Skip to content

King of Gods 291

King Of Gods

บทที่ 291 : แผนตลบหลัง

แรงที่เกิดจาก “พายุเหมันต์อัสนี” ของธนูทั้งสาม สำนึกรู้มรดกอัสนีของจ้าวเฟิงถูกใช้อออกจนถึงขีดสุด พลังสายเลือดก็ยากที่จะรั้งไว้ ตราประทับบัวหิมะบนคันศรหลัวซุยสว่างเจิดจ้าขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ห้องเล็กนั้นสั่นสะท้านเล็กๆ จิตใจของทุกคนถูกดึงดูดไป

โดยเฉพาะยอดฝีมือในขอบเขติจิตวิญญาณที่แท้จริง หากไม่โกรธแค้นก็นิ่งอึ้ง

เป้าหมายของการโจมตีของเด็กหนุ่มคือถุงร้อยบุปผา

ถุงร้อยบุปผานั้นเป็นสิ่งพิเศษหายาก แม้เป็นอาวุธชั้นจิตวิญญาณ ทว่าคุณภาพความแข็งแกร่งของวัสดุของมันนั้นต่ำกว่าอาวุธชั้นจิตวิญญาณโดยไม่ต้องสงสัย

ทว่าธนูทั้งสามดอกของจ้าวเฟิง อานุภาพของมันเทียบเท่าได้กับการโจมตีของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง น้ำแข็งและสายฟ้าหลอมรวมกันกลายเป็นแรงระเบิดรุนแรง แทรกซึมเข้าไปตามรอยแยกของถุงร้อยบุปผา

ฟู่ววว

พื้นผิวของถุงร้อยบุปผาพลันปรากฏควันพิษลอยออกมา ทั่วทั้งห่อปรากฏเปลวเพลิงสีดำห่อหุ้ม

“เจ้า… เจ้าบังอาจ…”

โจรเถาชานเฟ่ยเสียงสั่นเครือชี้นิ้วไปยังจ้าวเฟิง กรีดร้องอาละวาด สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธเกรี้ยว กระทั่งส่งเสียงโหยหวนน่าเกลียดออกมา

นายท่านปี้และฉานเซว่ตูอิงได้แต่เบิกตากว้าง ตกใจจนไม่อาจเอ่ยอธิบาย ยากที่จะรับกับความเป็นจริงนี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ

จ้าวเฟิงรู้สึกแปลกใจการตอบสนองของคนเหล่านี้ นับว่าเกินไปหน่อยใช่หรือไม่ เพียงทำลายถุงถุงหนึ่งเท่านั้นเอง

ฟู่ ฟู่

รอยแตกของถุงร้อยบุปผาค่อยๆ แผ่ขยายออกและปล่อยควันสีดำออกมากลุ่มหนึ่ง

ไม่ดีแล้ว!

นายท่านปี้และฉานเซว่ตูอิงสีหน้าเปลี่ยนไปและรีบล่าถอย

ในถุงร้อยบุปผานั้นมีกำยานผงพิษร้ายแรงอยู่มากมาย พิษนั้นกระทั่งสามารถคร่าชีวิตของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ในระยะเวลาสั้นๆ

ในเวลาเดียวกันสามยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงต่างก็รีบถอยห่างออกมาพร้อมกลั้นลมหายใจ ทั้งใช้ปราณจิตวิญญาณป้องกันร่างตัวเอง ออกจากจุดนั้นอย่างเร่งรีบ

จ้าวเฟิงรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายอันตราย รีบมุ่งหน้าไปยังหน้าประตูทองสัมฤทธิ์เบื้องหน้าอย่างเร่งรีบและยื่นมือออกไปวางบนรอยฝ่ามือ

ครืดดด

ประตูทองสัมฤทธิ์เปิดขึ้น ส่งแสงสีเขียวดำราวกับสายน้ำโอบล้อมร่างของจ้าวเฟิงเอาไว้

“ไอ้เด็กผมฟ้า! เจ้าบังอาจทำลายของล้ำค่าแห่งสำนักร้อยบุปผา ‘ถุงร้อยบุปผา’ ข้าจะบดขยี้เจ้าให้แหลกเป็นผุยผง!”

ใบหน้าสง่างามของโจรเถาชานเฟ่ยแปรเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยม เผยให้เห็นความเกลียดแค้นถึงขีดสุด

ถุงร้อยบุปผา? มันคืออันใด?

จ้าวเฟิงอดที่จะรู้สึกสั่นไหวไม่ได้ เขารู้สึกได้ว่าโจรเถาชานเฟ่ยโกรธแค้นเขามากกระทั่งจะกัดกินเลือดเนื้อของเขา

เนื่องจากถุงร้อยบุปผาถูกทำลาย พิษร้ายกาจจึงได้แพร่กระจายออกมา ทำให้สามยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงถอยออกไปไกล ไม่กล้าไล่ตามจ้าวเฟิงไป

“สมบัตินี่คืออันใดกัน กระทั่งส่งกลิ่นอายน่าพรั่นพรึงเช่นนี้ออกมาได้ กระทั่งสามยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงยังต้องเกรงกลัวถึงเพียงนี้”

จ้าวเฟิงเองก็ไม่ใช่คนโง่เขลาจึงพอที่จะคาดเดาถึงสรรพคุณของถุงร้อยบุปผาได้

ทว่าเด็กหนุ่มไม่ได้รู้สึกเสียใจกับการกระทำของเขาเลย

อาวุธที่ร้ายกาจเช่นนี้ หากไปตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู มันย่อมเป็นฝันร้ายของเขา

โจรเถาชานเฟ่ยย่อมมีความคิดชั่วร้าย หากสามารถแย่งชิงถุงร้อยบุปผาไปได้ เขามั่นใจว่าโจรเถาชานเฟ่ยจะต้องคิดฆ่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอีกสองคนและครอบครองสมบัติสายธารจันทราไว้เพียงผู้เดียวอย่างแน่นอน

ทว่า

ไม่มีผู้ใดจะคาดคิดว่า จ้าวเฟิง เด็กหนุ่มในนภาที่เจ็ดที่ถูกมองข้ามผู้นี้จะเป็นผู้ที่ทำลายแผนการอันสวยงามของเขาลง

เมื่อเทียบกันแล้ว นายท่านปี้และฉานเซว่ตูอิงก็ยังปรากฏความดีใจอยู่บ้าง

ในเหล่าผู้มีพลังในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งสาม โจรเถาชานเฟ่ยแข็งแกร่งที่สุด ทั้งความเร็วยังเหนือกว่า โอกาสที่จะแย่งชิงถุงร้อยบุปผาไปสำเร็จย่อมมีมากกว่าอีกสองคน

หากถุงร้อยบุปผานี้ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของคนผู้นี้ โอกาสรอดชีวิตของพวกเขาก็อาจไม่มีเหลือ

การเข้ามาแทรกแซงของจ้าวเฟิงทำให้สมดุลอำนาจของทั้งสามสามารถคงอยู่ต่อไปได้

เมื่อไม่มี “ถุงร้อยบุปผา” อาวุธที่น่ากลัวแล้ว โจรเถาชานเฟ่ยเองก็ไม่อาจที่จะเอาชนะผู้มีพลังในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสองคนที่ร่วมมือกันได้

และในเวลานี้เอง

โจรเถาชานเฟ่ยได้แต่มองจ้าวเฟิงผ่านเข้าไปชั้นที่สองอย่างหมดหนทาง ประตูทองสัมฤทธิ์ส่งเสียง “ปัง” ปิดตัวลง

“ศิษย์พี่ ไอ้เด็กนี่ ข้าจะถลกหนังมันและทรมานมันสักร้อยวัน จะทำให้มันอยากจะตายก็ตายไม่ได้ อยากจะอยู่ก็อยู่ไม่ได้”

ดวงตาของสตรีชุดสีสดปรากฏความเกลียดชัง

ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวสีหน้าโกรธแค้น ฟันขบแน่น จ้องมองเงาร่างของจ้าวเฟิงที่ห่างออกไป

เมื่อครู่ จ้าวเฟิงได้แย่งชิงสมบัติล้ำค่าสองชิ้นไปจากโลงแก้ว: น้ำร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์และแส้อสรพิษโลหิตลึกลับ

ในบรรดาสมบัติทั้งหมด นอกจากถุงร้อยบุปผาแล้วก็มีสองสิ่งนี้ที่มีมูลค่าสูงสุด

เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวนั่นกระทั่งทำลายถุงร้อยบุปผาไป น่าชังนัก

กระทั่งยามนี้ ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียว สตรีในชุดสีสด ผู้นำตระกูลปี้ ทั่วทั้งร่างหนึบชา ปรากฏรอยไหม้เกรียมไม่ต่ำกว่าสิบจุด

ทว่าความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงนั้นก็ได้ทำให้หลายคนหวาดกลัว

จากเมื่อครู่ที่จ้าวเฟิงสกัดพลังของผู้อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งสาม ปล่อย “พายุเหมันต์อัสนี” ที่รุนแรงออกมาในเสี้ยววินาที อานุภาพนั้นกระทั่งเทียบได้กับพลังของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง

พูดสั้นๆ

ในเวลานี้ ทั้งสามฝ่ายต่างเกลียดชังจ้าวเฟิง

เว้นเสียแต่อาจารย์เฮยหยุนและปี้เฉี่ยวยู่ที่มีสีหน้าตกใจ ยากที่จะทำใจให้เชื่อกับภาพที่เห็น

“ไม่ต้องกังวลไป ไอ้เด็กนั่นต้องปรากฏตัวขึ้นในชั้นที่สองไม่ช้าก็เร็ว จะอย่างไรเราก็มีอาจารย์ด้านกลไกค่ายกล ความเร็วในการปลดแก้กลไกย่อมเหนือกว่าเขาอย่างแน่นอน”

โจรเถาชานเฟ่ยสีหน้าผ่อนคลายลงลง สายตาค่อยๆ กลับไปความเยือกเย็น ดวงตาปรากฏความมั่นใจ

ต่อมา

ทั้งสามฝ่ายรีบแบ่งสมบัติที่เหลือกัน

สมบัติที่เหลือนั้นยังเหลืออาวุธชั้นจิตวิญญาณอีกหลายชิ้น รวมทั้งวัตถุดิบมีค่าหายากมากมาย

หากพูดถึงมูลค่าของสมบัติที่เหลือทั้งหมดรวมกัน มันนับได้ว่ามีค่ามากกว่าจ้าวเฟิงที่เอาไป ทว่าหลังจากแบ่งกันทั้งสามฝ่ายแล้ว มูลค่าของมันจึงด้อยกว่า

หลังจากแบ่งสมบัติเรียบร้อยแล้ว

ทั้งสามฝ่ายมุ่งไปยังบานประตูทองสัมฤทธิ์ของตน

พวกโจรเถาชานเฟ่ยทั้งสามอยู่ที่ประตูทิศตะวันตกซึ่งเป็นฝั่งตรงข้ามกับจ้าวเฟิง

นายท่านปี้และคนอื่นๆ ก็อยู่อีกทางหนึ่ง

ส่วนกลุ่มโจรสลัดโลหิตคลั่งอยู่ทางทิศเหนือ

หากยึดตามการวิเคราะห์ของอาจารย์เฮยหยุน รูปแบบกลไกของทางทิศใต้คือทางที่แย่ที่สุด ส่วนกลไกที่ดีที่สุดถูกจ้าวเฟิงครอบครองไปแต่เพียงผู้เดียว

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจแก้ไขได้ การใช้มือสัมผัสแผ่นหินในตอนแรกคือการกำหนดทิศทางในการเริ่มต้นแล้ว

“รูปแบบกลไกดีแล้วอย่างไร? ข้าจะอยู่เหนือทุกคน ฆ่าพวกมันให้หมด”

ชายหนุ่มในชุดทองจิตใจเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน

สตรีชุดสีสดผงกศีรษะเอ่ย “ในสี่สมบัติสายธารจันทรา ถุงร้อยบุปผาอยู่อันดับที่สี่ ยังมีพัดฉุ่ยเยว่เซียนเถา สามปทุม รวมทั้งวิชามาร ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ หากศิษย์พี่ได้ครอบครองสมบัติอันดับที่สาม พัดฉุ่ยเยว่เซียนเถา ต่อให้สองผู้มีพลังในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสองคนนั่นร่วมมือกันก็ไม่อาจนับเป็นคู่ต่อสู้ของศิษย์พี่ได้ และหากได้ครอบครองสามปทุม ต่อให้เป็นขั้นนายเหนือแท้มาศิษย์พี่ก็ไม่พ่าย”

“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ แม้จะไม่ได้ครอบครองสมบัติอีกสามชิ้น แต่สมบัติชิ้นนี้ไม่อาจพลาดได้”

โจรเถาชานเฟ่ยพูดอย่างเด็ดขาด

“ในอดีต แม้ ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ ของท่านอาจารย์จะสามารถทำให้เข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้ได้อย่างรวดเร็ว ทว่าสิ่งสำคัญคือเขากลับตกหลุมรักฉินหวางเฟย พรสวรรค์ของข้าไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา ทั้งจิตใจยังโหดเหี้ยมกว่า หากได้คัมภีร์บุปผาลึกลับมาครอบครอง ย่อมสามารถเป็นผู้นำแห่งหนทางมาร ครอบครองสำนักร้อยบุปผา กลายเป็นขั้วอำนาจใหม่ของอาณาจักรนภาได้”

ชายหนุ่มชุดทองสูดลมหายใจลึก เปลวเพลิงแห่งความทะเยอทะยานส่องประกายระริกในดวงตา

พวกโจรเถาชานเฟ่ยทั้งสามเข้าไปชั้นที่สองและเริ่มต้นแก้ไขกลไก

ชั้นที่สองมีห้องอยู่เก้าห้องเช่นกัน

เพียงผ่านทั้งเก้าห้องไปก็จะสามารถเข้าไปยังชั้นที่สองได้

ตามโครงสร้าง สมบัติชั้นที่สองย่อมต้องมีมากกว่าชั้นที่หนึ่ง

ความเร็วในแก้ไขกลไกของอาจารย์เฮยหยุนสามารถนำหน้าทั้งสามฝ่ายได้อย่างแน่นอน

ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วน้ำชาเดือด พวกโจรเถาชานเฟ่ยทั้งสามก็สามารถเข้าไปยังชั้นที่สองของโลงศพจื่อถงได้อย่างรวดเร็ว

ชั้นที่สองมีลานเล็กๆ ไม่ต่างจากชั้นที่หนึ่งมากนัก

ตรงกลางลานเล็กปรากฏโลงศพแก้วอยู่ สมบัติที่ภายในเมื่อเทียบแล้วมีมากกว่าชั้นที่หนึ่งหนึ่งเท่า

“พัดฉุ่ยเยว่เซียนเถา”

ชายหนุ่มชุดทองและสตรีชุดสีสดจ้องมองไปยังกลางกองสมบัติในโลงแก้ว มันปรากฏเป็นพัดที่งดงามเล่มหนึ่ง ราวกับ “พัดแห่งเซียน” ทำให้จิตใจสั่นไหวไปชั่วขณะ

พัดฉุ่ยเยว่เซียนเถาเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดของจอมโจรฉุ่ยเยว่ก่อนตาย มันมีพลังมหาศาล ทั้งยังเป็นอาวุธ “ชั้นมรดก” เสียด้วย

“พัดเล่มนี้สามารถสร้างภาพมายา ทั้งยังมีอาวุธลับอีกเจ็ดชิ้น กระทั่งสามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นรูปแบบร่มใช้ในการป้องกัน อาจกล่าวได้ว่ามันสามารถทำได้ทั้งป้องกันและโจมตี มีคำเล่าขานว่าพลังสูงสุดของพัดฉุ่ยเยว่เซียนเถานั้นเทียบได้กับอาวุธชั้นจิตวิญญาณขั้นสูง ควรรู้ว่าในอาณาจักรนภาแห่งนี้ อาวุธที่มีระดับเหนือกว่าชั้นจิตวิญญาณขั้นสูงนั้นมีน้อยนัก”

ชายหนุ่มชุดทองดวงตาส่องประกาย สีหน้าเต็มไปด้วยความต้องการและความหวัง

เมื่อเทียบกับ “พัดฉุ่ยเยว่เซียนเถา” แล้ว ถุงร้อยบุปผาก็ไม่อาจนับเป็นอันใดได้

แน่นอนว่า

รอบโลงแก้วยังคงมีกลไกซับซ้อนมากมาย และความละเอียดของมันเหนือกว่าชั้นหนึ่ง

“โครงสร้างกลไกบางส่วนของที่นี่ดูคล้ายกลไกของมรดกความลับสวรรค์อยู่บ้าง”

สีหน้าของอาจาจารย์เฮยหยุนทะมึนลงเล็กๆ

เขาระมัดระวังทุกรายละเอียดก่อนเริ่มแก้กับดัก ชายหนุ่มชุดทองปล่อยประสาทสัมผัสจิตวิญญาณออกมาช่วยเหลืออีกฝ่าย

เวลาผ่านไปช้าๆ

ความเร็วในการคลายกับดักครั้งนี้ช้ากว่าชั้นที่หนึ่งพอสมควร

ชายหนุ่มชุดทองรู้สึกลนลานขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เขาจำเป็นที่จะต้องแก้ไขกลไกรอบโลงศพแก้วให้เสร็จก่อนที่พวกนายท่านปี้และโจรสลัดโลหิตคลั่งมาถึง

เวลาครึ่งวันผ่านไป

ครืดดด

ในที่สุดเวลาที่รอคอยก็มาถึง อาจารย์เฮยหยุนเปิดโลงแก้ว

“พัดฉุ่ยเยว่เซียนเถา!”

ชายหนุ่มชุดทองหัวเราะ ใช้ปราณจิตวิญญาณส่งไปนำพัดชั้นมรดกนี้มา

ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือสิ่งใด เมื่อเขาได้ครอบครอง “พัดฉุ่ยเยว่เซียนเถา” ประตูทางทิศเหนือและทิศใต้ก็เปิดออกตามลำดับ

“ไม่ดีแล้ว! โจรเถาชานเฟ่ยเอาไปได้”

ท่านปู่ปี้และฉานเซว่ตูอิงสีหน้าแปรเปลี่ยนไปพร้อมกัน

กำลังคนทั้งสองฝ่ายรีบบุกเข้าไปอย่างไม่รอช้าเพื่อแย่งสมบัติชิ้นอื่นที่อยู่ในโลงศพ

ชายหนุ่มชุดทองเมื่อมี “พัดฉุ่ยเยว่เซียนเถา”อยู่ในมือ พลังของเขาก็เพิ่มขึ้นจริงๆ

“อันใดกัน! พัดฉุ่ยเยว่เซียนเถาเล่มนี้ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าที่คิดไว้”

สตรีชุดสีสดค่อนข้างงุนงง

ตามความคิดของนาง หากศิษย์พี่ได้ครอบครองพัดฉุ่ยเยว่เซียนเถา ย่อมสามารถจัดการอีกฝ่ายได้ในระยะเวลาสั้นๆ กระทั่งสามารถฆ่าผู้มีพลังในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งสองได้จึงจะถูก

“น่าชังนัก! สมบัติมรดกชิ้นนี้ต้องใช้เวลาในการจดจำเจ้าของจึงจะสามารถใช้พลังได้ถึงขีดสุด บัดนี้ข้าใช้พลังของมันได้เพียงห้าถึงหกส่วน ยังต้องใช้เวลาอีกสักพัก”

ชายหนุ่มชุดทองสีหน้าไม่ยินยอม

สมบัติมรดกนั้น หากจะจดจำเจ้าของได้จำเป็นจะต้องมีเงื่อนไขพิเศษ ตัวอย่างเช่นพลังสายเลือดหรือเคล็ดวิชาลับที่เหมาะสม

ชายหนุ่มชุดทองเป็นศิษย์เอกของจอมโจรฉุ่ยเยว่ แน่นอนว่าต้องมีเคล็ดลับวิชาที่เหมาะสม ทว่าก็ยังต้องใช้เวลาจึงสามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่

ขณะที่ทั้งสามฝ่ายกำลังวุ่นวายต่อสู้แย่งชิงสมบัติกันนั้น ประตูทางทิศตะวันออกก็ได้เปิดออก

จ้าวเฟิงเข้ามายังลานชั้นที่สอง

เขาเป็นคนสุดท้ายที่เข้ามาที่ขั้นที่สอง แน่นอนว่าไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องเร่งความเร็ว หากเขาเข้ามาเร็วเกินไปย่อมต้องปะทะกับโจรเถาชานเฟ่ยซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก

เมื่อสายตากวาดมองไปยังสมบัติของลานชั้นที่สองถูกครอบครองไปกว่าครึ่งแล้วก็อดที่จะทอดถอนใจไม่ได้

หากจ้าวเฟิงทะเล่อทะล่าเข้าไปเกรงว่าจะเป็นการดึงดูดให้ทุกฝ่ายมาฆ่าเขา ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายโจรเถาชานเฟ่ยหรือโจรสลัดโลหิตคลั่งย่อมไม่ปล่อยเขาไป

“หาดูตามแนวโน้มแล้ว สมบัติที่ชั้นสามที่มีมากกว่านี้ ข้าเองก็คงไม่ได้เช่นกัน”

แววตาของจ้าวเฟิงสั่นระริก

ในการแก้ไขกลไก เขาที่มีเพียงคนเดียวย่อมไม่สามารถเทียบได้กับอาจารย์ด้านกลไกค่ายกลและผู้มีพลังในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงที่ร่วมมือกัน

แต่จะให้จ้าวเฟิงยอมแพ้ เด็กหนุ่มก็ไม่เต็มใจนัก

ทว่าหากเปรียบด้านความแข็งแกร่งและกำลังคน เขาเทียบไม่ได้กับทั้งสามฝ่าย

ชั้นที่สองยังเป็นเช่นนี้ เมื่อไปถึงชั้นที่สาม ระยะห่างย่อมมีมากกว่าเดิม

ในขณะที่ความคิดกำลังแล่นอย่างรวดเร็วนั้น ในสมองของจ้าวเฟิงพลันปรากฏแผน ‘ตลบหลัง’ ขึ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!