บทที่ 331 : เนตรจิตวิญญาณเหมันต์
ปี้เจียงชิงมีพลังฝึกตนในขั้นมนุษย์แท้ ในบรรดายอดฝีมือที่ชนะติดต่อกันสิบครั้งอยู่อันดับที่หก อยู่ในระดับกลางๆ
ความสำเร็จระดับนี้นับเป็นหนึ่งในอัจฉริยะจำนวนน้อยนิดของอาณาจักร มีวาสนาอยู่ไม่น้อย
ทว่าในยามนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับเหล่าอัจฉริยะผู้ได้รับการคัดเลือกก่อนบนแท่นผู้อยู่ในจุดสูงสุดของคนรุ่นเดียวกันสีหน้าของเขาพลันมืดทะมึนลง ไม่กล้าที่จะดูแคลน
สิบอัจฉริยะบนแท่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดเขาก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าจะชนะ โดยเฉพาะจินไท่จื่อที่ไม่มีโอกาสโดยสมบูรณ์
แม้ว่าจะสามารถเอาชนะได้ ตัวเขาก็คงต้องพยายามอย่างหนัก
หลังจากที่กวาดตามองไปมา สายตาก็หยุดลงที่ตำแหน่งที่สี่ เด็กหนุ่มผมฟ้าที่กำลัง ‘งีบ’ อยู่
“อันดับสี่ ข้าท้าเจ้า!”
นายน้อยตระกูลปี้สูดลมหายใจลึก สายตาเด็ดขาดดุดัน ได้ตัดสินใจออกมา
เลือกจ้าวเฟิง นี่คือผลลัพธ์ที่เขาคิดได้
เหตุผลมีสองอย่าง
หนึ่ง ในบรรดาสิบผู้ครอบครองตำแหน่งคัดเลือกก่อน มีเพียงจ้าวเฟิงที่ไม่ใช่อดีตสิบดารา
แม้ว่าจ้าวเฟิงจะแข็งแกร่ง ทว่าส่วนมากก็เป็นเพียงคำเล่าลือ กระทั่งมีคำบอกว่าใช้วิธีการต่ำช้าของ ‘จอมโจรฉุ่ยเยว่’ ที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง
อีกนัยหนึ่ง พลังที่แท้จริงของจ้าวเฟิงอาจจะไม่เป็นเช่นชื่อเสียงนั้น
สองนั้นเป็นเพราะหลิวฉินซิน
ก่อนหน้าที่ได้ประลองกัน ปี้เจียงชิงรู้สึกหลงใหลหลิวฉินซินโดยสิ้นเชิง ความงดงาม สงบนิ่ง สูงศักดิ์ และบริสุทธิ์นั้นราวกับไม่สั่นไหวต่อสิ่งใด
และช่างบังเอิญที่จ้าวเฟิงคือคู่หมั้นของหลิวฉินซิน และเพราะหนีการแต่งงานจึงถูกออกหมายจับจากเจ้าเมืองหงหู
“เด็กหนุ่มผู้นี้มีบุคลิกที่น่างุนงงโดยแท้ สตรีที่งดงามสมบูรณ์แบบเช่นนั้นกลับกลายละทิ้งไม่ใส่ใจ! ยามที่ข้าใช้วิชาพิเศษเอาชนะเจ้า ชนะใจของสาวงาม ในยามนั้นด้วยตำแหน่งนายน้อยของตระกูลปี้ของข้า จะพูดคุยเรื่องการแต่งงานกับเจ้าเมืองหงหูย่อมมีโอกาสไม่น้อยกว่าเก้าส่วน”
ปี้เจียงชิงในใจปรากฏความริษยาต่อจ้าวเฟิง ทว่าก็ปรากฏความยินดีอยู่ส่วนหนึ่ง
ยินดีที่จ้าวเฟิงมีบุคลิกเช่นนี้ ทิ้งโอกาสให้กับตนเอง สิ่งที่เขารู้สึกริษยาคือสตรีที่งดงามสมบูรณ์แบบเพียงนั้น อีกฝ่ายกลับสามารถละทิ้งไม่ใส่ใจได้
ปี้เจียงชิงคิดอย่างแน่วแน่ แม้ต้องเสียสิ่งใดมากมายเพียงใดก็ต้องเอาชนะจ้าวเฟิงให้ได้
เขาสูดลมหายใจลึก มองไปยังด้านข้าง ร่างขาวสะอาดตางดงาม ใบหน้าเรียบเฉยทรงเสน่ห์ ทั้งสูงศักดิ์และบริสุทธิ์
ทว่าหลังจากสิ้นเสียงของปี้เจียงชิง กลับกลายเป็นความเงียบงันที่น่ากระอักกระอ่วน
“อันดับสี่ ข้าท้าประลองเจ้า!”
ไร้ซึ่งการตอบสนอง ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ
ในตำแหน่งที่สี่ จ้าวเฟิงนั่งนิ่งอยู่ที่ที่ของตน ดวงตาปิดสนิท ราวกับกำลังงีบหลับอยู่
เขาไม่รู้ว่าตำแหน่งของตนเองคือตำแหน่งไหน ทั้งการแข่งขันภายนอกก็ไม่รับรู้สิ่งใด
“จ้าวเฟิง! ปี้เจียงชิงในฐานะของผู้ที่ชนะติดต่อกันสิบครั้งมีคุณสมบัติที่จะท้าประลองเจ้า หากเจ้าไม่ประลองจะนับว่าสละสิทธิ์”
ชายชราขั้นผู้วิเศษแท้ที่ดูแลการประลองน้ำเสียงราวกับฟ้าคำราม
จนกระทั่งเอ่ยถึง ‘จ้าวเฟิง’ ตัวอักษรทั้งสอง เด็กหนุ่มผมฟ้าผู้นั้นจึงค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ท่าทีงุนงง
ล่างแท่นสูง
หลิวฉินซิน เจียงซานเฟิง และผู้ชนะติดต่อกันสิบครั้งคนอื่นๆ ยืนเรียงกัน
หลิวฉินซินยกมุมปากปรากฏขึ้นเป็นรอยยิ้ม ราวกับดอกบัวขาวสะอาดตางดงาม
เจียงซานเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “จ้าวเฟิง! รีบๆ ออกมาประลองเร็วเข้า”
เขาและจ้าวเฟิงมาจากลัทธิโลหะเลือดเช่นเดียวกัน ยามนี้รู้สึกอับอายจนใบหน้าแดงซ่าน
“เด็กน่าชัง กล้าเมินข้า!”
ปี้เจียงชิงที่ยืนอยู่สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ใบหน้าแดงซ่าน มือทั้งสองกำแน่น
“อืม”
จ้าวเฟิงผงกศีรษะทันที ร่างกลับกลายเป็นเงาเลือนรางลงไปด้านล่างทันที
“การเคลื่อนไหวนั่น เป็นมรดกของจอมโจรฉุ่ยเยว่จริงๆ”
“ทายาทของโจรต่ำช้านั่น มิคาดกล้าแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งของงานชุมนุมเซียนมังกรในสถานที่สำคัญของอาณาจักรอย่างเปิดเผยเช่นนี้”
เหล่าคนระดับสูงที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นเผยความไม่พอใจออกมาบ้าง
ยอดฝีมือสูงวัยบางคนกระทั่งเคยพ่ายแพ้ในน้ำมือของจอมโจรฉุ่ยเยว่มา
โดยเฉพาะฝั่งราชวงศ์ที่สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น จิตสังหารพุ่งพล่าน
หากไม่ใช่เพราะจ้าวเฟิงอยู่กับลัทธิโลหะเลือดที่น่าหวาดกลัว เกรงว่าบัดนี้กลุ่มยอดฝีมือคงพุ่งเข้าไปสั่งสอนโจรต่ำช้าแล้ว
บนลานประลอง
จ้าวเฟิงและปี้เจียงชิงยืนเผชิญหน้ากันห่างออกไป
ฝ่ายแรกสีหน้าไร้ความรู้สึก ท่าทีราวกับครุ่นคิดบางอย่าง
แม้ว่าจะยืนอยู่บนลานประลอง สติส่วนหนึ่งของจ้าวเฟิงก็ยังคงคิดถึงปัญหายากๆ ของ ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ อยู่
บัดนี้ ชั้นแรกของ ‘พื้นฐานจิตวิญญาณเหมันต์’ จ้าวเฟิงสามารถก้าวเข้าไปได้อย่างยากลำบาก ความเข้าใจในด้านเคล็ดวิชาพลังจิตพัฒนาเข้าสู่ระดับใหม่โดยสิ้นเชิง
“เพลิงนภาคราม!”
มือทั้งสองข้างของปี้เจียงชิงประกบกัน ดวงตาทั้งสองส่องประกายสีเขียวคราม ปราณจิตวิญญาณทั่วทั้งร่างสั่นสะท้านแทบจะเข้าสู่การเผาไหม้
ย่าห์!
ทั่วทั้งร่างของเขาส่องประกายสีฟ้า เปลวเพลิงสีฟ้าปรากฏขึ้นสูงเกือบหนึ่งหลา พลังน่าหวาดกลัวนัก
ที่คาดไม่ถึงคือปราณจิตวิญญาณทั่วทั้งร่างของเขาได้พัฒนาขึ้นไปมาก ทำลายผนังระหว่างขอบเขตพลังฝึกตนลง
“เพลิงนภาคราม! เคล็ดวิชาลับของตระกูลปี้หลัก พลังของมันต้องได้รับการสนับสนุนจากสายเลือดจึงจะสามารถใช้ออก เคล็ดวิชาลับสายเลือดนี้สามารถเพิ่มและสะท้อนไอสวรรค์ได้ พลังต่อสู้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยหนึ่งเท่า”
ยอดฝีมือจากสถานที่หลากหลายในอาณาจักรเฝ้าดูและวิจารณ์
“ไม่ดีแล้ว! ใช้ ‘เพลิงนภาคราม’ จำต้องมีพลังฝึกตนในขั้นมนุษย์ระดับสูง หรือมิเช่นนั้นจะก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ สร้างความเสียหายให้กับพลังสายเลือดมากนัก”
คนจากตระกูลปี้หลักสีหน้าเปลี่ยนแปลงไป
ในระยะเวลาหนึ่งลมหายใจสั้นๆ พลังต่อสู้ของปี้เจียงชิงก็เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน กระทั่งเทียบเคียงได้กับเจียงซานเฟิง
ย่าห์!
ดวงตาของเจียงซานเฟิงส่องประกายสว่าง ทั่วทั้งร่างส่องประกายสีเขียว ราวกับเทพเจ้าที่มากอำนาจ พุ่งตรงไปยังจ้าวเฟิง
ทันใดนั้น แรงกดดันจากเปลวเพลิงสีฟ้าก็ได้ครอบคลุมบริเวณนั้นไว้ ปราณจิตวิญญาณที่น่าพรั่นพรึงได้ทำให้จิตใจของผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอดต้องกระตุก เพียงพอให้สีหน้าแปรเปลี่ยนไป
มองเห็นภาพของเปลวเพลิงสีฟ้านั้นโอบล้อมร่างของเด็กหนุ่มผมฟ้าเข้าไป
“ยังไม่ตอบโต้อีกหรือ!”
เจียงซานเฟิงและเตี๋ยเย่ปรากฏความเกรงกลัวหวาดหวั่นขึ้น
ปราณจิตวิญญาณบนร่างของจ้าวเฟิงไร้ซึ่งปฏิกิริยา ราวกับว่าไม่วางแผนที่จะตอบโต้
“เจ้าโจร ตายซะ!”
สีหน้าของปี้เจียงชิงปรากฏความเย้ยหยัน ดวงตาส่องประกายระริก
ทว่าในยามนั้นเองที่ดวงตาซ้ายของอีกฝ่ายได้จับจ้องมายังเขาเป็นครั้งแรก
ดวงตาซ้ายลึกล้ำราวกับบ่อน้ำเย็นเยียบอันไร้ก้นบึ้ง ความหนาวเยือกแพร่กระจายไปยังอากาศมาที่ตัวเขา
เฮือก!
ทั่วทั้งร่างของปี้เจียงชิงสั่นสะท้านหนาวเยือก ความคิดก็ราวกับถูกแช่แข็ง การเคลื่อนไหวเชื่องช้าลงหลายสิบเท่า
ความเย็นเยียบนั้นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏขึ้นจริงๆ ทว่าเป็นสิ่งที่ก่อเกิดขึ้นในความนึกคิด
“เฮือก เฮือก…”
ดวงตาของปี้เจียงชิงส่องประกายประหลาดใจออกมา ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้านราวกับถูกแช่แข็ง
ในสายตาของทุกคน การเคลื่อนไหวของเขาราวกับเป็นภาพที่ถูกทำให้เคลื่อนไหวเชื่องช้าลง
หลังจากนั้น อารมณ์ความรู้สึกในดวงตานั้นก็แข็งค้าง
จิตใจที่แข็งค้างนั้นทำให้เขาสูญเสียความสามารถในการควบคุมร่างกาย ปราณแท้ และพลังสายเลือดไป ราวกับเป็นทารกที่ไม่อาจกระทั่งก้าวเดินด้วยตนเอง
ปึง!
เขาถูกเท้าของเด็กหนุ่มผมฟ้าถีบออกจากลานประลอง
พลุกพลุก
แม้จะร่วงลงที่พื้นในเสี้ยววินาที บรรยากาศหนาวเยือกที่โอบล้อมร่างกายและจิตใจของปี้เจียงชิงก็หายไปเพียงครึ่งหนึ่ง มุมปากปรากฏโลหิตไหลย้อย รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
“เป็นไปได้อย่างไร… เจ้าใช้วิธีต่ำช้าอันใดกัน?”
ปี้เจียงชิงตื่นตะลึงจนสมองแทบหยุดทำงาน
เขาพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว ใช้พลังสายเลือดแสดงกระบวนท่าวิชาลับ ‘เพลิงนภาคราม’ ในที่สุดแล้วราวกับโดนของ ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะต่อต้าน ถูกเตะครั้งหนึ่งร่วงจากลานประลอง
หา!
เหล่าผู้ชมเต็มไปด้วยความวุ่นวาย คนส่วนมากไม่สามารถมองออกได้ว่าเกิดอันใดขึ้น
การตัดสินแพ้ชนะในครานี้ใช้เพียงเพียงครึ่งลมหายใจเท่านั้น
“นี่มันสถานการณ์อันใดกัน! จู่ๆ ในยามสำคัญปี้เจียงชิงกลายเป็นตัวโง่งมไปได้อย่างไร?”
“เจ้าเด็กนั่นใช้เวทมนต์อันใดกัน!”
“เวทมนต์? มันต้องเป็นวิธีการต่ำช้าที่จอมโจรฉุ่ยเยว่ทิ้งไว้ อย่างกลิ่นกำยานพิษพวกนั้น ทำให้คู่ต่อสู้สูญเสียความสามารถในการต่อสู้”
รอบๆ เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยถกเถียง หลังจากนั้นจึงกลายเป็นการประณามต่อต้าน
นักวิจารณ์เหล่านี้ส่วนมากเป็นคนรุ่นใหม่ เหล่าผู้อาวุโสระดับสูงที่แท้จริงของอาณาจักรสีหน้าต่างเลวร้ายลง
จ้าวเฟิงดูแคลนเกินกว่าที่จะเอ่ยอธิบาย ทำเพียงกลับไปยังที่นั่งของตนและปิดเปลือกตาทำความเข้าใจต่อไป
“จริงด้วย หลังจากที่ดวงตาซ้ายผ่านการเปลี่ยนแปลงได้มีสมบัติของธาตุเหมันต์ ธาตุหยินที่เป็นธาตุเย็น เมื่อใช้ข้อมูลจากจิตวิญญาณเหมันต์สามารถใช้พลังของสายเลือดดวงตา สร้างอาการบาดเจ็บให้กับจิตใจของคู่ต่อสู้ได้”
จ้าวเฟิงลอบผงกศีรษะ
“กระบวนท่านี้เรียกมันว่า ‘เนตรจิตวิญญาณเหมันต์’ แยกออกจาก ‘คุกลวงตา’ ก่อนหน้า”
นับตั้งแต่ยามนี้ ความสามารถของสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงจึงได้รับการจัดหมวดหมู่ในที่สุด
‘เนตรจิตวิญญาณเหมันต์’ ที่เขาใช้เวลาหลายวันมานี้ในการทำความเข้าใจผ่านการศึกษา ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ ทำให้สามารถเปิดเผยความสามารถหนึ่งของสายเลือดดวงตานี้ได้
หลังจากที่ดวงตาเทพเจ้าวิวัฒนาการมาสองครั้ง เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้านี้ก็ไม่ได้มีความสามารถมากขึ้น
ทว่าจิตวิญญาณเหมันต์ได้เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของจ้าวเฟิง
ล่างลานประลอง
ปี้เจียงชิงพ่ายแพ้ จิตใจเต็มไปด้วยความหนาวเย็น ส่งผลต่อร่างกาย ปากยังคงสั่นสะท้าน
นอกจากนั้น การเคลื่อนไหวการตอบสนองของเขายังเชื่องช้าลง
“ความสามารถในการทำความเข้าใจและสายเลือดดวงตาของเด็กนี่น่าหวาดกลัวโดยแท้ สามารถทำความเข้าใจความรู้ในเส้นทางแห่งวิญญาณโบราณของ ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ ได้รวดเร็วเพียงนี้”
รองจ้าวลัทธิโลหะเลือด ใบหน้าเผยความยินดีประหลาดใจออกมา
ตรงกันข้าม ฝ่ายราชวงศ์ ตระกูลหยุน ตระกูลปี้ และคนระดับสูงของกลุ่มอำนาจอื่นๆ ใบหน้ากลับปรากฏความประหลาดใจและมืดทะมึน
ในระดับของพวกเขาย่อมสามารถเห็นว่าที่จ้าวเฟิงสามารถเอาชนะได้ในหนึ่งกระบวนท่านั้นไม่มีวิธีการต่ำช้าใดๆ ทว่าเป็นวิชาจากสายเลือดดวงตาที่ยอดเยี่ยม
ทว่า
อัจฉริยะจำนวนมาก ณ ที่แห่งนั้นไม่เห็นความเป็นจริง เค้นเสียงเหยียดหยามจ้าวเฟิง
“จ้าวเฟิง เจ้าโจรนี่ มิคาดกล้าใช้วิธีการต่ำช้าต่อหน้าทุกคน”
“ปี้เจียงชิงพ่ายแพ้ดูแปลกประหลาดนัก หรือทั้งสองคนตกลงกันไว้ก่อน?”
กระทั่งมีบางคนสงสัยว่าปี้เจียงชิงกำลังแสดงละคร ให้จ้าวเฟิงสร้างอำนาจขึ้นอย่างจงใจ?
ความวุ่นวายได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในระยะเวลาสั้นๆ ปี้เจียงชิงไม่กล้าที่จะท้าประลองต่อ ใช้ช่วงเวลานั้นให้ผู้นำตระกูลของเขาช่วยรักษา
ต่อมา
เจียงซานเฟิงใช้พลังโจมตีที่แข็งแกร่ง ท้าประลองสิบดาราอันดับหกของอาณาจักร เอาชนะได้สำเร็จ
จะอย่างไรก่อนหน้าเขาก็เป็นหนึ่งในสิบดาราอันดับสี่
จากนั้น ยอดฝีมือที่ชนะติดต่อกันสิบครั้งก็ท้าประลอง ส่วนมากจบลงด้วยความล้มเหลว
จ้าวเฟิงยังคงปิดตาทำความเข้าใจ ไม่สนใจโลกภายนอก
เมื่อผ่านการลงมือใช้ออกจริงๆ ความเข้าใจในสายเลือดดวงตาของตัวเขาจึงได้เพิ่มขึ้นอีกระดับ
“ ‘คุกลวงตา’ ก่อนหน้าเป็นวิชาพลังจิตที่ใช้ในการทำให้คู่ต่อสู้เหนื่อยล้า กักขังสตินึกคิดของอีกฝ่ายเอาไว้ ทำให้อีกฝ่ายเหนื่อยล้า มีตัวอักษร ‘จินตนาการ’ ปรากฏอยู่อย่างมาก”
“เนตรจิตวิญญาณเหมันต์ใช้คุณสมบัติธาตุเหมันต์ของสายเลือดดวงตา มุ่งเน้นไปในการแช่แข็งจิตใจหรือทำร้ายคู่ต่อสู้ มีพลังในการโจมตีและกัดกร่อนในระดับหนึ่ง”
จ้าวเฟิงค่อยๆ เข้าใจอย่างชัดเจน
เมื่อเป็นเช่นนั้น การเปลี่ยนแปลงครั้งแรกของเขาได้ก่อเป็นดวงตาสีเขียว ควรจะมีคุณสมบัติธาตุลม เพียงแต่ในยามนั้นไม่อาจค้นหาเคล็ดวิชาที่สอดคล้องกับมันได้
บัดนี้เขามี ‘เนตรแห่งเหมันต์’ ก่อนหน้าคือ ‘เนตรแห่งวายุ’
“น่าเสียดายนัก หากได้ครอบครอง ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ เร็วกว่านี้ ความสำเร็จในยามนี้ของข้าย่อมมีมากกว่านี้”
จ้าวเฟิงรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ทว่าก็มีความยินดีอยู่ส่วนหนึ่ง
ขณะที่กำลังทำความเข้าใจอยู่ภายในใจ จมูกของเด็กหนุ่มก็พลันรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายงดงามสงบนิ่งประการหนึ่ง
หืม?
ในใจของจ้าวเฟิงเกิดความสงสัย เปิดเปลือกตามองไปพบกับสตรีงดงามที่นั่งอยู่ข้างๆ จับจ้องมายังตัวเขาพร้อมด้วยรอยยิ้ม
หลิวฉินซิน!
ใจของจ้าวเฟิงกระตุกวูบ
แต่เดิมนั้น หลิวฉินซินได้ท้าประลองคนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่ห้าเอาชนะได้สำเร็จ ครอบครอง ‘ตำแหน่งคัดเลือกก่อน’ ที่เป็นหนึ่งในสิบดาราของอาณาจักร