Skip to content

King of Gods 474

King Of Gods

บทที่ 474 หยอกล้อเหล่ามาร

วินาทีที่จ้าวตำหนักโหยวหลงแหงนศีรษะขึ้นก็รู้สึกราวกับว่ามีดวงตาดวงหนึ่งกำลังจ้องมองมายังทุกการเคลื่อนไหวทุกการกระทำของเขาด้วยสายตาไร้ความรู้สึก

ทันใดนั้น

ท่ามกลางก้อนเมฆได้ปรากฏ ‘เนตรสวรรค์’ สีน้ำเงินส่องประกายระยับขึ้นให้เห็นเลือนราง ราวกับเงาใหญ่โตเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน

“นั่นมัน”

จ้าวตำหนักโหยวหลงผวาไป ผุดลุกขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง

“โหยวหลง เจ้าเป็นอันใด”

สีหน้าของหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยมืดทะมึนลง เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ

เขาเพียงแค่เอ่ยติเตียนจ้าวตำหนักโหยวหลงไป จึงนึกว่าอีกฝ่ายไม่ยอมรับและต้องการที่จะโต้แย้ง

ในตำหนัก ร่างหลายร่าง รวมทั้งจ้าวตำหนักศพโลหิต ผู้คุ้มครองโหยวม่อ และผู้คุ้มครองซานหลิงต่างก็มองไปยังจ้าวตำหนักโหยวหลงอย่างประหลาดใจ

อย่าได้บอกข้าเชียวว่าจ้าวตำหนักโหยวหลงจะโต้แย้งหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยจริงๆ?

ผู้คนลอบหลั่งเหงื่อเย็นเยียบแทนจ้าวตำหนักโหยวหลง

“หัวหน้าสาขา นี่เรื่องสำคัญ น่ากลัวว่าจ้าวเฟิงจะตามมาแล้ว ท่านรีบดูเร็ว”

จ้าวตำหนักโหยวหลงตวาดเสียงต่ำ ชี้มือไปยังด้านนอกของตำหนัก

ผู้คนแหงนศีรษะมองออกไปด้านนอก บนท้องนภาปรากฏแสงจันทร์มืดหม่น ไหนร่างของคนที่ว่ากัน?

ยอดฝีมือบางคนในที่นั้นกระทั่งใช้ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณค้นหาไปในระยะหลายลี้ โดยรอบ ทว่าไม่อาจรับรู้ถึงสิ่งใดได้

ร่างของสาวกลัทธิมารจันทราชาดหลายคนก็เผยสีหน้าเคลือบแคลงสงสัย มองไปยังจ้าวตำหนักโหยวหลง

“เหตุใดจึงไม่มี…”

ท่าทีของจ้าวตำหนักโหยวหลงราวกับเห็นผี

ในเสี้ยววินาที เนตรสวรรค์ที่อยู่ท่ามกลางหมู่เมฆนั้นก็หลบซ่อนหายไป ให้ความรู้สึกราวกับเข้าใจผิดไปเอง

“ทุกคนเชื่อข้าเถอะว่าเมื่อครู่ ข้าได้เห็นสายเลือดดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงที่ใช้วิธีการบางอย่างสอดแนมพวกเราอยู่”

จ้าวตำหนักโหยวหลงสูดลมหายใจลึก สีหน้าเคร่งเครียด เอ่ยอย่างจริงจัง

ด้วยระดับและประสบการณ์ของเขา การตัดสินใจย่อมมีความมั่นใจอย่างมาก

ร่างหลายร่างในตำหนักกึ่งเชื่อกึ่งไม่เชื่อ

“รองหัวหน้าสาขาโหยวหลง เจ้าบอกว่าไอ้เด็กจ้าวเฟิงนั่นกำลังสอดแนมพวกเราอยู่หรือ?”

ใบหน้าอ้วนท้วมมันเยิ้มของหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยแสยะยิ้มขึ้น

“สายเลือดดวงตาของเขาฝังแน่นในจิตใจของข้าอย่างลึกล้ำ ไม่มีทางเข้าใจผิดไปได้”

จ้าวตำหนักโหยวหลงจ้องมองไปยังท้องฟ้านอกตำหนักอย่างดื้อดึง น่าเสียดายที่เนตรสวรรค์นั้นไม่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

“ฮี่ฮี่ รองหัวหน้าสาขาโหยวหลง พวกเรามีคนมากมายเพียงนี้ในยามนี้ เหตุใดจึงเป็นท่านที่ค้นพบมันกันเล่า? อย่าได้บอกเชียวว่าประสาทสัมผัสพลังฝึกตนของท่านหัวหน้าสาขาด้อยกว่าท่าน? ผู้คุ้มครองโหยวม่อเองก็ยอดเยี่ยมในการใช้วิชาสื่อจิต ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณของนางนับว่าร้ายกาจที่สุดในหมู่พวกเรา”

บุรุษในชุดผ้าไหมสีขาว ‘ผู้คุ้มครองซานหลิง’ แย้มยิ้มเยือกเย็น

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้คนก็ตอบรับ

“หัวหน้าสาขาผู้นี้อยากจะเชื่อคำของเจ้ายิ่งนัก หากเด็กนั่นกล้าก้าวเข้ามาในกับดัก ข้าผู้นี้ย่อมคาดหวังยิ่งนัก เพียงแค่กลัวว่าเขาจะไม่กล้ามา ฮ่าฮ่าฮ่า…”

หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยแหงนศีรษะหัวเราะ แรงกดดันรุนแรงที่ไม่อาจมองเห็นทำให้เศษหินในตำหนักสั่นสะท้าน

ร่างหลายร่างในที่นั้นรู้สึกหวาดกลัว ต่างเอ่ยยกยอขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า

จ้าวตำหนักโหยวหลงนั่งลงอย่างหดหู่พร้อมถอนหายใจ

ผู้คนไม่เชื่อในคำของเขา จ้าวตำหนักโหยวหลงเองก็ไร้หนทาง

นอกจากนั้น ด้วยพลังอันแข็งแกร่งของยอดฝีมือแห่งลัทธิมารจันทราชาดเหล่านี้ ในแคว้นเมฆาก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องหวาดกลัวจริงๆ

“ถัดจากนี้สามวัน ผู้คุ้มครองโหยวม่อและผู้คุ้มครองซานหลิงนำคนอื่นๆ ไปจัดการสำนักจันทร์สลายให้เรียบร้อย ก่อนอื่นทำลายสำนักจันทร์สลาย จากนั้นจึงกวาดล้างพันธมิตรสังหารมังกรและพวกที่เหลือรอดคนอื่นๆ สำหรับโหยวหลงกับเชว่ พวกเจ้าบาดเจ็บ ทำหน้าที่นำกองกำลังเก็บกวาดภายหลัง…”

น้ำเสียงของหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยหนักแน่น ทรงพลังจนไม่อาจที่จะโต้แย้งได้

จ้าวตำหนักโหยวหลงไร้สีหน้า นิ่งเงียบเช่นเดิม

เขารู้สึกเสียใจ แหงนศีรษะขึ้นมองท้องฟ้านอกตำหนักอย่างไม่รู้ตัว

ทันใดนั้น

หัวใจของเขากระตุกวูบอีกครั้ง ส่งเสียงออกไปอย่างตะกุกตะกัก: “มาแล้ว”

ท่ามกลางแสงสลัวของยามราตรี เงาดวงตาขนาดยักษ์ได้ปรากฏขึ้นให้เห็นเลือนราง

เสียงพูดคุยในตำหนักเงียบลงในทันที ผู้คนนิ่งอึ้ง สายตามองออกไปด้านนอกอย่างพร้อมเพรียงกัน

“อันใดกัน?”

“รองหัวหน้าสาขาโหยวหลง ท่านเห็นผีหรืออย่างไร?”

ผู้คนในตำหนักเผยสีหน้าไม่พอใจออกมา

ท้องนภายามค่ำคืนนอกตำหนักยังคงเป็นปกติ

จ้าวตำหนักโหยวหลงแทบจะกระอักเลือดออกมา ในเสี้ยววินาทีนั้น ‘เนตรสวรรค์’ พลันจางหายไป ก่อนที่มันจะหายไป จ้าวตำหนักโหยวหลงยังรับรู้ได้ถึงท่าทีกลั่นแกล้งหยอกล้อของดวงตานั้น

“โหยวหลง เจ้ากำลังจงใจก่อกวนสินะ”

ใบหน้าของหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยเผยความโกรธเคืองออกมา หากเปลี่ยนเป็นสาวกระดับทั่วไปคนอื่นๆ เขาย่อมส่งฝ่ามือออกไปขยี้อีกฝ่ายแล้ว แม้มีร้อยปาก จ้าวตำหนักโหยวหลงก็ไร้ซึ่งหนทางอธิบาย สีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวแดง

“ต้องเป็นจ้าวเฟิงจงใจกลั่นแกล้งข้าเป็นแน่”

จ้าวตำหนักโหยวหลงลอบตัดสินใจ แม้ว่า ‘เนตรสวรรค์’ นั่นจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาก็จะไม่เอ่ยเตือน

นี่เป็นเหมือนเช่น ‘เด็กเลี้ยงแกะ’ คนเหล่านี้แน่นอนแล้วว่าจะไม่เชื่อจ้าวตำหนักโหยวหลงอีก

แน่นอนว่า

เมื่อผ่านไปชั่วครู่ ‘เนตรสวรรค์’ ได้ปรากฏขึ้นลางๆ ในมุมสูง

หัวใจของจ้าวตำหนักโหยวหลงหล่นวูบ รู้สึกได้ถึงแรงกดดันและความกระวนกระวายในหัวใจอย่างมาก แรงกดดันนี้มีเพียงแค่เขาที่สามารถรับรู้ได้

จ้าวตำหนักโหยวหลงส่งประสาทสัมผัสจิตวิญญาณออกไป สำรวจระยะโดยรอบหลายสิบลี้ ทว่าก็ต้องผิดหวังเมื่อไม่พบร่องรอยใดๆ ของจ้าวเฟิง

มันยากที่จะจินตนาการว่า ‘เนตรสวรรค์’ ที่อยู่ท่ามกลางท้องฟ้าหม่นมัวนั้นเป็นวิชาประเภทใด จ้าวตำหนักโหยวหลงไม่เชื่อว่าดวงตานั่นจะสามารถทำได้เพียงสอดแนมพวกเขาอย่างเรียบง่าย

ในตำหนัก

เมื่อเวลาผ่านไป สุดท้ายแล้วจึงมีบุคคลที่สองที่รับรู้การคงอยู่ของ ‘เนตรสวรรค์’

สตรีในชุดสีดำ ‘ผู้คุ้มครองโหยวม่อ’ รับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่ไร้ที่มา ราวกับว่ามีดวงตากำลังจ้องมองนางอยู่ในมุมมืด นางแหงนศีรษะขึ้นโดยไม่รู้ตัว มองไปยังท้องฟ้ายามราตรีนอกตำหนัก

ทว่า

การมองออกไปครั้งนี้ได้ทำให้นางตกลงสู่นรกอันไร้ก้นบึ้ง

‘เนตรสวรรค์’ ในสายตาส่งพลังจิตออกมาแทรกซึมเข้าไปในจิตใจ พลังที่ไม่อาจมองเห็นนั้นราวกับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับม่านความมืดของฟ้าดิน

“ไอ้เด็กเหลือขอผู้ใดกล้ามาสอดแนมนายเหนือผู้นี้”

ผู้คุ้มครองโหยวม่อตวาด สะบัดมือวูบ ประกายแสงสีราวน้ำหมึกพุ่งตรงไปยังคนในตำหนัก

ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ

แสงสีน้ำหมึกนั้นมีพลังกัดกร่อนที่น่าพรั่นพรึง ผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไป แม้สัมผัสเพียงหนึ่งหยดก็จะถูกกัดกร่อนจนตาย กลายเป็นกองเลือดกองหนึ่ง

“อ๊ากกกก”

ในตำหนักพลันปรากฏเสียงกรีดร้องโหยหวนขึ้น

ในฐานทัพของลัทธิมารจันทราชาดนี้ ยอดฝีมือระดับผู้คุ้มครองขึ้นไปมีเพียงน้อยนิด การลงมือครั้งนี้ของผู้คุ้มครองโหยวม่อได้ทำให้คนโดยลูกหลงบาดเจ็บไปกว่าสิบคน ตายคาที่ 5-6 คน

“ผู้คุ้มครองโหยวม่อ เจ้าเป็นอันใด?”

ผู้คุ้มครองซานหลิง ผู้คุ้มครองศพโลหิต และคนอื่นๆ ตื่นตะลึง

นัยน์ตาของผู้คุ้มครองโหยวม่อเผยประกายจิตสังหารเย็นเยียบ มือขาววาดในอากาศ ‘ฟึ่บ’ งูหลามสีดำยาวกว่าสองร้อยฟุตพลันกระโจนออกมา

เปรี้ยง

ตำหนักที่สาวกลัทธิมารจันทราชาดอยู่ถล่มลง พลังของค่ายกลไม่อาจที่จะต่อต้านพลังโจมตีของสัตว์ปีศาจตัวยักษ์ในขั้นนายเหนือแท้ตัวนี้ได้

“ไม่ดีแล้ว งูหลามยักษ์วารีทมิฬตัวนี้มีพลังเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้”

“เหตุใดผู้คุ้มครองโหยวม่อจึงลงมือกัน”

“อ๊ากกกก”

ผู้คุ้มครองโหยวม่อและงูหลามยักษ์วารีทมิฬร่วมมือกันโจมผีผู้คนภายในวิหาร

ฟึ่บ ฟึ่บ

สาวกจำนวนมากของลัทธิมารจันทราชาดหลบหนีออกไป

พลังของผู้คุ้มครองโหยวม่อและงูหลามยักษ์วารีทมิฬร่วมกันเทียบได้กับสองผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ ผู้คุ้มครองศพโลหิตและคนอื่นๆ หลบหนีไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่ากระต่ายตื่นตูม

“หึ คราวนี้ทุกคนเชื่อรึยังล่ะ”

จ้าวตำหนักโหยวหลงเค้นเสียง แหงนศีรษะมองขึ้นไปยังท้องฟ้ายามราตรี

“สวรรค์”

“ดวงตานั่น…”

สาวกลัทธิมารจันทราชาดหลายคนอุทานออกมา สูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไป

ยามที่เผชิญหน้ากับ ‘เนตรสวรรค์’ นั่นตรงๆ หัวใจของผู้คนก็สั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว

ครืนนน เปรี้ยง

ผู้คุ้มครองโหยวม่อและงูหลามยักษ์วารีทมิฬเสียสติบ้าคลั่ง จิตสังหารไหลทะลัก โจมตีไม่แบ่งแยกมิตรศัตรู

“จับนางไว้”

หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยคำรามเสียงต่ำ ในมือปรากฏ ‘ขวานเหล็ก’ ขนาดใหญ่ขึ้น ยาวกว่า 20-30 ฟุต เทียบได้กับบ้านหลังหนึ่ง

ขวานผ่านภา

ขวานเหล็กยักษ์สร้างคมแสงเย็นเยียบมุ่งตรงไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน แรงกดดันรุนแรงทำให้สาวกลัทธิมารจันทราชาดในระยะร้อยจ้างโดยรอบจิตใจร่างกายหนักอึ้ง ลมหายใจติตขัด

ฉัวะ

ร่างใหญ่โตราวภูเขาของงูหลามยักษ์วารีทมิฬถูกขวานของหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยหั่นเป็น สองส่วน เลือดสาดกระจาย

‘เปรี้ยง’ บริเวณนั้นหลงเหลือเพียงกองเลือดเนื้อกองหนึ่ง สาวกลัทธิมารจันทราชาดบริเวณนั้นอดที่จะหวาดกลัวไม่ได้ พลังมหาศาลของขวานนั้นของหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยน่าพรั่นพรึงเพียงนี้ งูหลามยักษ์วารีทมิฬที่มีพลังเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ยังถูกหั่นราวกับหั่นแตงกวา

ควรรู้ว่าสัตว์ปีศาจที่มีร่างกายใหญ่โตจะมีร่างกายที่แข็งแกร่งเกินกว่าปกติ ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ที่อยู่ในระดับเดียวกันแม้ว่าจะมีพลังต่อสู้แข็งแกร่งก็ต้องเสียแรงกำลัง ไปมาก

ตัวอย่างเช่น หอคอยพฤกษาปีศาจใน ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’

ทว่าหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยเป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญใน ‘อาวุธหนัก’ ทำให้ดูเหมือนว่าจะเป็นข้อยกเว้น

หลังจากผ่านไปหลายลมหายใจ

ความวุ่นวายเล็กๆ ผ่านพ้นไป ผู้คุ้มครองโหยวม่อถูกยอดฝีมือระดับสูงหลายคนร่วมมือกันจับตัว

ครั้งนี้หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยไม่ได้ลงมือ อาวุธหนักของเขามักจะพลั้งมือฆ่าคนอยู่เสมอ แรงคุกคามของงูหลามยักษ์วารีทมิฬมีมาก ทำให้เขาไม่สบายใจจนต้องลงขวานฆ่า

วิหารที่ผู้คนอยู่ถูกทำลายลงแล้ว

แสงมืดหม่นของยามค่ำคืนอาบไล้ร่างของสาวกลัทธิมารจันทราชาดที่เปิดโล่งไร้ซึ่งที่กำบัง ผู้คนในที่นั้น ตั้งแต่หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยไปจนถึงสาวกระดับสูงบางคนสีหน้าเต็มไปด้วยความอับอาย คนหลายคนรู้สึกกระวนกระวาย แหงนมองขึ้นไปยังท้องฟ้า

ทว่าในยามนี้

‘เนตรสวรรค์’ นั่นได้จางหายไปไร้ซึ่งร่องรอยแล้ว

“โหยวหลง ในเมื่อเจ้ารู้ว่าเด็กนั่นปรากฏตัว เหตุใดจึงไม่เตือนพวกเรา”

หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยเอ่ยขึ้นอย่างดุดัน

จ้าวตำหนักโหยวหลงแทบจะเสียสติ ตวาดออกมาเสียงต่ำ: “นายเหนือผู้นี้เตือนไปแล้วสองครั้ง เมื่อครู่มีพวกเจ้าคนใดเชื่อบ้าง ผู้ใดกันที่เอ่ยวาจาใหญ่โตว่าไม่หวาดกลัวเด็กนั่น”

“เจ้า…”

หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยโกรธเกรี้ยว ‘ขวานเหล็กยักษ์’ ในมือที่เต็มไปด้วยรอยเลือดเกรอะกรังและกลิ่นสนิมถูกยกขึ้นสูง

“หัวหน้าสาขาโปรดระงับโทสะ”

ผู้คุ้มครองซานหลิง ผู้คุ้มครองศพโลหิต และคนอื่นๆ สีหน้าแปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง

“หัวหน้าสาขา ยามนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกัน สายเลือดดวงตาของเด็กนั่นเชี่ยวชาญในการค้นหาช่องว่างของจิตใจ เหมือนเช่นผู้คุ้มครองโหยวม่อเมื่อครู่”

จ้าวตำหนักศพโลหิตเอ่ยเตือนอย่างเร่งรีบ

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้คนก็จิตใจหนาวเยือก

สภาพของผู้คุ้มครองโหยวม่อ ทุกคนล้วนเห็นด้วยตาตนเองเมื่อครู่

ในบรรดาคนทั้งหมด ผู้คุ้มครองโหยวม่อยอดเยี่ยมในวิชาพลังจิต ควบคุมวิญญาณสัตว์ปีศาจ สุดท้ายแล้ว ยอดฝีมือในด้านนี้กลับถูก ‘เนตรสวรรค์’ ควบคุมส่งผลอย่างคาดไม่ถึง

“พลิกแผ่นดินค้นหาเด็กนั่นมาให้ข้า”

ดวงตาใหญ่โตราวระฆังทองแดงทั้งสองของหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยส่องประกายอันตราย เสียงคำรามต่ำสั่นสะท้านไปทั่วระยะหลายสิบลี้ เสียงรอบด้านพลันเงียบงันลง

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม คนของลัทธิมารจันทราชาดค้นหาไปในระยะร้อยลี้รอบด้าน ทว่าสุดท้ายแล้วแม้แต่กลิ่นอายที่ผิดปกติก็ไม่อาจค้นพบ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!