่สี่

ท่านพ่อและท่านแม่ของเขาไม่ใช่เซียน และคนธรรมดาก็ไม่สามารถชุบชีวิตได้ สำหรับพวกเขาแล้วสถานที่ที่ดีที่สุดคือยู่ในวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ แต่ความทรงจำของหวังหลินมีมากมายและเขาไม่ลบออกไปเพราะทุกอย่างสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของเขา

“หากหวานเอ๋อร์ปรากฏตัวขึ้นมา ข้าคงอยากลืมตาขึ้นมาแม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องโกหก…”

“แต่ถึงจะเป็นท่านพ่อและท่านแม่ แม้ข้าจะรู้ว่าเป็นเรื่องโกหก ข้าก็ยังลืมตาอยู่ดี” หวังหลินพึมพำกับตัวเอง

‘ใครเป็นคนตัดสินใจว่าต้องหลับตาเมื่อเผชิญกับความทรงจำในอดีตและเมินเฉยความทรงจำเหล่านี้เพื่อประคองจิตใจให้มั่นคงไม่ได้รับผลกระทบจากมารในใจ?’

‘ใครเป็นคนตัดสินว่าต้องมีจิตใจแห่งเต๋าที่มั่นคงเพื่อผ่านสะพานที่สาม…’

‘ใครเป็นคนกำหนดว่ามีแค่วิธีเดียวในการผ่านสะพานแห่งนี้…’ หวังหลินมีแววตาส่องสว่าง

‘ครอบครัว ความรักและความสัมพันธ์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตข้า ทำไมข้าต้องเลือกหลับตา? ข้าต้องการลืมตาและมองดูทั้งหมด ข้าจะเปิดจิตใจแห่งเต๋าและจัดการทุกอย่างเอง!’ หวังหลินสูดหายใจลึกและก้าวเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง

ผ่านไปเก้าก้าว เขาเห็นครอบครัวอีกครั้งและอีกเก้าก้าว เขาเห็นมู่ปิงเหมย ลี่เฉียนเหมยและลี่มู่หวาน อีกเก้าก้าวเขาเห็นหวังผิง เห็นเด็กน้อยดึงเสื้อและถามไถ่การฝึกเซียนอย่างเคร่งเครียด เขาต้องการอยู่กับพ่อไปตลอดชีวิต เขาไม่ต้องการจากโลกนี้และทิ้งพ่อให้อยู่คนเดียว หากพ่อของเขากำลังโดดเดี่ยว เขาหวังว่าจะอยู่ข้างพ่อตลอดไป

หวังหลินเห็นซือถูหนาน ฉิงชุ่ย ตุ้นเทียน วิหคศักดิ์สิทธิ์รุ่นสองและคนจำนวนมากที่ช่วยเหลือเขา หวังหลินมองพวกเขาด้วยสายตาที่เปิดกว้างและก้าวเดินต่อไป

ผีเสื้อสีชาด ฉิงชวง โจวลี่ ฉิงหลิน…และอีกหลายคน หวังหลินคล้ายกับได้นึกย้อนอดีตไปด้วยเพียงพวกเขาปรากฏตัว

ระหว่างทางหวังหลินไม่ได้ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง เขาร้องไห้ ยิ้ม รู้สึกเจ็บปวด รู้สึกเศร้า…เขาก้าวเดินไปข้างหน้าอยู่นาน ไม่รู้ว่าก้าวไปบนสะพานที่สามนานแค่ไหนแล้วแต่เมื่อมาถึงปลายสุดของสะพาน ทุกสิ่งทุกอย่างก็หายไป เขายืนอยู่ตรงนั้นและถอนหายใจ มองกลับมาอยู่นานก่อนจะก้าวเดินลงสะพานที่สามไป

สะพานที่สามอยู่ไกลมาก แม้กระนั้นภาพเลือนลางที่ปลายสุดสะพานที่เก้ากลับยิ่งชัดเจนขึ้น หวังหลินยังไม่สามารถมองทะลุสายหมอกไปได้แต่ก็บอกได้เลือนลางว่ามีคนอยู่ข้างในสองคน

หวังหลินก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกับความทรงจำที่เพิ่งนึกย้อนมาและอารมณ์ทั้งหมดที่เขารู้สึก ไม่กี่วันต่อมาหวังหลินก็มาถึงเบื้องหน้าสะพานย่ำสวรรค์แห่งที่สี่

สะพานแห่งนี้กว้างใหญ่ยิ่งกว่าสะพานก่อนหน้า ราวกับช้างยักษ์แฝงแรงกดดันกระจายโอบล้อมทั่วบริเวณ

หวังหลินมองสะพานแห่งนี้และขบคิดเล็กน้อย เขายกเท้าขึ้นมา แต่พอเท้าย่ำลงไปมันกลับทะลุสะพานและผ่านไปไม่เจออะไรเลย

ขณะเดียวกันสะพานที่สี่พลันสั่นเทาเบื้องหน้าหวังหลิน เปลี่ยนกลายเป็นละอองแสงนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าหาเขาและก่อเกิดเป็นวังวนยักษ์เข้ากลืนกินร่างหวังหลิน

วินาทีที่หวังหลินถูกกลืนกิน ภายในห้องลับของวังหลวงองค์ชายจี้ตู หวังหลินพลันลืมตาตื่น

สายตาเต็มไปด้วยความสับสนอยู่นานและเหม่อลอย ร่างแก่นแท้สังหารได้ผสานเข้ากับร่างกายไปแล้วและไม่มีเงาทับซ้อนอีก

แก่นแท้นามธรรมลอยอยู่เบื้องหน้าและวิญญาณจักรพรรดิเทพยังคงถูกเพลิงวิญญาณของเขาโอบล้อม ห้องลับเงียบสนิท

มีเพียงหวังหลินที่กำลังหายใจรุนแรงไปชั่วขณะ

‘ย่ำเส้นทางสวรรค์ เต๋าวิบากสูญสิ้น วิญญาณอมตะ เทิดทูนทั่วหล้า…ข้าข้ามได้เพียงสามในเก้าสะพานย่ำสวรรค์…’ หวังหลินสูดหายใจลึกและมองขึ้นไป แววตาสับสนหายไปและถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่น

……………………………………………………

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!