Skip to content

King of Gods 490

King Of Gods

บทที่ 490 ไม่ได้กลับมาแก้แค้นหรือ?

สายธารกราดเกรี้ยวคือหนึ่งในสามแม่น้ำของทวีปเหนือที่มีชายแดนติดกับ ‘อาณาจักรนภา’ มันไหลหลากไป ข้ามเทือกเขา ทุ่งราบ และทะเลทราย

กระแสน้ำในแม่น้ำนับว่าน่าตื่นตะลึง คลื่นลูกหนึ่งสามารถกลืนกินยอดฝีมือในขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้ กระทั่งผู้ฝึกตนในนภาที่เจ็ดยังยากจะหลีกเลี่ยง

ท้องฟ้าเหนือแม่น้ำ ตลอดทั้งปีจะมีสายลมรุนแรงพัดหวนไปมา เพียงพอที่จะฉีกกระชากร่างของสัตว์ปีศาจประเภทนกที่แข็งแกร่งบางตัวได้

แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ การที่จะบินข้ามแม่น้ำนี้ไปก็ยังไม่อาจทำได้อย่างง่ายดาย

‘สายธารกราดเกรี้ยว’ นี้มีตำนานเล่าขานมากมาย

มีคำเล่าลือว่ามรดกความลับสวรรค์ มรดกอันดับหนึ่งในสี่มหามรดกของทวีป หลายพันปีก่อนได้ปรากฏขึ้นที่นี่และให้กำเนิดสายธารกราดเกรี้ยวขึ้น

ในวันนี้ ส่วนลึกของสายธารกราดเกรี้ยว ท่ามกลางกระแสคลื่นเชี่ยวกรากได้ปรากฏสิ่งแปลกประหลาดขึ้น

ซ่า ใจกลางกระแสคลื่นที่น่าหวาดกลัวพลันปรากฏเสียงที่แตกแยกออกไปพร้อมกับวงแสงโบราณที่ส่องสว่างอย่างเจือจาง เมื่อวงแสงเก่าแก่นั้นปรากฏขึ้น สายน้ำเชี่ยวกรากทั้งหมดก็พลันนิ่งสงบลง ราวกับถูกแช่แข็ง

ครืนนนน

วงแสงเล็กๆ นั้นหมุนวนก่อนจะแพร่กระจายกลิ่นอายลึกล้ำออกมา ราวกับมาจากอีกช่วงหนึ่งของห้วงกาลเวลา

ผ่านไปหลายลมหายใจ

วงแสงเล็กๆ ที่หมุนวนนั้นพลันสั่นสะท้าน

ฟึ่บ

ชายหนุ่มในชุดสีเขียวหน้าตาธรรมดาสามัญ ดวงตาทั้งสองปิดแน่น ปรากฏขึ้นบนผิวน้ำของแม่น้ำ

ส่วนลึกของสายธารกราดเกรี้ยวคือพายุทะเลคลั่งที่เพียงพอที่จะฉีกกระชากร่างของผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไปได้

ทว่าชายหนุ่มชุดสีเขียวที่อยู่ ณ ที่นั้นกลับไม่ได้รับผลกระทบ หยุดยืนอยู่บนผิวน้ำ

“ทวีปบุปผาคราม? กลับมาแล้ว”

ชายหนุ่มชุดสีเขียวเปิดเปลือกตาออก ใบหน้าธรรมดาสามัญนั้นพลันปรากฏนัยน์ตาลึกล้ำไร้ก้นบึ้งขึ้น ดูลึกลับจนไม่อาจคาดประเมินได้ ให้ความรู้สึกราวกับผ่านพ้นวัฏสงสารมาแล้วครั้งแล้วครั้งเล่า

บุรุษผู้นี้ดูมีอายุเกิน 20 ปีไปเล็กน้อย ทว่ากลับมีท่าทีเยือกเย็นเกินธรรมดา

ยามที่อัจฉริยะในงานชุมนุมเซียนมังกร รวมทั้งห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้เห็นคนผู้นี้ ย่อมหน้าเปลี่ยนสีจนซีดขาวเป็นแน่

ชายหนุ่มในชุดสีเขียวผู้นี้คือผู้ที่เข้าไปในมรดกความลับสวรรค์ ซินอู๋เหิน ผู้ที่ไม่ได้หวนคืน

“ไม่มีอันใดให้ทำมากมายแล้ว”

ซินอู๋เหินยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเป็นเวลานานก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบา

เขาไม่ออกจากสายธารกราดเกรี้ยว ทว่าทิ้งร่างของตนเองลงในสายน้ำ ไหลตามคลื่นยักษ์กระแสน้ำไป

สำหรับพื้นที่สายธารกราดเกรี้ยวทั้งสาม เมื่อเอ่ยถึงแม่น้ำย่อมสื่อถึงชายขอบของทวีปได้ เชื่อมต่อกับ ‘ทะเล’ ที่ไร้จุดสิ้นสุด

“นอกทวีปคือทะเลอันไร้จุดสิ้นสุดนั่น…”

ซินอู๋เหินปิดเปลือกตาอย่างเชื่องช้า ร่างเล็กของเขาจมลงในกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากอย่างรวดเร็ว

ในวันที่สามที่ซินอู๋เหินลอยไปกับสายน้ำ

ฟึ่บ

‘ปักษาสีเขียวทอง’ ตัวยักษ์ได้มาถึงยังสายธารกราดเกรี้ยว

บนแผ่นหลังของปักษาตัวใหญ่นั่นคือพวกจ้าวเฟิงทั้งสามที่กำลังมองไปยังอีกฝั่งของสายธารกราดเกรี้ยว

“หลายพันปีก่อน มรดกความลับสวรรค์ได้ปรากฏขึ้นที่นี่ เป็นเหมือนกับจุดเปลี่ยนของยุคสมัย”

จ้าวเฟิงที่มายังแม่น้ำแห่งนี้เป็นครั้งที่สองอดที่จะรู้สึกสะเทือนใจไม่ได้

ครั้งแรกที่ข้ามสายธารกราดเกรี้ยวนี้ไป เขามุ่งหน้าไปยังอาณาจักรนภา ไม่คุ้นเคยทั้งกับผู้คนและสถานที่ กระทั่งถูกไล่ล่าเอาชีวิต สถานการณ์เปลี่ยนผันปรวนแปร เมื่อเทียบกันแล้ว การกลับมายังอาณาจักรนภาครั้งนี้ จ้าวเฟิงมาอย่างง่ายดายยิ่งกว่าเดิม ยืนสองมือไพล่หลัง สายตาปรากฏความเย่อหยิ่งขึ้นเล็กๆ

“หัวหน้าสาขาจ้าว ท่านอยากจะไปที่เมืองหงหูจริงๆ หรือ?”

เตี๋ยเย่เอ่ยยืนยันอีกครั้ง

เมืองหงหูเป็นเมืองในปกครองของตระกูลหลิว ทว่าฉินหวางเฟยแห่งตระกูลหลิวได้ครอบครองยศตำแหน่งในราชวงศ์

สถานการณ์หลายปีมานี้ ลัทธิโลหะเลือดและราชวงศ์อยู่ในสภาวะคานอำนาจยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป

หากจะพูดง่ายๆ

ตระกูลหลิวนับว่าเป็นศัตรูกับลัทธิโลหะเลือด แม้ว่าจะไม่มีความสัมพันธ์นี้ จ้าวเฟิงที่ถูกออกประกาศจับโดยเจ้าเมืองหงหูก็ยังเป็นเรื่องที่รู้กันดี

“ในเมื่อต้องผ่าน ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องไปเมืองหงหู”

จ้าวเฟิงไม่ลังเลแม้แต่น้อย

หนึ่งคือเพื่อทำตามสัญญากับหลิวฉินซิน สองคืออาจารย์เถี่ยก่านอาศัยอยู่ใกล้เมืองหงหู

จ้าวเฟิงที่ต้องการสร้าง ‘วงแหวนทมิฬ’ ให้ผู้อาวุโสหนึ่งจำต้องไปหาอาจารย์เถี่ยก่าน

หลังจากผ่านไปครึ่งวัน

ปักษาสีเขียวทองบินไปใกล้เมืองหงหู

“สัตว์วิเศษขั้นผู้วิเศษแท้อีกตัว”

ทหารลาดตระเวนของตระกูลหลิวในเมืองหงหูรู้สึกหวาดผวา

ในอาณาจักรนภา ยอดฝีมือขั้นมนุษย์แท้มีอยู่ค่อนข้างมาก ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด

ทว่าเมื่อเข้าสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ นี่นับว่าหายากยิ่งนัก และ ‘ขั้นนายเหนือแท้’ ที่สูงยิ่งไปกว่านั้น แม้จะเป็นในอาณาจักรก็ยังนับเป็นยักษ์ใหญ่ที่สั่นคลอนสถานการณ์ได้

ดังนั้นจึงสามารถเห็นได้ว่าสัตว์วิเศษในขั้นผู้วิเศษแท้นั้นหายากเพียงใด

แม้กวาดตามองไปทั่วทั้งเมืองหงหู สัตว์เลี้ยงในระดับนี้ก็ยังหายากนัก

“ดูสิ คนเหล่านี้ไม่ใช่ยอดฝีมือของเมืองหงหู”

ทหารลาดตระเวนตระกูลหลิวบนหอคอยที่กำแพงเมืองไม่กล้าที่จะผลีผลามลงมือ รีบรายงานคนระดับสูงกว่า

“หืม เด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินผู้นั้นดูคุ้นตานัก”

ทหารยามหลายคนเพ่งสายตา มองไปยังจ้าวเฟิงบนปักษาสีเขียวทอง

หลายคนมองไปยังป้ายประกาศจับที่ประตูเมืองอย่างไม่รู้ตัว

ประกาศจับใบนั้นแม้จะค่อนข้างยับเยินอยู่บ้าง ทว่ารูปลักษณ์บนนั้นยังคงสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน มันคือเด็กหนุ่มผู้มีเรือนผมและนัยน์ตาสีฟ้า บนไหล่มีแมว ท่าทีเฉยชาโหดเหี้ยม

“สวรรค์”

“คนที่เมืองหงหูต้องการตัวมากที่สุด? อย่าได้บอกเชียวว่าข้ากำลังฝันอยู่?”

ทหารยามหลายคนสมองว่างโล่ง

หากจะพูดโดยทั่วไป ผู้ที่โดนประกาศจับไม่เพียงไม่ปกปิดตัวตน ทว่ายังถลาเข้ามาในเมืองหงหูอย่างเปิดเผย นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ทว่า

เมื่อทหารยามทั้งหลายรู้สึกตัว ‘ปักษาสีเขียวทอง’ ตัวนั้นก็ได้ทะยานเข้าไป ความเร็วมากมายยิ่งนัก เห็นเป็นเพียงจุดเล็กๆ แล้ว

ชั่วขณะต่อมา

“จ้าวเฟิง? เจ้ามั่นใจหรือว่าเป็นคนผู้นั้น?”

น้ำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อยดังขึ้นจากชายหนุ่มในชุดเกราะสีม่วง

“นายน้อยหลิวหยวน”

ทหารยามบนกำแพงเมืองคารวะอย่างพร้อมเพรียงกัน

ผู้มาใหม่คือนายน้อยหลิวหยวน พลังฝึกตนได้เข้าสู่ขั้นมนุษย์แท้แล้ว หากจ้าวเฟิงมาอยู่ที่นี่ เขาย่อมจดจำถึงนายน้อยหลิวหยวนผู้นี้ได้

ครั้งแรกที่เข้ามายังเมืองหงหู นายน้อยหลิวหยวนผู้นี้คือคนที่มาต้อนรับเขา

แต่ในขณะเดียวกัน หากไม่ใช่เพราะหลิวหยวนผู้นี้ จ้าวเฟิงย่อมไม่ต้องถูกบังคับให้เข้าร่วมงานประลองเลือกคู่และเจอกับหลิวฉินซิน

ยามที่จ้าวเฟิงหลบหนีการแต่งงานไป หลิวหยวนเองก็ได้เข้าร่วมการไล่ล่า สุดท้ายแล้วจึงพ่ายแพ้ให้แก่สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงในเสี้ยววินาที

“จ้าวเฟิง หลังจากผ่านไปแล้ว 1-2 ปี ไม่คิดว่าเจ้าจะกลับมายังเมืองหงหู และเป็นถึง ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้แห่งทวีป”

หลิวหยวนสูดลมหายใจลึก นึกย้อนไปถึงอดีตทั้งหมด สีหน้าปรากฏอารมณ์ซับซ้อน

ฟึ่บ

นัยน์ตาของหลิวหยวนส่องประกายวาบ ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงสีแดงสดหายไปในอากาศ ไล่ตามไปยังทิศทางที่ ‘ปักษาสีเขียวทอง’ นั้นบินไป

ทว่า หากจะพูดถึงเรื่องของความเร็ว ปักษาสีเขียวทองนั้นอยู่ในขั้นผู้วิเศษแท้ ทั้งยังเป็นนก ย่อมเหนือกว่าหลิวหยวนมาก

หลิวหยวนพยายามอย่างหนักก็ยังไม่อาจไล่ตามปักษาสีเขียวทองนั้นได้ทัน

“ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้? อย่าได้บอกเชียวว่าข้าจะพลาดผู้ที่เมืองหงหูต้องการตัวมากที่สุดไปเช่นนี้?”

ส่วนลึกของหลิวหยวนเต็มไปด้วยความดื้อรั้น

เขาไม่แน่ใจนักว่าเหตุใดตัวเขาต้องเร่งรีบพยายามไล่ตามจ้าวเฟิงให้ทันเช่นนี้

บางทีอาจเป็นเพราะเขาเคยพ่ายแพ้ให้แก่อีกฝ่าย ในใจจึงรู้สึกอับอายและปฏิเสธที่จะยอมรับและอาจเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายมีเกียรติเป็นถึงผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ ทำให้สร้างความเย้ายวนดึงดูดที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงต่อเขา

ในทางกลับกัน ในฐานะของผู้ที่เมืองหงหูต้องการตัวมากที่สุดอาจเรียกได้ว่าเป็นเพียงข้ออ้าง

ความจริงแล้ว

หาก ‘ปักษาสีเขียวทอง’ นั้นไม่หยุดลง มันย่อมยากที่ความเร็วของหลิวหยวนจะสามารถตามได้ทัน ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าเขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ แม้จะเป็นยอดฝีมือขั้นผู้วิเศษแท้ก็ยังมีความเร็วไม่อาจเทียบกับปักษาในระดับเดียวกันได้

บางทีอาจเป็นเพราะสวรรค์รับฟังในคำขอของหลิวหยวน ‘จุดสีเขียว’ เบื้องหน้าจึงพลันเชื่องช้าลงและค่อยๆ ลดระดับลงในเมืองหงหู

สถานที่ที่ปักษาสีเขียวทองนั้นร่อนลงคือตำหนักเจ้าเมือง

ในอดีต ที่นี่เคยเป็นสถานที่จัดงานสำหรับการประลองเลือกคู่

ฟึ่บ ฟึ่บ

ร่างสามร่างพลิ้วกายลงหน้าตำหนักเจ้าเมือง

เด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินที่อยู่ตรงกลางบนใบหน้ามีความหวนคำนึง ในอดีต เขาเคยอยู่ที่เมืองหงหูเป็นเวลาครึ่งปี

เจียงซานเฟิงและเตี๋ยเย่ไม่ได้มีความรู้สึก ‘การกลับมาเยี่ยมบ้าน’ เช่นเดียวกับจ้าวเฟิง

“ที่นี่คือสถานที่ที่สำคัญที่สุดของตระกูลหลิวแห่งหงหู เป็นตำหนักของเจ้าเมืองหงหู ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ที่สั่นคลอนอาณาจักรผู้นั้น

บรรลุขั้นนายเหนือแท้มา กว่าสองปี ทว่าสามารถเอาชนะผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ที่บรรลุขั้นมานานได้แล้วหลายคน”

พวกเจียงซานเฟิงทั้งสองเต็มไปด้วยความกระวนกระวายไม่สบายใจ

ลัทธิโลหะเลือดและเมืองหงหูอาจกล่าวได้ว่าไม่มีทางอยู่ร่วมกันได้ โดยเฉพาะหลังจากที่จ้าวเฟิงหลบหนีการแต่งงานไป โดยปกติแล้ว ต่อให้คนทั้งสองมีความกล้ามากกว่านี้นับร้อยเท่าก็ไม่กล้าที่จะมายืนอยู่หน้าตำหนักเจ้าเมืองหงหู

ต้องเอ่ยว่าที่ประตูเมืองก่อนหน้านั้นยังมีประกาศจับของจ้าวเฟิงติดอยู่เลย

“หืม ไม่ใช่ว่านั่นคืออดีตบุตรเขยของเจ้าเมืองที่โด่งดังผู้นั้นหรือ?”

“บุตรเขยของเจ้าเมือง? จ้าวเฟิงกลับมาแล้วหรือ?”

เบื้องหน้าประตูเข้าตำหนักเจ้าเมืองเกิดความวุ่นวายขึ้น จะอย่างไร จ้าวเฟิงก็อาศัยอยู่ในเมืองหงหูกว่าครึ่งปี คนในเมืองหลายคนก็รู้จักบุตรเขยของเจ้าเมืองผู้นี้

“หัวหน้าสาขา ท่าน… เป็นไปได้หรือไม่ที่ท่านคิดจะสร้างความวุ่นวายในเมืองหงหู?”

เจียงซานเฟิงรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว

คนที่มามุงมีมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งมียอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงของตระกูลหลิวแห่งหงหูปรากฏตัวขึ้น

ยอดฝีมือจากตระกูลหลิวเหล่านี้โอบล้อมคนทั้งสามอย่างหนาแน่น โดยเฉพาะจ้าวเฟิงที่แข็งแกร่งถึงขั้น ‘ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้’ ทว่าไม่กล้าผลีผลามลงมือด้วยกลัวว่าจะทำให้ศัตรูตื่นตัว

ทว่าดูเหมือนจ้าวเฟิงจะไม่มีความคิดที่จะหลบเลี่ยง

“ในอดีต เมืองหงหูได้บีบบังคับให้จ้าวเฟิงแต่งงานอย่างไร้ยางอาย กระทั่งตั้งประกาศจับเขา บัดนี้จ้าวเฟิงบรรลุขั้นนายเหนือแท้ ความแข็งแกร่งไม่อาจหยั่งถึง เป็นไปได้หรือไม่ว่าคิดจะแก้แค้น?”

พวกเจียงซานเฟิงทั้งสองคาดเดาอยู่ในใจ

ไม่เพียงแค่คนทั้งสองที่คิดเช่นนี้ ทว่าหลิวหยวนที่เร่งรีบมาอยู่ด้านหลังเองก็คิดเช่นนี้ ครั้งก่อน จ้าวเฟิงถูกเจ้าเมืองหงหูบีบบังคับตลอดการเข้าสู่การแต่งงาน หลิวหยวนเองก็อาจกล่าวได้ว่าเป็น ‘พยานรู้เห็นเหตุการณ์’

“เจ้าเมืองหงหูบังคับให้จ้าวเฟิงแต่งงาน ทั้งยังตั้งประกาศจับไปทั่วทั้งเมืองหงหู หลังจากนั้นยังทำให้อีกฝ่ายต้องเข้าร่วมกับลัทธิโลหะเลือด บัดนี้ จ้าวเฟิงได้กลายมาเป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ของทวีป มีคำกล่าวว่าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้นั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง กระทั่งมีพลังต่อสู้ในขั้นนายเหนือแท้…”

เมื่อหลิวหยวนคิดถึงยามนี้ก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

ใช่แล้ว จ้าวเฟิงต้องมาแก้แค้นเป็นแน่

“รีบไปรายงานท่านเจ้าเมืองเร็วเข้า”

หลิวหยวนร้อนรน เขาไม่อยากที่จะคิดถึงภาพของพลังในขั้นนายเหนือแท้ที่อาละวาดขึ้นอย่างกะทันหันกลางเมืองหงหูเลยว่าจะสร้างสภาพเช่นใดขึ้น

ในเวลาเดียวกันกับที่เขาส่งคนไปรายงานเจ้าเมืองหงหู ตัวเขาเองก็ลงมือเช่นกัน

“น้องจ้าว ไม่พบกันนาน คงสบายดีใช่ไหม” หลิวหยวนยิ้มออกมาอย่างฝืดเฝื่อน พาร่างของตนเองไปเบื้องหน้า

อำนาจของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ของทวีปทำให้ยอดฝีมือทั้งหลายต้องหวาดกลัว

แม้ว่ากลิ่นอายพลังฝึกตนของจ้าวเฟิงจะถูกปกปิดไว้อยู่ ทว่ามันก็ไม่ได้ถูกปกปิดไว้อย่างหนาแน่นนัก ผู้อาวุโสยอดฝีมือที่มีสายตาเฉียบแหลมบางคนสามารถมองเห็นร่องรอยบางอย่างได้ จิตใจท่วมท้นไปด้วยความตื่นตะลึง

ในตอนนั้นเอง “หลิวหยวน เจ้ามาพอดี บอกเจ้าเมืองว่าจ้าวเฟิงมาขอพบ บัดนี้ข้ากลับมาเมืองหงหูเพื่อทำตามสัญญาแต่งงานก่อนหน้า”

สายตาของจ้าวเฟิงเบนไปยังร่างของหลิวหยวน เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มบาง

เขาย่อมจดจำหลิวหยวนได้

หากไม่เป็นเพราะคนผู้นี้ เขาย่อมไม่ได้เข้าร่วมงานประลองเลือกคู่ และย่อมไม่เกิดเรื่องราวหลังจากนั้นขึ้น

“อันใดนะ… เข้าพบท่านเจ้าเมือง? ทำตามสัญญา?”

หลิวหยวนและคนอื่นๆ ตื่นตะลึงจนใบหน้าซีดขาว

เจียงซานเฟิงและเตี๋ยเย่ที่อยู่ใกล้ๆ ก็ตะลึงไป

จ้าวเฟิงไม่ได้กลับมาแก้แค้นหรือ?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!