บทที่ 349 : ความคิดของจ้าวเฟิง
“จากกลิ่นอายของ ‘ภาพมรดก’ มรดกนับว่าใช้ได้ ทว่ายังห่างไกลจากสี่มหามรดกอยู่มากนัก”
ร่างยักษ์ผิวสีทองแดง รองหัวหน้าสหพันธ์จ้องไปยังจุดสูงสุดของลานประลองชางกู่
“ฮี่ฮี่ ทว่าภาพมรดกก็ได้ปรากฏขึ้นแล้วเช่นนี้ ยิ่งวาสนามังกรเพิ่มขึ้นมากเท่าใด โอกาสที่จะเชื่อมต่อกับมรดกอื่นๆ ได้ย่อมมีมากกว่าหนึ่งหรือสองมรดก”
“ใช่แล้ว รุ่นก่อนๆ สามารถปรากฏการเชื่อมต่อมรดกได้หนึ่งถึงสองมรดกก็ถือว่าดีมากแล้ว ช่วงที่แย่จริงๆ กระทั่งสักอันเดียวก็เชื่อมไม่ได้”
สมาชิกสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์สายตาเต็มไปด้วยร่องรอยของประสบการณ์
ในยามนี้ สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังและยินดี
เก้าผู้สูงศักดิ์จะนั่งอยู่บนแท่นสูงรูปวงรี จ้องมองไปยังการประลองที่ดำเนินไป
การดิ้นรนสู่ความเป็นใหญ่ของทั้งห้าลานประลองนั้นเป็นเพียงรอบแรก แบ่งเขตแดนแย่งชิงความเป็นใหญ่
การปะทะกันของอัจฉริยะกับอัจฉริยะจะกระตุ้นความสามารถที่แข็งแกร่งที่ซ่อนอยู่ เปลี่ยนแปลงมันไปเป็นวาสนามังกร
ยิ่ง ‘ม้ามืด’ ในลานประลองชางกู่มีมากเท่าใด วาสนามังกรก็จะหนาแน่นมากขึ้นเท่านั้น
การประลองนั้นคือการประกอบกันด้วยสายเลือด พรสวรรค์ จิตต่อสู้ ความสามารถ และความกล้าหาญของคนหนุ่มสาว การกระตุ้นแต่ละครั้งทำให้ลานประลองชางกู่เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างลึกลับ
รอบลานประลองชางกู่มี ‘ภูเขารูปปั้นศิลา’ ขนาดยักษ์ตั้งตระหง่าน พลังอำนาจที่ไม่อาจมองเห็นได้แพร่กระจายออกอย่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ลานประลองเหนือ
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ รู้สึกราวกับว่า ‘ภูเขารูปปั้นศิลา’ เหล่านั้นกำลังจับจ้องอยู่
เหล่ารูปปั้นที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้นเป็นราวกับเทพบรรพกาลที่อยู่ในห้วงการหลับลึก จับจ้องไปยังการประลองในลานประลอง บ้างก็โห่ร้อง บ้างก็ดูแคลน
“สถานการณ์ในยามนี้ของลานประลองเหนือ ตราบเท่าที่ข้าไม่เผชิญหน้ากับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ รวมทั้งยอดฝีมือชั้นแนวหน้าอย่างฉินคุนอู๋ เนตรวิญญาณหนานจื่อ และเซี่ยเซียนชาง วาสนามังกรของข้าก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”
จ้าวเฟิงคิดในใจ
จำนวนของอัจฉริยะในลานประลองเหนือนั้นมีราว 600-700 คน การต้องการจะเผชิญหน้ากับผู้ใดเป็นพิเศษนับว่าไม่ง่ายนัก
ทว่างานชุมนุมเซียนมังกรก็ยังมีกฎอยู่ประการหนึ่ง
หากอยากจะ “เรียกชื่อ” เพื่อท้าประลองกับอัจฉริยะคนใดก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้
ทว่าเมื่อพ่ายแพ้ในการประลองนั้นจะเสียวาสนามังกรมากกว่าในยามปกติสองเท่า แต่หากคู่ต่อสู้ที่ถูกท้าพ่ายแพ้จะเสียวาสนามังกรเพียงครึ่งหนึ่งของยามปกติ
นอกจากนั้น ทุกคนจะมีสิทธิ์เรียกชื่อท้าประลองตำแหน่งเพียงสามครั้ง
เรื่องที่เสียแรงเปล่าและไม่ได้ประโยชน์อันใดเช่นนี้ โดยปกติทั่วไปไม่มีใครยอมทำ
กระทั่งห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้เทียมทานก็ไม่ทำเช่นนั้นง่ายๆ
นอกเสียจากวินาทีสุดท้ายที่ต้องการเพิ่มปริมาณวาสนามังกรจึงจะมีความคิดในการเสี่ยง
“ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับโชคชะตา…”
จ้าวเฟิงทำตามการชี้แนะของตราคำสั่งเซียนมังกร เจอกับผู้ใดก็ประลองกับผู้นั้น
หากจะพูดในยามนี้ ดวงของเขาก็ไม่นับว่าย่ำแย่ ยังไม่เคยเจอกับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ และยังไม่เคยเผชิญหน้ากับยอดฝีมือชั้นแนวหน้าที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสาม
ชนะสิบครั้งติดต่อกัน… สิบเอ็ดครั้ง… สิบสองครั้ง
ความสำเร็จของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
พลังฝึกตนต่ำกว่าขั้นผู้วิเศษแท้ เด็กหนุ่มสามารถใช้เวลาเพียงวินาทีเดียวในการเอาชนะ เวลาที่เหลือส่วนมากจะใช้ในการฝึกฝนทำความเข้าใจ
โดยปกติแล้ว การประลองห้าแดนดิ้นรนสู่ความเป็นใหญ่จะดำเนินไปราวสิบวันหรือครึ่งเดือน หรือมากกว่านั้น
หลังจากที่การประลองดำเนินไปหลายรอบ สถานการณ์ของลานประลองเหนือก็ยิ่งส่องประกายมากขึ้น
ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดย่อมเป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้
รองลงมาจึงเป็นยอดฝีมือชั้นแนวหน้าที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสาม ฉินคุนอู๋ เนตรวิญญาณหนานจื่อ และเซี่ยเซียนชาง
คนทั้งสามมีพลังในระดับเดียวกับโม่เทียนอี้ ไม่ว่าจ้าวเฟิงจะเจอกับคนใดก็อาจพ่ายแพ้
จากนั้นจึงเป็นยอดฝีมือทั่วไป มีขั้นผู้วิเศษแท้อยู่ราว 5-6 คน
สุดท้ายจึงเป็น
กลุ่มคนที่ค่อนข้างพิเศษคือ ‘อัจฉริยะม้ามืด’
อัจฉริยะม้ามืดคือผู้ที่ไม่เคยได้เข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งที่แล้วและครอบครองตราคำสั่งเซียนมังกรสีขาว
ลานประลองเหนือมีอัจฉริยะม้ามืดที่แท้จริงอยู่สี่คน
ปิงฉุ่ยเยว่ หงจ๋าน จ้าวเฟิง และหวังเสี่ยวก้วย
อัจฉริยะม้ามืดทั้งสี่นี้ชนะติดต่อกันหลายสิบครั้ง เริ่มต้นจากความว่างเปล่า ข้ามผ่านความยากลำบากครั้งแล้วครั้งเล่า
สี่ม้ามืดแห่งลานประลองเหนือมีฝีมือเทียบเคียงกับยอดฝีมือ หรือกระทั่งเทียบได้กับยอดฝีมือชั้นแนวหน้า ทว่าสำหรับสามยอดฝีมือชั้นแนวหน้าที่แข็งแกร่งที่สุดยังมีความแตกต่างที่ชัดเจนอยู่บ้าง
“ลานประลองเหนือมิคาดมีม้ามืดถึงสี่คน”
ฉินคุนอู๋พึมพำกับตนเองด้วยความคาดไม่ถึง
“ฮี่ฮี่ ศิษย์พี่ฉิน ข้าเอ่ยไม่ผิดเมื่อครู่ เจ้าเด็กผมฟ้านั่นเป็นม้ามืดจริงๆ”
ชายหนุ่มหน้าเหลี่ยมเผยรอยยิ้มบาง
“หึ ม้ามืดสี่คนนี้ ปิงฉุ่ยเยว่กับหงจ้านมีพลังฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ระดับแรกเริ่มต้น ทว่ายังมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะ ‘ปิงฉุ่ยเยว่’ ที่เป็นน้องสาวของปิงเว่ยเซียนจื่อ บางทีนางอาจจะสามารถสร้างแรงกดดันให้ข้าได้ สำหรับจ้าวเฟิงกับหวังเสี่ยวก้วยที่มีพลังฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ระดับต่ำและระดับสูง แม้ว่าพลังสายเลือดจะแข็งแกร่ง ทว่าระดับพลังแตกต่างกัน ยากที่จะส่งผลใดๆ ได้”
ฉินคุนอู๋เอ่ยขึ้นอย่างดูแคลน
“มันไม่แน่หรอก! จ้าวเฟิงผู้นี้ให้ความรู้สึกราวกับว่าพลังของเขาไม่ได้มีเพียงเท่านี้ต่อข้า แต่ว่า ‘ปิงฉุ่ยเยว่’ นั้นแข็งแกร่งจริงๆ”
ชายหนุ่มหน้าเหลี่ยมส่ายศีรษะเอ่ย
ในเวลาเดียวกัน
เด็กสาวในชุดสีขาวราวหิมะ อายุราว 17-18 ปี ใบหน้างดงามไร้ที่ติราวหยก สร้างความงดงามที่หนาวเย็น ทะยานขึ้นสู่ลานประลองเหนือ
เด็กสาวผู้นี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นรูปปั้นสาวงาม ‘น้ำแข็ง’ บนร่างสร้างไอความเย็นแพร่กระจายออกมา
“ปิงฉุ่ยเยว่ผู้นี้ชนะติดต่อกัน 19 ครั้งแล้ว”
“นอกจาก ‘ปิงเว่ยเซียนจื่อ’ แล้ว นางคือสตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในลานประลองเหนือนี้”
ผู้คนด้านล่างลานประลองต่างชะงักอึ้งไปกับรูปลักษณ์งดงามและความแข็งแกร่งของปิงฉุ่ยเยว่
ขณะที่ยังไม่ได้เผชิญหน้ากับปิงเว่ยเซียนจื่อและสามยอดฝีมือชั้นแนวหน้าที่แข็งแกร่งที่สุด ปิงฉุ่ยเยว่แทบจะใช้เพียงหนึ่งกระบวนท่าในการเอาชนะคู่ต่อสู้
“จึจึ สาวน้อยงดงามผู้นี้ได้ยินมาว่าคือผู้ที่ฝึกฝนวิชาเหมันต์ของ ‘วังฉวนปิง’ ที่ร่ำลือมานาน ข้าผู้นี้ไร้ซึ่งพรสวรรค์ คงต้องขอคำชี้แนะสักหนึ่งหรือสองกระบวนท่า”
ชายหน้าตาอัปลักษณ์มีแผลเป็นคล้ายฝีดาษขึ้นไปบนลานประลอง
ตราคำสั่งเซียนมังกรของบุรุษหน้าตาอัปลักษณ์มีแผลเป็นคล้ายฝีดาษผู้นี้ปรากฏแสงสีเงินจาง พลังฝึกตนสูงถึงขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำ
“มิคาดเป็นหม่าเทียนซาน!”
“ในงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งที่แล้ว เจ้านี่ครองอันดับ 50-60 มีพลังแข็งแกร่ง ปิงฉุ่ยเยว่นับว่าเจอตอแล้ว”
ผู้คนด้านล่างแสดงสีหน้าตื่นเต้นคาดหวัง
ด้านหนึ่งคือม้ามืดที่แข็งแกร่งที่สุดของลานประลองเหนือ อีกด้านคือยอดฝีมือขั้นผู้วิเศษแท้ที่แข็งแกร่ง
“เจ้าคนอัปลักษณ์! รีบๆ แพ้ให้แก่ข้า!”
บนใบหน้างดงามของปิงฉุ่ยเยว่เผยความรังเกียจขยะแขยงออกมา
สายลมเหนือ!
มือขาวสะอาดทั้งสองของปิงฉุ่ยเยว่ผลักออก กลุ่มลมสีฟ้าอ่อนรูปมือขนาดยักษ์ได้ขยายออกจากความว่างเปล่าในเสี้ยววินาที พุ่งตรงไปยังร่างของ ‘หม่าเทียนซาน’
กระบวนท่านี้ ปิงเว่ยเซียนจื่อเคยใช้ออกครั้งหนึ่ง ทำให้คู่ต่อสู้กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งไปในเสี้ยววินาที
“ จึจึ… สาวน้อยคนสวยผู้นี้รีบร้อนนัก พี่ชายจะทำให้เจ้า ‘พึงพอใจ’ อย่างแน่นอน”
หม่าเทียนซานแสยะยิ้มน่าหวาดกลัว ปราณจิตวิญญาณระเบิดออก หลอมรวมเสี้ยวไอสวรรค์ แขนข้างหนึ่งวาดออกสร้างเป็นประกายแสงสีเทาดำ พุ่งตรงไปยังร่างของปิงฉุ่ยเยว่
เปรี้ยง ตูม เปรี้ยง
การปะทะกันของผู้ฝึกขั้นผู้วิเศษแท้มีพลังรุนแรงน่าหวาดกลัว แสงสีเทาและฟ้าเย็นทรงพลังระเบิดออก กวาดไปรอบบริเวณหนึ่งลี้
ครืนนน
ร่างของปิงฉุ่ยเยว่อยู่ท่ามกลางพลังที่ระเบิดออกอย่างบ้าคลั่ง ล่าถอยไปครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างลนลาน
พลังฝึกตนของหม่าเทียนซานผู้นั้นแข็งแกร่งกว่านาง แม้ท่าทีภายนอกจะเหลาะแหละ ทว่าการโจมตีโหดเหี้ยมยิ่งนัก
ขั้นผู้วิเศษแท้นั้นนับได้ว่าก้าวเข้าสู่สวรรค์ที่สองของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ทำความเข้าใจหน่อสำนึกรู้ของตนเอง การโจมตีสะท้อนให้ไอสวรรค์ช่วย ‘ส่งเสริม’ ระยะการโจมตีและพลัง เมื่อเทียบกับขั้นมนุษย์แท้นักว่าเพิ่มขึ้นอย่างมาก
หากจะพูดง่ายๆ ก็คือ ขอบเขตเจตจำนงและไอสวรรค์ได้เชื่อมต่อกัน สร้างสายสัมพันธ์ขึ้น
ตัวอย่างเช่นปิงฉุ่ยเยว่ การโจมตีของนางนั้นนอกจากจะมีปราณจิตวิญญาณธาตุน้ำแข็งแล้วยังสามารถหยิบยืมความช่วยเหลือจากไอสวรรค์ด้านนอกได้
“ปราณจิตวิญญาณของขั้นผู้วิเศษแท้มีพลังปริมาณมากกว่าขั้นมนุษย์แท้ ทว่าแก่นแท้นั้นเหมือนกัน ความแตกต่างเพียงสิ่งเดียวนั้นคือหน่อสำนึกรู้ ไม่ว่าจะเป็นการดูดกลืนหรือกักเก็บไอสวรรค์ การฟื้นฟู พลังและระยะขอบเขตการโจมตีก็เหนือกว่าขั้นมนุษย์แท้”
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงเพ่งมองไปยังการประลองของขั้นผู้วิเศษแท้ ได้รับผลประโยชน์มากมาย
เขาให้ความสนใจพร้อมกับกระตุ้นมิติในดวงตาซ้าย เปรียบเทียบกับ ‘มรดกอัสนี’ ของตนเอง
ปักษาหิมะคำราม!
ปิงฉุ่ยเยว่ตวาดลั่น มือทั้งสองส่องประกายพร้อมกัน พายุสายลมเย็นเยียบก่อร่างขึ้นเป็นปักษา ท่าทียิ่งใหญ่ ทั้งยังปรากฏกลิ่นอายของสายเลือดโบราณปะปนอยู่เล็กๆ
“บัดซบ! นังเด็กนี่เสียสติไปแล้ว!”
หม่าเทียนซานร้องออกมา ในมือปรากฏอาวุธชั้นจิตวิญญาณ ส่งประกายคมดาบมืดหม่นยาวหนึ่งหลาออกไป มันขยายออกเป็นนับสิบหลาราวคลื่นแม่น้ำ หนาแน่นไม่เจือจาง ขยับวูบไหวขึ้นลง
ทันใดนั้น ปักษาหิมะคำรามกับคมดาบคลื่นแม่น้ำก็ได้ปะทะกันอย่างรุนแรง
คลื่นกระแทกน่าพรั่นพรึงกระจายออกในระยะหนึ่งถึงสองลี้รอบด้าน
คลื่นกระแทกจากการประลองของทั้งสองนั้นสามารถทำลายหมู่บ้านเล็กๆ หมู่บ้านหนึ่งได้
เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายด้านล่างต่างมองไปด้วยความหวาดกลัวและชื่นชม
ผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ทั่วไปหากไปอยู่ใกล้การต่อสู้ของทั้งสองย่อมถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นเนื้อ
“พลังของขั้นผู้วิเศษแท้นั้นทรงพลังโดยแท้ ขอบเขตจิตวิญญาณของข้าสามารถเทียบกับขั้นผู้วิเศษแท้ได้ การก่อสร้าง ‘หน่อสำนึกรู้’ นั้น อืม… ตามทฤษฎีทำได้!”
จ้าวเฟิงทอดถอนใจกับความแข็งแกร่งของพวกปิงฉุ่ยเยว่ทั้งสองเป็นอย่างแรก จากนั้นจึงค้นพบสิ่งที่น่าประหลาดใจ ขอบเขตจิตวิญญาณของตนเองสามารถเทียบกับขั้นผู้วิเศษแท้ได้
ยอดฝีมือขั้นผู้วิเศษแท้นั้น นอกจากปราณจิตวิญญาณจะแข็งแกร่งและมีปริมาณมากกว่าขั้นมนุษย์แท้แล้ว สิ่งที่แตกต่างมากที่สุดไม่ใช่กายเนื้อ ทว่าเป็นขอบเขตจิตวิญญาณ
‘ขั้นผู้วิเศษแท้’ มีลักษณะโดดเด่น ซึ่งก็คือการทำความเข้าใจและก่อ ‘หน่อสำนึกรู้’ ของตนเองขึ้นจากฟ้าดิน
กล่าวได้ว่าขอบเขตเจตจำนงได้ให้กำเนิดเมล็ดพันธุ์ขึ้น เกิดการสร้างหน่อสำนึกรู้เชื่อมต่อไปยังสวรรค์
เมล็ดแห่งขอบเขตเจตจำนงนี้ก็คือแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณ!
เพราะแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณเป็นพื้นฐานของการฝึกฝนขอบเขตเจตจำนง ความเข้าใจในการฝึกตนหลอมรวมเข้ากับลักษณะของไอสวรรค์ หลอมรวมเป็นแหล่งกำเนิดในร่างกาย
ตามทฤษฎีเอ่ยว่าตราบเท่าที่ขอบเขตเจตจำนงสูงมากพอ สามารถสร้างเมล็ดแหล่งกำเนิดนี้ขึ้นได้ เพื่อเชื่อมสู่ความลับสวรรค์อันลึกล้ำ เกิดเป็น ‘หน่อสำนึกรู้’
ทันใดนั้น!
ความคิดที่น่าหวาดกลัวและแผนการที่น่าตื่นตะลึงก็ได้ปรากฏขึ้นในใจของจ้าวเฟิง
“มีเวลาเพียงสิบวัน จะสำเร็จหรือไม่?”
“หากสำเร็จ อย่างน้อยข้าก็จะมีพลังฝึกตนเทียบเท่ากับขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำเป็นอย่างน้อย ในยามนั้น แม้จะเป็นสิบอันดับแรกของงานชุมนุมเซียนมังกรก็ยังมีโอกาสในระดับหนึ่ง กระทั่งมีโอกาสที่จะต่อสู้กับห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ได้สักหนึ่งหรือสองกระบวนท่า”
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึกอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านขึ้นเล็กๆ
ตามทฤษฎีแล้ว แผนการของเขามีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ
จุดสำคัญคือก่อนที่จ้าวเฟิงจะเข้าสู่การประลองครั้งสำคัญ เขาจะสามารถสร้าง ‘หน่อสำนึกรู้’ ของตนเองขึ้นได้หรือไม่
เปรี้ยง เปรี้ยง ตูม
บนลานประลองเหนือปรากฏเสียงระเบิดรุนแรงขึ้น เห็นเพียงเงาภูเขาน้ำแข็งเป็นชั้นๆ ที่ส่งพลังความเย็นอันน่าพรั่นพรึงออกมา แตกสลายท่วมร่างของหม่าเทียนซาน
เปรี้ยง!
หม่าเทียนซานร้องเสียงก้องไปทั่วลานประลองเหนือ แทบจะกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง ร่างกายสั่นสะท้านไม่หยุด ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง “หลังจากที่เจ้าทะลวงเข้าสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ไม่นาน ทว่าหน่อสำนึกรู้ของเจ้ากลับเทียบได้กับขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำได้ วิชาพลังสายเลือดเองก็ลึกล้ำยิ่งนัก! เจ้าต้องได้รับแก่นแท้ของ ‘มรดกฉวนปิง’ บางส่วนมาแน่ๆ…”