Skip to content

King of Gods 502

King Of Gods

บทที่ 502 กวาดล้าง

กลิ่นอายน่าหวาดกลัวในห้องหลอมใต้ดินทำให้สี่ยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ตื่นตะลึงจนใบหน้าซีดขาว ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณที่พยายามจะใช้ตรวจสอบแทบจะได้รับบาดเจ็บจากแรงสะท้อนกลับ

สถานการณ์พลิกผันอย่างรวดเร็ว

จ้าวเฟิงไม่ได้กำลังสร้างอาวุธอยู่ในห้องหลอม ทว่าปรากฏตัวขึ้นเหนือศีรษะของสี่ยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้

ที่แปลกประหลาดคือ ในห้องหลอมใต้ดินได้ถูกปกคลุมไปด้วยปราณวิญญาณและเปลวเพลิงสีดำทมิฬที่ไร้ซึ่งที่มา

“อย่างน้อยต้องอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดจึงจะมีความสามารถเช่นนี้ได้…”

ใบหน้างดงามของฉินหวางเฟยซีดเผือด ไม่กล้าที่จะจินตนาการถึงตัวตนที่น่าหวาดกลัวในห้องหลอมใต้ดินนั้น

นางนึกถึงคำเตือนของผู้เป็นอาจารย์ของนางก่อนที่นางจะจากมาขึ้นได้ ควรที่จะปล่อยวางบุญคุณความแค้นระหว่างนางกับจ้าวเฟิงลงเสีย ไม่ควรเป็นศัตรูกับเด็กหนุ่มผู้นั้น

“รีบถอย จ้าวเฟิงนี่ผิดปกติต่างจากฉากหน้านี้ยิ่งนัก เบื้องหลังไม่รู้ว่ามียอดฝีมือผู้ใดอยู่อีก…”

สามยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ที่เหลือตื่นตระหนกลนลาน พลันหลบหนีออกจากตำหนักเถี่ยกานในทันที

“จะหนี? ฮี่ฮี่… ช้าไปแล้ว”

กลางอากาศพลันปรากฏสายลมกระโชกพัดอย่างกราดเกรี้ยว ตามมาด้วยความรู้สึกชาหนึบรุนแรงจากกระแสไฟฟ้า

สี่ยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ที่พยายามจะหลบหนีร่างชะงักค้างชาหนึบ ความเร็วในการบินลดลงสองสามส่วน

มีเพียงแค่ผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยนที่มีพลังฝึกตนใกล้เคียงขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอดที่ได้รับผลกระทบเล็กน้อย

ในวินาทีนั้น สนามพลังวายุอัสนีในฟ้าดินก็ได้กวาดผ่านราวกับพายุ ครอบคลุมร่างของสี่ยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ ทว่าบริเวณที่จ้าวเฟิงอยู่นั้นเป็นราวกับตาพายุ

“เป็นสำนึกรู้ที่แข็งแกร่งยิ่งนัก”

ดวงตาของรองจ้าวลัทธิโลหะเลือดส่องประกายเจิดจ้า สีหน้าเปลี่ยนแปลงไป รู้สึกยินดีและประหลาดใจอย่างยากจะหาใดเทียบ ทว่าเขาก็ไม่ได้เผลอไผล พลันทะยานร่างออกไล่ล่ารวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด

หลังจากที่จ้าวเฟิงออกมา ความกราดเกรี้ยวขุ่นเคืองในใจของรองจ้าวลัทธิโลหะเลือดก็ได้ระเบิดออกในที่สุด ด้วยความแข็งแกร่งของเขา เขาไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวสี่ยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ ก่อนหน้าที่ทำได้เพียงแค่ป้องกันย่อมสร้างความรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง

“วงแหวนทมิฬแสงพิฆาต”

วงแหวนทมิฬในมือของรองจ้าวลัทธิโลหะเลือดหมุนด้วยความเร็วสูงสุด สร้างคมมีดแสงรูปวงกลมขนาดยักษ์เส้นผ่านศูนย์กลางหลายฉื่อ(หน่วยวัดจีน:ฟุต)ขึ้น แสงและเงาหลอมรวมกันสร้างคมมีดแสงที่บางราวกับปีกจั้กจั่น

เคร้ง

วงแหวนแสงของ ‘วงแหวนทมิฬแสงพิฆาต’ ตัดผ่านอากาศจนเกิดเป็นรูปกรวย ความเร็วของมันราวกับสายฟ้าที่ฟาดลง

ยอดผู้อาวุโสตระกูลหลิวที่เพิ่งจะออกห่างไปได้เพียงร้อยจ้าง กรีดร้องโหยหวน ร่างถูกตัดเป็นสองท่อนโดยวงแหวนทมิฬ

ชัดเจนว่าเขาไม่ได้คาดคิดว่าวงแหวนทมิฬจะยังมีความสามารถในการโจมตีระยะไกลที่ทรงพลังอย่างอื่นอยู่อีก

ก่อนหน้าเป็นเพราะเถี่ยหมัวทำได้เพียงแค่ป้องกัน มีข้อจำกัดอยู่มาก ต่อสู้ด้วยสภาพเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า พลังต่อสู้ถูกจำกัดไว้มาก ทว่าการลงมือครั้งนี้ได้เผยให้เห็นพลังที่แท้จริงของเขา รวมทั้งพลังของวงแหวนทมิฬ

ในเวลาเดียวกัน

“วายุอัสนีพิฆาต”

ร่างที่มีเรือนผมสีน้ำเงินทะยานขึ้นสูง ดวงตาเปล่าเห็นเพียงแค่คมดาบวายุอัสนีสีเขียวเข้มแหลมคมขนาดยักษ์ยาวกว่า 7-8 ฉื่อ ที่คมดาบปรากฏประกายกระแสไฟฟ้าสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

ฟึ่บ เปรี้ยะ เปรี้ยะ

คมดาบวายุอัสนีขนาดยักษ์ผ่าลงมาจากกลางอากาศพร้อมด้วยแสงเจิดจ้า สร้างเสียงระเบิดราวกับสายฟ้าฟาดจนแก้วหูแทบฉีกขาด การเคลื่อนไหวของจ้าวเฟิงรวดเร็วที่สุดในบรรดายอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ ณ ที่นั้นทั้งหมดอย่างชัดเจน ประกายกระแสไฟฟ้าสว่างวูบปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของจ้าวตำหนักฉินเจี่ยน

“ไม่”

จ้าวตำหนักฉินเจี่ยนอุทานออกมา ใบหน้างดงามซีดเผือด ทั่วทั้งร่างแข็งชาสั่นสะท้านเล็กๆ

ครืนนน

คมดาบวายุอัสนีขนาดยักษ์สั่นถี่รัวอย่างน่าสะพรึง คมดาบที่เต็มไปด้วยกระแสไฟฟ้าโจมตีทุกสิ่งในระยะหลายสิบจ้าง ส่งกลิ่นอายทำลายล้างบ้าคลั่งออกมา แม้ไม่มีพลังจากภายนอกมาเสริมก็ราวกับจะฉีกกระชากร่างของนางให้เป็นชิ้นๆ ได้ในระยะเวลาสั้นๆ

เมื่อเทียบกับก่อนหน้า ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั่วไปเมื่อเผชิญหน้ากับความเร็วที่น่าพรั่นพรึงและพลังโจมตีทำลายล้างของจ้าวเฟิงย่อมไม่มีพลังที่จะตอบโต้

บนใบหน้าอ่อนหวานของจ้าวตำหนักฉินเจี่ยนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แม้ว่าจะมองหาทางออกเช่นไรก็ไม่อาจหาได้พบ

ในใจของนางเต็มไปด้วยความเสียใจหดหู่

ทว่าทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว

“นี่เป็นสิ่งที่เจ้าทำตนเอง…”

สิ่งที่มาพร้อมน้ำเสียงเฉยชานั้นคือคมดาบวายุอัสนีขนาดยักษ์ที่สั่นถี่รัวอย่างน่าหวาดกลัว มันสับลงมาในเสี้ยววินาที ฉีกกระชากร่างงดงามของจ้าวตำหนักฉินเจี่ยนจนกลายเป็นเศษเนื้อ

ในเวลาสั้นๆ เพียงสองลมหายใจ ยอดผู้อาวุโสตระกูลหลิวกับจ้าวตำหนักฉินเจี่ยนก็สิ้นชีพลง

“สองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ตายทั้งคู่”

ในตำหนักเถี่ยกาน เจียงซานเฟิงและผู้เฝ้ามองอีกหลายคนนิ่งอึ้ง ในใจปรากฏความตื่นเต้นขึ้น โลหิตเดือดพล่าน

แต่เดิม

จ้าวเฟิงและเถี่ยหมัวได้ลงมือพร้อมกันในวินาทีเดียวกัน สามารถกำจัดผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ที่เป็นเป้าหมายลงได้คนหนึ่ง

สองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาและตายตกไปพร้อมกัน เมื่อทำทั้งหมดเสร็จแล้ว จ้าวเฟิงและเถี่ยหมัวก็สบตากันสั้นๆ เผยสีหน้ายินดีออกมา

เถี่ยหมัวรู้สึกประหลาดใจและยินดี จ้าวเฟิงไม่เพียงแค่มีชีวิตรอดกลับมาจากมรดกต่างแดน ทว่าพลังยังเพิ่มขึ้นจนถึงระดับนี้

วิธีการที่จ้าวเฟิงใช้เมื่อครู่ได้แสดงให้เห็นถึงพลังที่เทียบเท่าได้กับเถี่ยหมัว ไม่มีความแตกต่างแต่อย่างใด ไม่ต้องเอ่ยเลยว่านี่อาจไม่ใช่พลังทั้งหมดของจ้าวเฟิง

“เร็วเพียงนี้… จ้าวตำหนักฉินเจี่ยนและยอดผู้อาวุโสตระกูลหลิวตายแล้ว”

“หนีเร็ว จ้าวเฟิงที่กลับมาจากมรดกต่างแดนเมื่อไม่นานมานี้ พลังกลับเพิ่มขึ้นจนถึงระดับที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้…”

ฉินหวางเฟยและยอดผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยนเต็มไปด้วยความหวาดผวาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งสองแทบจะเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณอย่างพร้อมเพรียงกัน ใช้วิชาลับอย่างไม่คิดถึงสิ่งที่ตามมาเพื่อหลบหนี

ฟึ่บ ฟึ่บ

ร่างทั้งสองจางหายไปในหมู่เมฆอย่างรวดเร็ว

จ้าวเฟิงลอยอยู่กลางอากาศ สายตามองไปยังคนทั้งสองที่หนีไปเล็กน้อย

ดวงตาซ้ายของเขาจับจ้องไปยังยอดผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยน

“ฆ่ายอดผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยนก่อน”

เสียงของเถี่ยหมัวดังขึ้น ความคิดของเขาและจ้าวเฟิงเหมือนกัน มันเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่ง

แน่นอนว่าจุดยืนของคนทั้งสองอาจจะไม่เหมือนกัน

เหตุผลที่เถี่ยหมัวเลือกที่จะฆ่า ‘ยอดผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยน’ ก่อนนั้นเป็นเพราะพิจารณาถึงสถานการณ์โดยรวมของอาณาจักรนภา

ตำหนักฉินเจี่ยนเป็นหนึ่งในแปดขั้วอำนาจของอาณาจักร มีสองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้คอยควบคุมดูแล

โดยเฉพาะยอดผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยนที่มีพลังฝึกตนเข้าใกล้ขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด หากปล่อยให้เขาทะลวงขั้นหรือเข้าใกล้ระดับของรองจ้าวลัทธิโลหะเลือด ยามนั้นย่อมสร้างแรงคุกคามมหาศาล

“จ้าวตำหนักฉินเจี่ยนตายแล้ว หากฆ่ายอดผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยนอีกคน ตำหนักฉินเจี่ยนย่อมไม่มีผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้คอยดูแล มันก็เหมือนเช่นไม่มีผู้นำกองทัพ จะทำให้เกิดความระส่ำระสาย…”

เถี่ยหมัวตื่นเต้น

มันเท่ากับว่าการฆ่ายอดผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยนนั้นเหมือนกับการทำลายหนึ่งในแปดขั้วอำนาจอย่างตำหนักฉินเจี่ยน

หากเป็นยามปกติ ในสถานการณ์สู้หนึ่งต่อหนึ่ง ยอดผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยนย่อมหนีรอดไปได้อย่างแน่นอน แม้ว่าเถี่ยหมัวจะอยากฆ่าอีกฝ่ายก็ยากมิน้อย

ทว่า ในยามนี้มีจ้าวเฟิงอยู่ ความเร็วของอีกฝ่ายเหนือกว่าผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทุกคน ณ ที่นั้น พลังเองก็ไม่ด้อยไปกว่าเถี่ยหมัว เช่นนั้นย่อมมีโอกาสที่จะฆ่ายอดผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยนได้ในระดับหนึ่ง

“เนตรจิตวิญญาณเหมันต์”

ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าหม่นเย็นเยียบส่องประกาย จับจ้องไปยังร่างของยอดผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยน

ร่างกายและจิตใจของยอดผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยนแข็งค้าง ความคิดราวกับถูกแช่แข็งด้วยความเย็นที่แพร่กระจายอยู่ในอากาศ ร่างกายแข็งเกร็ง ความเร็วลดลงอย่างมาก

“เกิดอันใดขึ้น…”

ยอดผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยนอุทานออกมาอย่างตกใจ การตอบสนองของร่างกายรวมทั้งความเร็วเชื่องช้าลงอย่างมาก

เขารับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าตัวเขาได้ถูกวิชาดวงตาของจ้าวเฟิงเพ่งเล็งอยู่

ทว่า แม้เขาจะรู้ว่ามันคือวิชาของอีกฝ่าย เขาก็ไม่มีหนทางในการหลุดรอดออกไป

“ฮ่าฮ่า จ้าวเฟิงเยี่ยมมาก”

เถี่ยหมัวแย้มยิ้มกว้าง มือจับวงแหวนทมิฬ เข้าใกล้ร่างของยอดผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยนไปเล็กน้อย

จ้าวเฟิงจ้องมองยอดผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยนด้วยเนตรจิตวิญญาณเหมันต์ ไล่ตามไปด้วยความเร็วปกติ

“วงแหวนทมิฬแสงพิฆาต”

วงแหวนทมิฬในมือของเถี่ยหมัวส่องประกายแสงเจิดจ้าสร้างเป็นคมมีดรูปวงกลม ตัดร่างของยอดผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยนในทันที

ยอดผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยนถูกเนตรจิตวิญญาณเหมันต์จับจ้อง ไม่อาจที่จะหลบเลี่ยงได้ เผาไหม้ปราณจิตวิญญาณวาดดาบธรรมดาๆ ออกไปอย่างยากลำบาก

คมมีดแสงขนาดยักษ์ลอยตรงมายังเขา สร้างบาดแผลลึกจนเห็นกระดูก โลหิตอาบย้อมร่างของเขา

ร่างที่มีเรือนผมสีแดงปรากฏขึ้นที่เบื้องหลังของยอดผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยนด้วยความเร็วที่ไม่อาจมองทัน

เคร้ง

จ้าวเฟิงกำดาบวายุอัสนีที่ส่องประกายสีเขียวสว่างจ้า รอบกายโอบล้อมไปด้วยสายฟ้าและสายลม ฟันดาบลงไปยังหน้าอกของยอดผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยนอย่างไร้ความรู้สึก

“ฉัวะ”

ยอดผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยนฝืนหลบไปด้านข้างสุดตัว ทว่าแขนข้างหนึ่งก็ยังคงถูกตัดจนขาดด้วยดาบวายุอัสนี ภายใต้การโจมตีของจ้าวเฟิงและรองจ้าวลัทธิโลหะเลือด ไม่ว่ายอดผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยนจะพยายามดิ้นรนเช่นไรก็ไม่อาจที่จะต่อต้านได้

เพียงแค่สองกระบวนท่า ยอดผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยนก็ถูกปลิดชีวิตด้วยการร่วมมือกันของจ้าวเฟิงและเถี่ยหมัว

“ราบรื่นมาก”

บนใบหน้าของเถี่ยหมัวเต็มไปด้วยความยินดีที่ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้

จะอย่างไร พลังฝึกตนของยอดผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยนก็เข้าใกล้ขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด เมื่อคิดจะหลบหนีอย่างไม่คิดชีวิต หากต้องการจะสังหารย่อมยากไม่น้อย

เขาตระหนักได้ว่าเขาได้ประเมินพลังและสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงต่ำเกินไป

ความจริงแล้ว ยามที่จ้าวเฟิงใช้สายเลือดดวงตา ยอดผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยนก็ถูกลิขิตให้ต้องทิ้งชีวิตเอาไว้แล้ว

แม้ว่าเถี่ยหมัวจะไม่ลงมือก็ตาม

เมื่อฆ่ายอดผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยนเสร็จแล้ว ดวงตาของจ้าวเฟิงก็กลับสู่ปกติ สีหน้าไร้ความรู้สึก ท่าทางก็ผ่อนคลาย

เถี่ยหมัวอดที่จะมองไปยังจ้าวเฟิงอย่างลึกล้ำคราหนึ่งไม่ได้

การพบกับจ้าวเฟิงครั้งนี้ เขาไม่อาจที่จะมองจ้าวเฟิง ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ของทวีปที่พัฒนาขึ้นมานี้ออกได้

จ้าวเฟิงราวกับคิดบางอย่างออกอย่างกะทันหัน สีหน้าแปรเปลี่ยนไป ร่างจางหายไปไร้ซึ่งร่องรอย

หลายลมหายใจต่อมา ประกายสายฟ้าที่ปะปนไปด้วยสายลมได้ปรากฏขึ้นที่ห้องหลอมใต้ดิน

ในห้องหลอมใต้ดินถูกปกคลุมไปด้วยปราณเพลิงสีดำทมิฬ กระทั่งขั้นนายเหนือแท้ยังยากที่จะตรวจสอบ

ในใจของอาจารย์เถี่ยกานเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ลมหายใจติดขัด ทำได้เพียงมองไปยังร่างโครงกระดูกหมองหม่นอย่างไม่รู้ตัว ในเบ้าตาของมันปรากฏเปลวเพลิงสีแดงสดไหวระริก

‘วงแหวนทมิฬ’ ที่อยู่ในขั้นตอนสุดท้ายลอยอยู่ด้านหน้าของโครงกระดูกนั้น

“นายท่านโปรดวางใจ ในด้านของการหลอมสร้างอาวุธ ความรู้ในหลายร้อยปีที่ผ่านมาของข้าก็ไม่ด้อยไปกว่าอาจารย์ช่างฝีมือทั่วไป”

เจ้าหอโครงกระดูกรักษาสภาพขั้นตอนสุดท้ายของวงแหวนทมิฬที่กำลังจะเสร็จสิ้นเอาไว้

จ้าวเฟิงผงกศีรษะเล็กน้อย เจ้าหอโครงกระดูกไม่เข้าใจส่วนประกอบในพิมพ์เขียว ทำให้ไม่อาจทำอีกครึ่งขั้นสุดท้ายให้สำเร็จได้ ทว่าการที่จะให้เขารักษาสภาพปัจจุบันเอาไว้ไม่ใช่เรื่องยาก

ควรรู้ว่าในจุดสูงสุดของเจ้าหอโครงกระดูกนั้น อีกฝ่ายคือผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ขอบเขตจิตวิญญาณลึกล้ำ ประสบการณ์เหนือกว่าจ้าวเฟิงและอาจารย์เถี่ยกานมากมายนัก

“เจ้ารักษาสภาพไว้อีกหน่อย”

จ้าวเฟิงเอ่ยทิ้งไว้ไม่กี่คำ ร่างจางหายไปจากห้องหลอมใต้ดิน

ชั่วครู่ต่อมา

ประกายแสงสายฟ้าและสายลมไล่ตามร่างของรองจ้าวลัทธิโลหะเลือดและฉินหวางเฟยเบื้องหน้าทัน

“ฮ่าฮ่าฮ่า ฉินหวางเฟย เจ้าคงไม่คิดสินะว่าเป็นศัตรูกับนายเหนือผู้นี้มานานหลายปีจะต้องจบชีวิตลงเช่นนี้” รองจ้าวลัทธิโลหะเลือดแย้มยิ้มกว้าง วงแหวนทมิฬวาดออก ไล่ต้อนฉินหวางเฟยจนเข้าตาจน

บนอาภรณ์หรูหราของฉินหวางเฟยได้ปรากฏรอยฉีกขาดและหยาดโลหิตขึ้นสี่ห้ารอย เผยให้เห็นผิวกายขาวราวหิมะที่แดงก่ำ สร้างความดึงดูดชวนลุ่มหลงแก่ผู้พบเห็น

“นายเหนือเถี่ยหมัว โปรดไว้ชีวิตข้า”

บนใบหน้างดงามของฉินหวางเฟยปรากฏความอ้อนวอน ไหล่บางขาวราวน้ำนมชวนหลงใหล

กระทั่งรองจ้าวลัทธิโลหะเลือดยังต้องตั้งสติให้ดีเพื่อป้องกันมนต์เสน่ห์ของฉินหวางเฟย

“ตาย”

รองจ้าวลัทธิโลหะเลือดกังวลว่าหากยืดเยื้อนานกว่านี้จะเกิดปัญหาขึ้น บนใบหน้าเผยอารมณ์หลากหลาย วงแหวนทมิฬมุ่งตรงไปยังร่างของฉินหวางเฟยราวสายฟ้าฟาด

ในยามนี้ ฉินหวางเฟยได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว ทำให้ไม่อาจที่จะหลบเลี่ยงการโจมตีนี้ได้

“ช้าก่อน…” น้ำเสียงอ่อนโยนเรียบเฉยดังขึ้นจากกลางอากาศ

เสี้ยววินาทีต่อมา กลุ่มประกายกระแสไฟฟ้าและสายลมก็ปรากฏขึ้นระหว่างรองจ้าวลัทธิโลหะเลือดและฉินหวางเฟย

ฟึ่บ ครืนน

วงแหวนทมิฬของรองจ้าวลัทธิโลหะเลือดได้ถูกขัดขวางโดยม่านน้ำสีน้ำเงินเข้มที่ไหวกระเพื่อม ราวกับท้องทะเลอันไร้ก้นบึ้ง ยากที่จะฝ่าเข้าไปแม้อีกเพียงครึ่งนิ้ว

“จ้าวเฟิง เจ้า…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!