บทที่ 380 : ตัวเลือก
งานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้ได้ต้อนรับช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ลานประลองชางกู่ที่แสนลึกลับ ภายใต้วาสนามังกรจำนวนมากและจิตต่อสู้ที่กระตุ้นได้ส่งพลังที่ลึกล้ำอย่างน่าเหลือเชื่อออกมา
ตำนานได้เล่าขาน เหล่าเทพเทวาที่พ่ายแพ้ร่วงหล่น บางทีเจตจำนงอาจข้ามผ่านกาลเวลา ส่งต่อไปยังเหล่ายอดอัจฉริยะดาราทั้งหลายในช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้!
บนแท่นสูง ผู้สูงศักดิ์ทั้งเก้าจิตใจสั่นสะท้าน ดวงตาส่องประกายความตกใจและตื่นเต้นออกมา
ในยามนี้
พวกเขามองไปยังภูเขารูปปั้นศิลารอบลานประลองชางกู่ด้วยความหวาดกลัว
รูปปั้นศิลาขนาดยักษ์ ส่วนมากสูงหลายสิบหลา บ้างก็สูงหลายร้อยหลา รูปปั้นแต่รูปแล้วกับมีชีวิต ส่งกลิ่นอายสูงส่งไร้ที่สิ้นสุด ทั้งมีรูปลักษณ์เป็นอสูร มนุษย์ และสัตว์ประหลาด มีรูปแบบแปลกประหลาด ภายในมีพลังที่ส่งต่อมาจากโบราณกาล ราวกับว่ากำลังมีเทพเซียนปีศาจกำลังจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวในลานประลองชางกู่
‘รูปปั้นศิลาครองสวรรค์’ ที่สูงที่สุดทั้งสิบมีความสูงหลายร้อยหลา กระทั่งสูงเกือบหนึ่งพันหลา ราวกับยืนเคียงข้างสรวงสวรรค์ ยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด สีหน้าหลากหลาย บ้างก็หงุดหงิด บ้างก็เรียบเฉ บ้างก็แย้มยิ้มชั่วร้าย… ราวกับกำลังบอกเล่าถึงเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ที่ขาดหายด้วยกัน
รูปปั้นศิลาโบราณนับหมื่นเหล่านี้ได้สร้าง ‘ภูเขารูปปั้นศิลา’ ขึ้นรอบลานประลองชางกู่ ส่งผลต่อความคิดจิตใจ
“รูปปั้นศิลาพวกนี้ล้วนเป็นตัวตนแห่งโบราณกาลที่แข็งแกร่ง บ้างกระทั่งเป็นเทพโบราณในอดีตกาล บางทีแม้ผู้เป็นเจ้าของจะร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า ทว่าเจตจำนงไม่จางหายไป ยังคงหลงเหลืออยู่ท่ามกลางฟ้าดิน”
“เหล่าตัวตนที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้นมีพลังวิเศษมากมายลึกล้ำไม่อาจคาดวัด เจตจำนงที่ไม่อาจมองเห็นไม่จางหาย ข้ามผ่านกาลเวลาด้วยค่ายกลของลานประลองชางกู่มา”
ผู้สูงศักดิ์หลายคนเกิดความหวาดกลัวข้นในใจ
ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นศิลารูปใดในภูเขารูปปั้นศิลาต่างก็เป็นตัวแทนของตัวตนที่กลับกลายเป็นตำนานในปัจจุบัน
ในยามนี้
รูปปั้นศิลาจำนวนมาก ราวๆ หนึ่งร้อยรูปได้ส่องแสงสว่างจ้า หรือบ้างก็ปรากฏแสงสั่นไหวเป็นระลอก
ทว่า
‘รูปปั้นศิลาครองสวรรค์’ ที่สูงที่สุดทั้งสิบยังคงมืดหม่นอยู่เช่นก่อนหน้า อย่างน้อยก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรมากนัก
“รูปปั้นศิลาครองสวรรค์ทั้งสิบนั่นคงจะมาจากยุคโบราณที่ห่างไกลยิ่งกว่า บางทีอาจเป็นเทพเซียนจากยุคบรรพกาล ทว่าหลังจากมหาสงครามบรรพกาล ทวีปอันกว้างใหญ่ก็ได้แตกเป็นเสี่ยงๆ จากพายุแห่งการทำลายล้าง จบสิ้นยุคสมัยแห่งเทพบรรพกาล…”
ผู้สูงศักดิ์หยูซิงเฉินจับจ้องไปยังรูปปั้นศิลาครองสวรรค์ทั้งสิบ นัยน์ตาปรากฏความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้น
รูปปั้นศิลาครองสวรรค์ยืนเคียงข้างฟ้าดิน พลังวิเศษมหาศาล
บางทีอัจฉริยะในลานประลองชางกู่อาจไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะทำให้พวกเขามา
ลานประลองลอยฟ้า
อัจฉริยะจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ได้ครอบครองพลังที่ข้ามผ่านกาลเวลา ขวัญกำลังใจฮึกเหิม บนใบหน้าได้ปรากฏความเข้าใจชัดเจนขึ้นหลายส่วน
อัจฉริยะจำนวนมากพลังสายเลือดได้ถูกกระตุ้น ตัวอย่างเช่นหวังเสี่ยวก้วย
พลังสายเลือดได้กลับกลายเป็นบริสุทธิ์โบราณมากยิ่งขึ้น มีโอกาสที่จะตอบสนองต่อเจตจำนงโบราณ
“เป็นเช่นนี้เอง”
จ้าวเฟิงรับรู้ได้ถึงความคิดที่ไม่อาจมองเห็นสองสามส่วนจากรูปปั้นศิลาสามรูปในภูเขารูปปั้นศิลา
หนึ่งคือราชาอสรพิษสามเศียรที่สูงมากกว่าหนึ่งร้อยหลาลอยอยู่เหนือเมฆ นัยน์ตาเย็นเยียบของอสรพิษส่องแสงสีม่วงออกมา มีความโหดเหี้ยมทรงอำนาจ
สองคือเทพสงครามในชุดเกราะโบราณที่สูงมากกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบหลา รอบกายปรากฏวงกระแสไฟฟ้า ในมือถือค้อนสายฟ้า ประกายสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนส่องประกายออกจากท้องฟ้า
สามคือเทพธิดาหิมะ ยืนอยู่บนแท่นบัวน้ำแข็ง เรือนผมสีดำพลิ้วไหวในอากาศ รอบกายเต็มไปด้วยสายลมที่พัดพาความเย็นและหิมะมา
แน่นอนว่า รูปปั้นศิลาทั้งสามได้มีเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลามา เมื่อเทียบกับที่อัจฉริยะส่วนมากได้รับแล้วยังแข็งแกร่งกว่ามาก
จ้าวเฟิงสามารถได้รับการตอบสนองของเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลามาสามอันพร้อมกัน แสดงให้เห็นถึงความนิยมอย่างชัดเจน
ตามการสำรวจของดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิง ระดับความนิยมนั้นได้รับผลจากความแข็งแกร่งของสายเลือดและวาสนามังกร
ตัวอย่างเช่นหยุเทียนฮ่าวที่ได้รับเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลาพร้อมเพรียงกันถึง 5 รูปปั้นที่พยายามพูดคุยด้วย
ชื่อเฉิงเทียนและจ้าวเฟิงเหมือนกัน ได้รับการยอมรับจากเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลานี้ทั้งหมดสามรูปปั้น
ตันไถ่หลันเยว่และปิงเว่ยเซียนจื่อได้สอง
อัจฉริยะคนอื่นๆ ได้รับเจตจำนงจากรูปปั้นเพียงหนึ่งรูปเท่านั้น บ้างกระทั่งไม่ได้รับเลยในระยะเวลาสั้นๆ
แน่นอนว่าสิ่งที่ไม่อาจมองเห็นนี้ ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงสามารถรับรู้ได้ อัจฉริยะคนอื่นๆ เช่นหยูเทียนฮ่าวและซินอู๋เหินพอรับรู้อยู่บ้าง
“เลือกตัวไหนดี”
จ้าวเฟิงยังไม่ตัดสินใจชั่วคราว
ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้คนอื่นๆ เองส่วนมากก็ยังไม่ได้เลือก
เป็นเพราะกลิ่นอายของภูเขารูปปั้นศิลานั้นได้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลาได้ตื่นขึ้นเรื่อยๆ
เบื้องหลังของชื่อเฉิงเทียนพลันปรากฏเงา ‘รูปมังกร’ สูงสองร้อยหลาขึ้น ท่าทียิ่งใหญ่น่าหวาดกลัว พลันสร้างแรงกดดันให้แก่เงาที่ข้ามผ่านกาลเวลาอื่นๆ จำนวนมาก
“เป็นเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลาที่แข็งแกร่งนัก”
จ้าวเฟิงที่อยู่ห่างออกไปรู้สึกว่าร่างกายทรุดลง ลมหายใจติดขัด ราวกับกลับกลายเป้นมดปลวกที่เผชิญหน้ากับสัตว์อสูรยักษ์
หลังจากที่ได้ครอบครองพลังที่ข้ามผ่านกาลเวลามาของรูปปั้น พลังต่อสู้ของอัจฉริยะก็ได้เพิ่มสูงขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ พลังสายเลือดหลายคนถูกกระตุ้น กระทั่งทะลวงขั้นผ่านขอบเขตบางอย่าง
ตัวอย่างเช่น ‘หวังเสี่ยวก้วย’ ที่จ้าวเฟิงรู้จักพลังสายเลือดก็ถูกกระตุ้น ขอบเขตจิตวิญญาณและปราณจิตวิญญาณข้ามขั้นไปสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ ขาดเพียงการสร้างหน่อสำนึกรู้เท่านั้น
เบื้องหลังหลิวฉินซินคือเงาของสาวงามที่ถือพิณหยก
ทั่วทั้งร่างของนางได้ส่งเสียงเพลงพิณโบราณไพเราะออกมาอย่างแผ่วเบา กลิ่นอายเจตจำนงลึกล้ำได้เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
“พลังของศาสตร์แห่งสำเนียงพิณ ช่วยสร้างต้นอ่อนของหน่อสำนึกรู้ให้นางโดยตรง”
จ้าวเฟิงลอบชะงักไปเล็กๆ
การพัฒนาเช่นนี้ บนลานประลองลอยฟ้าได้ปรากฏขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดคือการที่พลังสายเลือดถูกกระตุ้น หรือการที่แก่นแท้วิชาได้ก้าวหน้า
“ฮ่า… พลังของรูปปั้นมังกรโบราณ”
ชื่อเฉิงเทียนส่งเสียงตวาดดังลั่น พลังกล้ามเนื้อพลุ่งพล่าน เบื้องหลังมีเงารูปปั้นมังกรที่ใหญ่โตราวภูเขา ทำให้เขาสามารถทำความเข้าใจใน ‘พลังรูปปั้นมังกร’ ในระดับที่ลึกขึ้นอีกหนึ่งขั้นได้
ในระยะเวลาสั้นๆ พลังกายของชื่อเฉิงเทียนได้เพิ่มขึ้นราวๆ หนึ่งเท่า
รอบกายของเขาราวกับปรากฏสนามพลังที่มองไม่เห็นขึ้นรอบด้าน เงารูปปั้นมังกรได้คำรามออกมา ทำให้อัจฉริยะที่อยู่ใกล้เคียงจำนวนมากต้องกระเด็นลอยกระอักเลือดออกมา
กระทั่งตันไถ่หลันเยว่และปิงเว่ยเซียนจื่อยังรักษาระยะห่างกับชื่อเฉิงเทียนเอาไว้
พลังในยามนี้ของชื่อเฉิงเทียนได้เหนือกว่าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้คนอื่นๆ แล้ว กระทั่งสามารถใช้หนึ่งหมัดในการส่งร่างของผู้ถูกเลือกในระดับเดียวกันให้กระเด็นลอยออกไปได้
ทันใดนั้น
เงาที่ข้ามผ่านกาลเวลามาจำนวนมากได้มาถึงยังร่างของอัจฉริยะเซียนมังกร กลิ่นอายวาสนามังกรบนลานประลองชางกู่กระทั่งทรงพลังยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เงาที่ข้ามผ่านกาลเวลามาเหล่านั้นจะดูดกลืนวาสนามังกรและหลอมรวมเข้ากับร่างของผู้เป็นเจ้าของทดแทนซึ่งกันและกัน
หลังจากที่ชื่อเฉิงเทียน ตันไถ่หลันเยว่ และปิงเว่ยเซียนจื่อได้เลือกเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลาของรูปปั้นศิลามาได้สำเร็จ พลังก็ได้เพิ่มขึ้นสู่ระดับใหม่โดยสิ้นเชิง
ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ เมื่อได้ครอบครองเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลามา พลังต่อสู้ก็เหนือกว่าขั้นนายเหนือแท้ไป
“เป็นช่วงเวลาที่บ้าคลั่งอันใดเช่นนี้ การรวมร่างกับเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลาเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ทว่าอัจฉริยะเซียนมังกรเหล่านี้ย่อมมีความพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก”
“งานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้นับว่าสั่นฟ้าสะเทือนดินโดนแท้ อัจฉริยะกลุ่มนี้ย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาของทวีปในอนาคตได้อย่างแน่นอน”
ผู้สูงศักดิ์บนแท่นสูงรู้สึกสะเทือนใจขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
“ยอดอัจฉริยะจำนวนมากยังไม่ได้รับเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลา”
ผู้สูงศักดิ์ปี้เยว่เอ่ยเสียงแผ่ว
บนลานประลองลอยฟ้า อัจฉริยะเช่นหยูเทียนฮ่าว จ้าวเฟิง และกระทั่งซินอู๋เหิน จ้าวหยูเฟ่ย และอัจฉริยะอีกจำนวนหนึ่งยังไม่ได้ครอบครองเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลา
หยูเทียนฮ่าว จ้าวเฟิง และจ้าวหยูเฟ่ยได้มีเจตจำนงพยายามเชื่อมต่อด้วยจำนวนมาก
สำหรับพวกเขา เจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลาเหล่านั้นไม่ใช่อันใดนอกจากตัวเลือก
“แปลกนัก ซินอุ๋เหินได้รับการเชื่อมต่อจากเจตจำนงเดียว เหตุใดเขาจึงยังไม่เลือกกัน?”
จ้าวเฟิงมองไปยังซินอู๋เหินที่อยู่ห่างออกไปครั้งหนึ่ง
เขาคิดว่าซินอู๋เหินต้องรู้ความลับบางอย่างมากกว่านี้
หยูเทียนฮ่าวและจ้าวหยูเฟ่ยได้รับการเชื่อมต่อของเจตจำนงมากถึง 4-5 อัน
หยูเทียนฮ่าวคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งของทวีป วาสนามังกรมีมากเป็นอันดับหนึ่ง
ทว่าจ้าวหยูเฟ่ยเมื่อเทียบกับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้แล้วยังห่างไกล แต่จำนวนของเจตจำนงที่พยายามเชื่อมต่อนั้นกลับมากเท่ากับหยุเทียนฮ่าว
“อย่าได้บอกข้าเชียวว่าพลังสายเลือดของจ้าวหยูเฟ่ยนั้นเหนือกว่าหยุเทียนฮ่าว”
จ้าวเฟิงลอบตกใจอยู่ในใจ
จากนั้น
จ้าวเฟิงจึงเริ่มสังเกตซินอู๋เหิน
ซินอู๋เหินไม่ให้ความสนใจกับเจตจำนงที่พยายามเชื่อมต่อกับเขา นัยน์ตาของเขาส่องประกายแปลกประหลาด สำนึกที่ไม่อาจามองเห็นได้แผ่ขยายออก เชื่อมต่อกับรูปปั้นศิลาครองสวรรค์ที่สูงที่สุดทั้งสิบ
รูปปั้นศิลาครองสวรรค์ที่สูงที่สุดทั้งสิบยิ่งใหญ่ที่สุดในภูเขารูปปั้นศิลา เหนือกว่าธรรมดา
รูปปั้นศิลาครองสวรรค์เหล่านี้โดยปกติแล้วจะหม่นแสง ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
ซินอู๋เหินเริ่มจากรูปปั้นที่สูง 990 หลาที่นับว่าสูงที่สุด ทว่ามันไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
รูปปั้นที่สองที่สูงกว่า 900 หลาก็ไม่มีการตอบสนอง
รูปปั้นที่สามที่สูงกว่า 900 หลาก็ยังไม่มีการตอบสนอง
รูปปั้นศิลาครองสวรรค์เหล่านี้ยังคงเงียบงัน ราวกับไม่มีกลิ่นอายใดๆ หลงเหลือ
ทว่าดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงสามารถรับรู้ได้ถึงพลังที่ไม่อาจมองเห็นได้เจือจางจากพวกมัน
หรืออีกนัยหนึ่ง รูปปั้นศิลาครองสวรรค์ทั้งสิบนั้นไม่ใช่ว่าไม่สามารถส่งเจตจำนงข้ามผ่านกาลเวลา เพียงแต่พวกเขาไม่ต้องการ อย่างน้อยก็จะไม่มาด้วยตนเอง
“รูปปั้นศิลาครองสวรรค์เหล่านี้จะไม่ส่งเจตจำนงข้ามผ่านกาลเวลามาด้วยตนเอง ดังนั้นซินอู๋เหินจึงต้องลงมือ”
นัยน์ตาของจ้าวเฟิงส่องประกายสว่างจ้า
แต่ซินอุ๋เหินจะทำได้สำเร็จหรือ?
กระทั่งถึงรูปปั้นศิลาครองสวรรค์รูปที่ห้า ซินอู๋เหินก็ยังทำไม่สำเร็จ
รูปปั้นศิลาครองสวรรค์เหล่านี้เย่อหยิ่งยิ่งนัก สายตาสูงส่ง แม้จะเป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้อันดับหนึ่ง พวกเขาก็อาจจะไม่แม้แต่ชายตามอง อย่างน้อยก็จะไม่ส่งเจตจำนงข้ามผ่านกาลเวลามาด้วยตนเอง
“ในเมื่อมีเจตจำนงข้ามผ่านกาลเวลา พวกเขาย่อมสามารถมาได้ เพียงแต่ต้องการหรือไม่เท่านั้น บางทีพวกเขาอาจมีเป้าหมายที่ให้ความสำคัญ แต่ไม่ต้องการลดตัวลงมาเชื้อเชิญด้วยตนเอง”
ในใจของจ้าวเฟิงปรากฏความตื่นเต้นขึ้น นัยน์ตาพลันส่องประกายวาบ
ในยามนี้ หยูเทียนฮ่าวและจ้าวหยูเฟ่ยได้ครอบครองเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลาที่สูงกว่าสองถึงสามร้อยหลาเรียบร้อยแล้ว เหนือกว่าของชื่อเฉิงเทียนและผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ
ด้วยความเย่อหยิ่งของหยูเทียนฮ่าวย่อมไม่สามารถคิดได้ว่ารูปปั้นศิลาครองสวรรค์ที่ใหญ่ที่สุดทั้งสิบ ตัวเขาต้องเป็นฝ่ายไปเชื้อเชิญจึงอาจจะมา
เหตุผลที่เขาเฝ้ารอจนถึงยามนี้นั้นเป็นเพราะต้องการรอให้เจตจำนงของรูปปั้นศิลาครองสวรรค์เหล่านั้นมาถึงด้วยตนเอง แต่พวกมันกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
สำหรับจ้าวหยูเฟ่ย นางไม่ได้มีเจตจำนงแห่งการฝึกตนที่แข็งแกร่งเช่นหยูเทียนฮ่าว ไม่มีดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิง ย่อมขาดความเข้าใจในเรื่องระดับนี้
ทว่าในอีกด้านหนึ่ง
เจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลาที่จ้าวหยูเฟ่ยและหยูเทียนฮ่าวได้รับ เมื่อเทียบกับอัจฉริยะคนอื่นๆ แล้วนับว่าแข็งแกร่งกว่า
เมื่อจ้าวหยูเฟ่ยและหยุเทียนฮ่าวเลือกเจตจำนงของตนเองแล้ว รูปปั้นศิลาครองสวรรค์ทั้งสิบก็ได้หม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด ปรากฏเสียงถอนหายใจแผ่วเบาขึ้นอย่างไร้ที่มา เจตจำนงค่อยๆ สลายหายไป
หยูเทียนฮ่าวพลันรับรู้ขึ้นได้ สีหน้าเปลี่ยนแปลงไป ทว่าไม่รู้สึกเสียใจ
ด้วยเขาที่มีความตั้งมั่นในการฝึกตนที่สูงส่งไร้ผู้เทียบเคียง สายตาจึงสูงส่งมากเกินไป อาจพลาดโอกาสบางครั้งได้บ้าง
“ซินอู๋เหินจะทำได้สำเร็จหรือไม่?”
จ้าวเฟิงพบว่าซินอู๋เหินได้พยายามสื่อสารกับรูปปั้นศิลาครองสวรรค์ทั้งสิบอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ว่าจะล้มเหลวสักกี่ครั้ง สีหน้าของเขาก็ยังคงเรียบเฉยต่อการได้รับและสูญเสียของตนเอง
จากการวิเคราะห์ของจ้าวเฟิง โอกาสสำเร็จของซินอู๋เหินไม่สูงนัก
อย่างแรก เขาไม่มีพลังสายเลือดและพรสวรรค์ที่ทรงพลัง
สองคือวาสนามังกรของเขาด้อยกว่าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้
“ให้ข้าลอง”
จ้าวเฟิงตัดสินใจลองดู ส่งสำนึกบางส่วนไปพยายามเชื่อมต่อกับรูปปั้นศิลาครองสวรรค์ทั้งสิบ