Skip to content

King of Gods 480

King Of Gods

บทที่ 480 เจ้าหอโครงกระดูก

เปรี้ยะ เงาของ ‘ปีกวายุอัสนี’ บนแผ่นหลังของจ้าวเฟิงส่องสว่างอย่างอ่อนโยน ปรากฏคลื่นวายุอัสนีสั่นกระเพื่อมอย่างน่าตื่นตะลึง เสียงฟ้าคำรามและสายลมพัดหวิวดังขึ้น กลิ่นอายพลังที่สั่นสะท้านนั้นกระทั่งแพร่กระจายไปทั่วโถงหลัก ไอสวรรค์วายุอัสนีในฟ้าดินตอบสนองอย่างรุนแรง

ในยามนี้ ‘ปีกวายุอัสนี’ ที่ปรากฏขึ้นบนหลังของจ้าวเฟิงดูจะเสถียรกว่าครั้งก่อนมากนัก

“บัดนี้ข้าสร้างปีกแห่งวายุอัสนีขึ้นได้แล้ว ทว่ามันเป็นเพียงแค่ขั้นแรกเริ่ม ในยามนี้ทำได้เพียงแค่ช่วยเหลือในการบิน ในอนุสรณ์วายุอัสนีโบราณ ปีกวายอัสนีนี้ไม่เพียงแค่สามารถสนับสนุนการบิน ทว่ายังใช้พลังสายฟ้าจู่โจมได้ กระทั่งมีพลังที่ราวกับตำนานอย่างบินไปหมื่นลี้ในเสี้ยววินาที หรือการทะลุมิติข้ามไปยังต่างแดน…”

ใบหน้าของจ้าวเฟิงเผยความคาดหวังออกมา

ในสมองของเขา ‘อนุสรณ์วายุอัสนี’ มีรายละเอียดมากมายมหาศาลราวมหาสมุทร นับได้ว่าเป็นโลกอีกใบหนึ่ง ทว่าความเข้าใจในมรดก ‘อนุสรณ์วายุอัสนี’ ของจ้าวเฟิงมีเพียงแค่หนึ่งในร้อยส่วนเท่านั้น

ในจุดตันเถียน ใจกลางแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณมักจะปรากฏ ‘ประกายแสงสีม่วง’ ที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงวายุอัสนี พลังของมันพัฒนาขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน

วายุอัสนีไร้สี วายุอัสนีสีเขียว วายุอัสนีสีม่วง วายุอัสนีสีแดง และวายุอัสนีสีทอง… นี่คือพลังวายุอัสนีที่อนุสรณ์วายุอัสนีได้กล่าวเอาไว้ว่าสามารถพัฒนาไปได้

เป็นเพราะ ‘ฝ่ามือวายุอัสนี’ และ ‘มรดกอัสนี’ ก่อนหน้าทำให้การฝึกฝนวายุอัสนีสีเขียวของจ้าวเฟิงได้เข้าสู่จุดสูงสุด

ในยามนี้

ด้านนอกโถงหลักได้ปรากฏเสียงหนึ่งขึ้น: “หัวหน้าสาขาจ้าว เมื่อใดกันที่พวกเราจะกลับไปยังอาณาจักรนภา?”

การใช้ ‘ปีกวายุอัสนี’ ของจ้าวเฟิง กลิ่นอายของมันได้ทำให้ผู้ที่อยู่ด้านนอกรับรู้

สีหน้าของจ้าวเฟิงไม่เปลี่ยนแปลง เก็บ ‘ปีกวายุอัสนี’ บนแผ่นหลังไป

ฟึ่บ

ร่างของเด็กหนุ่มจางหายไปจากโถงหลัก

ด้านนอกโถงหลัก

หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรียืนอยู่เคียงข้างจ้าวเฟิง ใบหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง

“เจียงซานเฟิง เตี๋ยเย่ ข้าได้บอกพวกเจ้าแล้วว่าเมื่อข้าจัดการเรื่องในแคว้นเมฆาเสร็จจึงจะกลับไปยังอาณาจักรนภา”

จ้าวเฟิงเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง การปรากฏตัวของหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีผู้นี้ไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้แก่เขา

แต่เดิม ในระหว่างที่จ้าวเฟิงกำลังหลับลึก อัจฉริยะทั้งสองของลัทธิโลหะเลือดที่เข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรก็ได้เดินทางมายังสิบสามแคว้นและมาสอบถามสำนักจันทร์สลาย

ในงานชุมนุมเซียนมังกร ความสำเร็จของเจียงซานเฟิงและเตี๋ยเย่ยอดเยี่ยมเป็นพิเศษ ทั้งหมดนี้มีสาเหตุหลักมาจากงานชุมนุมเซียนมังกรรอบที่สองที่ได้จ้าวเฟิงคอยช่วยเหลือ ช่วยคนทั้งสองแย่งชิงตราคำสั่งเซียนมังกร ทำให้สามารถกลายเป็นหนึ่งใน ‘อัจฉริยะเซียนมังกรทั้งหนึ่งร้อย’ ได้ในที่สุด

หลายเดือนก่อน เจียงซานเฟิงและเตี๋ยเย่ได้ออกมาจากมรดกต่างแดน

แน่นอนว่า ‘มรดกต่างแดน’ ที่คนทั้งสองได้เข้าไปเป็นเพียงมรดกเล็กๆ ธรรมดาๆ แต่มีความปลอดภัยกว่ามากนัก

แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น เมื่อพวกเจียงซานเฟิงทั้งสองกลับมายังทวีป พลังฝึกตนของพวกเขาก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด นับว่าเพียงพอที่จะนับเป็นหนึ่งในยอดอัจฉริยะของทวีป

“หลังจากจบงานชุมนุมเซียนมังกร หัวหน้าสาขาจ้าวก็ขาดการติดต่อไป รองจ้าวลัทธิยังไม่ยอมแพ้ ยอมแลกเปลี่ยนหลายสิ่งไป ส่งคนออกไปค้นหาสอบถาม อำนาจของท่านในยามนี้อาจไม่สามารถเกิดขึ้นได้บ่อยนักในทวีป”

เจียงซานเฟิงฝืนยิ้ม

“ใช่แล้ว เรามายังแคว้นเมฆาเพียงลองเสี่ยงดวงดูเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ ไม่คิดว่าหัวหน้าสาขาจะอยู่ที่นี่จริงๆ ทว่าท่านอยู่ในช่วงหลับลึก หรือมิเช่นนั้นก็ปิดด่านฝึกตนตลอด ไม่สนใจพวกเรา”

เตี๋ยเย่แสดงสีหน้าอย่างคนไม่ได้รับความเป็นธรรม เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีราวกับเด็กเอาแต่ใจ

“ทำภารกิจให้สำเร็จ? รองจ้าวลัทธิช่างหัวแข็งนัก เขามั่นใจนักหรือว่าข้าจะไม่ตายอยู่ในมรดกต่างแดน?”

จ้าวเฟิงเอ่ยด้วยสีหน้าแปลกประหลาด

“ไม่แน่ใจนัก รองจ้าวลัทธิได้ไปขอคำแนะนำจากปราชญ์ลิ่วอู สำหรับเหตุผลนั้นอาจเป็นเพราะการชี้แนะของท่านปราชญ์”

นทั้งสองส่ายศีรษะเล็กๆ ในเรื่องนี้พวกเขาไม่แน่ใจนัก

ปราชญ์ลิ่วอู?

จ้าวเฟิงหรี่ตาลงเล็กน้อย ดวงตาเทพเจ้าราวกับรับรู้บางอย่างขึ้นได้ ยามที่อยู่ในอาณาจักรนภา เขาเคยได้ยินนามของ ‘ปราชญ์ลิ่วอู’ มามากกว่าหนึ่งครั้ง

ข้อมูลที่เขารู้ในยามนี้คือฉินหวางเฟยคือศิษย์ของปราชญ์ลิ่วอู

“สบายใจเถอะ ต่อให้พวกเจ้าไม่ร้องขอ ข้าก็จะกลับไปยังอาณาจักรนภา แต่ก่อนหน้านั้น อันตรายของแคว้นเมฆาจำต้องถูกกำจัดให้สิ้นซาก”

จ้าวเฟิงขัดจังหวะการบ่นของคนทั้งสอง

แคว้นเมฆา สำหรับผู้ที่มาจากอาณาจักรนภาทั้งสองไม่ต่างจากบ้านนอกเท่าใดนัก ทรัพยากรที่นี่นับว่าขาดแคลน ไอสวรรค์บางเบา ประสิทธิภาพในการฝึกตนด้อยกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างอาณาจักร

เจียงซานเฟิงและเตี๋ยเย่ไม่ต้องการเสียเวลาอยู่ที่นี่

ผ่านไปสองวัน

แคว้นใหญ่มังกรโลหะ ในทะเลทรายรกร้าง

ปราสาทใหญ่โตเก่าแก่ตั้งตระหง่านอยู่บนผืนทรายสีเหลือง มีหมอกสีดำหม่นโอบล้อม ไม่เพียงไม่จางลง ทว่ายังหนาแน่นขึ้น ทั้งยังมีกลิ่นอายชั่วร้ายในบรรยากาศอย่างชัดเจน

เบื้องหน้าปราสาทเก่าแก่นั้นคือโครงกระดูกที่กองสุมกัน

ค่ายพันธมิตรสังหารมังกร ยอดฝีมือหลายพันคนได้โอบล้อมปราสาทเก่าแก่นั้นเอาไว้ แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ฝ่ายพันธมิตรสังหารมังกรก็ยังคงไม่รู้สึกถึงโอกาสสำเร็จหรือความปลอดภัยแต่อย่างใด

เช้ง

คมดาบสีขาวบางเบาราวใยไหมส่องสว่างโรจน์จำนวนมากตัดผ่านหมอกสีหม่นรอบปราสาทเก่าแก่เข้าไป บริเวณที่เต็มไปด้วยหมอกพลันแยกออก จางหายสลายไปเสียส่วนมาก

บนท้องฟ้า ชางหยูเยว่และผู้อาวุโสไป๋เริ่มโจมตี การโจมตีของยอดฝีมือดาบได้สร้างความสั่นสะเทือนให้แก่ ‘ค่ายกลกลืนหมื่นวิญญาณ’ ในระดับหนึ่ง

โดยเฉพาะการโจมตีของผู้อาวุโสไป๋ ทุกครั้งที่มือขาววาดออกจะปรากฏปราณดาบสีรุ้งที่สะท้านสะเทือนขึ้นไปถึงสวรรค์ขึ้น มองเห็นได้อย่างชัดเจนในระยะห่างไม่เกินสิบลี้

“ผู้อาวุโสไป๋ผู้นี้สมแล้วที่มาจากสำนักดาบอันดับหนึ่งของทวีปเหนือ หนึ่งดาบนับว่ามีพลังไร้เทียมทานในแคว้นเมฆาโดยแท้ บางทีในแคว้นเมฆาคงไม่มีผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้คนใดสามารถรับดาบของนางได้ตรงๆ”

คนระดับสูงของพันธมิตรสังหารมังกร รวมทั้งผู้เฒ่าซู่และคนอื่นๆ ล้วนชื่นชมนับถือผู้อาวุโสไป๋ อย่างน้อย ไม่ว่าผู้ใดที่เห็นภาพนั้นก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถต่อต้านหนึ่งดาบธรรมดาๆ ของผู้อาวุโสไป๋ได้

“ชางหยูเยว่นั่นเองก็น่าหวาดกลัว ได้ครอบครองมรดกเจ็ดดาบ เจตจำนงของศาสตร์แห่งดาบนับว่าน่าตื่นตะลึงนัก หนึ่งดาบอาจสามารถคร่าชีวิตของผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำได้”

“สตรีผู้นี้มีความสามารถที่ไม่อาจประเมินได้ ในอนาคตมีความเป็นไปได้ว่าจะอยู่ในระดับเดียวกับจอมดาบเย่อู๋เสี่ยในอดีต”

กลางเวหา

พลังที่ผู้อาวุโสไป๋และชางหยูเยว่แสดงออกมาได้ทำให้คนระดับสูงของพันธมิตรสังหารมังกรทำได้เพียงรู้สึกนับถือ ยากที่จะทำตามได้

ทว่า ‘ค่ายกลกลืนหมื่นวิญญาณ’ ที่ครอบคลุมปราสาทเก่าแก่เอาไว้กลับยากที่จะจัดการมากกว่าที่คาดเดา

การโจมตีของสตรีทั้งสองทำได้เพียงตัดผ่าน ‘หมอกสีหม่น’ ให้แหลกสลาย แต่เมื่อเว้นช่วงไปไม่กี่ลมหายใจ บริเวณที่เป็นช่องว่างก็จะฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว

“ตราบเท่าที่มีปราณมรณะและผลึกเริ่มต้นมากพอ ‘ค่ายกลกลืนหมื่นวิญญาณ’ นั่นก็จะมีพลังในการฟื้นฟูตนเองอย่างต่อเนื่อง”

หลินทงมองอยู่ห่างออกไป สีหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา

ชัดเจนว่าฐานที่มั่นนี้ของลัทธิมารจันทราชาดมีปราณมรณะหนาแน่น รอบปราสาทที่ถูกโอบล้อมไปด้วยโครงกระดูกจำนวนมหาศาลคือคำอธิบายที่ดี

หมื่นดาบทะลวงใจ

ชายเสื้อของผู้อาวุโสไป๋โบกสะบัด ประกายคมดาบระเบิดออกที่กลางนภา สร้างประกายแสงสีแดงที่งดงามขึ้น

พลังอำนาจของดาบนั้นราวกับจะสามารถทะลวงผ่านไปยังอากาศ ทำให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ต้องหม่นแสง ยอดฝีมือด้านนอกปราสาทเก่าแก่รู้สึกราวกับว่าประกายคมดาบนั้นได้ทิ่มแทงมายังตนเอง

“บางทีพลังของดาบนั้นอาจเหนือกว่าขั้นนายเหนือแท้”

หัวใจของผู้เฒ่าซู่สั่นสะท้าน

ในมุมมองของยอดฝีมืออย่างเขา ยังไม่มีผู้ใดเคยสำแดงพลังที่เหนือกว่าขั้นนายเหนือแท้อย่างน่าพรั่นพรึงเช่นนี้มาก่อน รวมทั้งจ้าวเฟิงที่เพิ่งกลับมายังแคว้นเมฆาด้วย

ผู้คนเห็นเพียงประกายคมดาบที่สว่างจ้าพุ่งเข้าจู่โจมปราสาทเก่าแก่ราวกับสายน้ำที่ไม่หยุดไหล

หมอกสีหม่นรอบปราสาทเก่าแก่สลายหายไปเป็นส่วนมาก เผยให้เห็นภาพภายในขึ้นบางส่วน

“ ‘วิชาหมื่นดาบ’ ? หลังจากผ่านไปหลายร้อยปี ทว่ายังได้พบเห็นวิชาดาบของศัตรูเก่าแก่เช่นนี้… นี่คือโชคชะตาอย่างนั้นหรือ?”

น้ำเสียงแหบต่ำฟังดูเลื่อนลอยดังขึ้นจากส่วนลึกของปราสาทเก่าแก่

น้ำเสียงนั้นไม่เย็นชา แม้ว่าจะแผ่วเบาทว่ากลับให้ความรู้สึกเย็นเยียบไปถึงกระดูกดำอย่างแปลกประหลาด

ร่างกายและจิตใจของยอดฝีมือหลายพันคนเบื้องหน้าปราสาทเก่าแก่พลันสั่นสะท้าน โดยเฉพาะยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงที่มีประสาทสัมผัสยอดเยี่ยม ดวงวิญญาณของพวกเขาสั่นไหวอย่างกระวนกระวาย

ในน้ำเสียงแหบต่ำนั้นได้มีความพลังที่น่าหวาดกลัวบางอย่างทิ่มแทงไปยังดวงวิญญาณ

“เจ้าคือผู้ใด?”

สีหน้าของผู้อาวุโสไป๋ขาวซีดลงเล็กๆ กลิ่นอายกว้างใหญ่บางเบาในส่วนลึกของปราสาทเก่าแก่นั้นได้ทำให้กระทั่งนางที่มีพลังฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอดต้องรู้สึกกระวนกระวาย

ฟึ่บ

ท้องนภาเหนือปราสาทเก่าแก่พลันปรากฏร่างคล้ายมนุษย์ขึ้น ร่างนั้นประกอบไปด้วยโครงกระดูก โครงกระดูกทั่วทั้งร่างเป็นสีเงินและทองผสมกัน ในเบ้าตาปรากฏเปลวเพลิงสีแดงสดลึกล้ำพลิ้วไหว ใจกลางดูหมองมัวราวกับมีม่านหมอกบางอย่าง

ดวงตาสีแดงสดในเบ้าตาของร่างโครงกระดูกลึกลับนั้นสบเข้ากับดวงตาของผู้อาวุโสไป๋ ฝ่ายหลังราวกับถูกฟ้าผ่า

“กลิ่นอายจิตวิญญาณนั่น อย่าได้บอกข้าเชียวว่าเป็นผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ไม่สิ เพียงแค่เกือบเท่านั้น เป็นเพียงขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด หรือมิเช่นนั้นคงไม่ต้องพึ่งพาการปกป้องของค่ายกล”

นัยน์ตาของผู้อาวุโสไป๋สั่นระริก สุดท้ายแล้วจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก

ตราบเท่าที่อีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ด้วยพลังฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอดและวิชาดาบที่เหนือชั้นของนาง นางก็ไม่หวาดกลัวผู้ใด

เบื้องหน้าของโครงกระดูกนั้นได้ปรากฏธงสีดำขึ้น ธงสีดำพลิ้วไหวซ่อมแซ่มช่องว่างของค่ายกล

“อย่าแม้แต่จะคิด”

ผู้อาวุโสไป๋เค้นเสียง ร่วมมือกับชางหยูเยว่เริ่มโจมตีไปยังส่วนที่เป็นช่องว่าง

“ขัดขวางพวกมัน”

น้ำเสียงแหบต่ำของโครงกระดูกลึกลับดังขึ้นไปยังเบื้องล่าง

“ขอรับท่านเจ้าหอ”

ใกล้หอสูงได้ปรากฏร่างคนหลายสิบคนออกมา แต่ล่ะคนล้วนมีกลิ่นอายอยู่ในขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอด กลิ่นอายที่แข็งแกร่งที่สุดสามร่างสูงถึงขั้นนายเหนือแท้ ลอยอยู่กลางอากาศเหนือประตูปราสาท ร่างตรงกลางอ้วนท้วมใหญ่โต ในมือถือขวานยักษ์ สีหน้าเหม่อลอย ร่างกายส่งกลิ่นเน่าเหม็นออกมาเล็กน้อย

“หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยยังไม่ตาย”

ก่อนหน้า หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยได้ถูกดาบจากวิชา ‘วารีเหมันต์ผันแปร’ ของจ้าวเฟิงแทงทะลุ บาดเจ็บสาหัส หากจะพูดให้แน่ชัดก็คือไม่แน่ว่าจะรอดชีวิตได้หรือไม่

“บางทีเขาอาจจะเป็นเพียงศพที่ถูกปลุกขึ้นมาด้วยวิชาเชิดศพ เพื่อที่จะรักษาพลังต่อสู้เอาไว้ คงรักษาร่างไว้ได้อย่างมากเพียง 1-2 เดือน”

หลินทงมองไปยังร่างที่มีกลิ่นอายขั้นนายเหนือแท้เหนือประตูปราสาทด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“หัวหน้าสาขาลัทธิมารจันทราชาด ยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้”

สีหน้าของผู้อาวุโสไป๋เลวร้ายลง

พลังฝึกตนของ ‘หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ย’ นั้นสูงถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด อยู่ในระดับเดียวกับนาง

“มีวิชาหนึ่งที่จะควบคุมหุ่นเชิดให้สามารถใช้พลังของขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอดได้ โครงกระดูกนั่นต้องเป็นตัวตนในระดับเจ้าหอเป็นแน่”

น้ำเสียงของหลินทงสั่นสะท้านเล็กๆ ไม่แน่ชัดว่าเป็นเพราะความหวาดกลัวหรือตื่นเต้น

เจ้าหอลัทธิมารจันทราชาด

ยอดฝีมือของพันธมิตรสังหารมังกรที่อยู่ในที่นั้นจิตใจสั่นสะท้าน ยากที่จะปกปิดความตื่นตะลึงและหวาดกลัวบนใบหน้าได้

ระดับของเจ้าหอ แม้จะเป็นช่วงเวลารุ่งโรจน์ของลัทธิมารจันทราชาดก็นับเป็นยักษ์ใหญ่ระดับสูง

หลังจากผ่านมาหลายร้อยปี ยักษ์ใหญ่ระดับสูงของลัทธิมารจันทราชาดได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง นี่จะนับว่าเป็นการโจมตีครั้งใหญ่ที่แคว้นเมฆาอันห่างไกลได้หรือไม่?

ครืนนนน

ม่านหมอกแห่งความตายปกคลุมร่างของ ‘เจ้าหอโครงกระดูก’ ที่ลอยอยู่กลางอากาศ

“ฆ่า”

หัวหน้าสาขาลัทธิมารจันทราชาดวาดขวานใหญ่โตของตนเองออก มุ่งหน้าตรงไปปะทะกับผู้อาวุโสไป๋และชางหยูเยว่

ข้างกายของหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยคือจ้าวตำหนักโหยวหลงและชายชราในชุดสีเทาอีกคน คนทั้งสองมีพลังฝึกตนในขั้นนายเหนือแท้ระดับสูง

ขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอดหนึ่งคนและขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงหนึ่งคน มันนับเป็นความแข็งแกร่งที่น่าหวาดกลัวเพียงใดกัน

ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ

บนหอสูง เบื้องหลังสามยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ได้ปรากฏกลิ่นอายของผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงขึ้น ท่ามกลางม่านหมอกแห่งความตาย ร่างเหล่านั้นปรากฏให้เห็นเพียงเลือนราง ช่วงชิงความได้เปรียบจากการป้องกัน

สงครามนี้ ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!