Skip to content

King of Gods 507

King Of Gods

บทที่ 507 คำสั่งของเจ้าหอจันทราชาด

หลังจากผ่านไปหลายวัน

ฐานหลักลัทธิโลหะเลือด เบื้องหน้าลานประลองได้ปรากฏเงาร่างผอมแห้งที่ดูราวกับยืนนิ่งมานานหลายปี

“จ้าวเฟิงยังไม่ออกมาอีกหรือ? เราจะไปเมื่อใดกัน”

ชายหนุ่มในอาภรณ์สกปรกยืนนิ่ง มือทั้งสองปล่อยทิ้ง ท่าทางผ่อนคลาย

“หวังเสี่ยวก้วย เจ้านี่กล้าไม่น้อย ถึงกับมาเยือนยังพื้นที่ของลัทธิโลหะเลือด ทั้งยังกล้ากล่าววาจาสามหาวกับท่านรองจ้าวลัทธิอีก”

เจียงซานเฟิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

หวังเสี่ยวก้วยส่งเสียง ‘ฮึ่ม’ ออกมาด้วยใบหน้าหมองหม่น สีหน้าราวกับพยายามอดทนอย่างมาก ข้างกายหวังเสี่ยวก้วยคือชายหนุ่มสองคน คนหนึ่งคือชายหนุ่มผมสีน้ำตาลในอาภรณ์สีทอง อีกหนึ่งคือชายหนุ่มหน้าตางดงามในชุดต่อสู้

แต่เดิม

คนทั้งสามคือหนึ่งในอัจฉริยะเซียนมังกรของอาณาจักรนภาที่รวมตัวกัน เตรียมไปเข้าร่วมงานน้ำชาเซียนมังกรด้วยกัน อีกสองคนข้างหวังเสี่ยวก้วยคือจินไท่จื่อและเทียนหยุนจื่อ

งานชุมนุมเซียนมังกรนี้ ความสามารถของอาณาจักรนภายอดเยี่ยมเกินความคาดหมาย จำนวนของอัจฉริยะเซียนมังกรมีมากเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาอาณาจักรทั้งหมด

มีเพียงแค่ลัทธิโลหะเลือดที่มีอัจฉริยะเซียนมังกรสามคน: จ้าวเฟิง เจียงซานเฟิง และเตี๋ยเย่

 

“เจียงซานเฟิง เวลาของงานน้ำชาเซียนมังกรกระชั้นชิดเข้ามาแล้ว หากไม่ใช่เพราะจ้าวเฟิง พวกเราคงออกเดินทางไปนานแล้ว”

จินไท่จื่ออดที่จะบ่นไม่ได้

เหตุผลที่พวกเขาจำต้องรอจ้าวเฟิงนั้นเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่ใช่เพียงแค่อัจฉริยะอันดับหนึ่งของอาณาจักร ทว่ายังเป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ของทวีปด้วย หากสามารถไปพร้อมกับจ้าวเฟิงได้ อาจจะได้รับการไว้หน้าบ้างในงานน้ำชาเซียนมังกร

หากจะพูดง่ายๆ ก็คือ จ้าวเฟิงคือผู้นำของอัจฉริยะแห่งอาณาจักร กระทั่งเป็นราชาของอัจฉริยะเซียนมังกรของแดนเหนือ

“รองจ้าวลัทธิจ้าวบอกว่าจะออกเดินทางวันนี้”

เจียงซานเฟิงเอ่ยด้วยสีหน้ามั่นใจ

ในยามนี้ ห่างออกไปได้ปรากฏเสียงบางอย่างขึ้น

“ท่านรองจ้าวลัทธิมาแล้ว”

สตรีในอาภรณ์สีชมพูพลิ้วกายลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดี นางคือเตี๋ยเย่

เพียงสิ้นเสียงของนาง กลางอากาศเหนือลานประลองก็ได้ปรากฏกระแสไฟฟ้าที่สร้างความรู้สึกหนึบชาเล็กๆ ขึ้น

ร่างที่มีเรือนผมสีน้ำเงินพลิ้วกายลงข้างเตี๋ยเย่แทบจะพร้อมเพรียงกัน

“จ้าวเฟิง”

ในดวงตาของจินไท่จื่อและเทียนหยุนจื่อปรากฎความตื่นตะลึงขึ้น

คนทั้งสองไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจนว่าจ้าวเฟิงมาได้อย่างไร

สามารถมั่นใจได้ว่าเตี๋ยเย่มุ่งหน้ามาก่อนจ้าวเฟิงนานพอสมควร ทว่าอีกฝ่ายกลับสามารถมาถึงได้พร้อมกับฝ่ายแรก

“อืม คนมาครบแล้ว เตรียมตัวออกเดินทาง”

จ้าวเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกระจ่างใส

“ออกเดินทางเช่นนี้?”

ดวงตาทั้งสองของหวังเสี่ยวก้วยจับจ้องไปยังจ้าวเฟิงโดยไม่ผละจาก สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ทว่าก็ยังยากที่จะปกปิดจิตต่อสู้ที่เข้มข้นนั้นได้

เจียงซานเฟิงเอ่ยพร้อมด้วยรอยยิ้ม “ท่านรองจ้าวลัทธิ ก่อนที่พวกเราจะออกเดินทางก็อยากจะประลอง ให้ท่านรองจ้าวลัทธิชี้แนะสักหนึ่งหรือสองกระบวนท่า ถือว่ามิให้พวกเราต้องไปเสียหน้าที่งานน้ำชาเซียนมังกร”

“ได้”

จ้าวเฟิงไม่คัดค้าน

คนเหล่านี้มารออยู่ที่ลานประลอง ชัดเจนว่าตั้งใจจะทำเช่นนี้อยู่แล้ว

สายตาของจ้าวเฟิงกวาดมองคนทั้งสาม หวังเสี่ยวก้วย จินไท่จื่อ และเทียนหยุนจื่อ คนทั้งสามมีพลังฝึกตนอยู่ในขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำ มีจินไท่จื่อที่พลังฝึกตนใกล้เคียงขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูง

เจียงซานเฟิงทะลวงเข้าสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ ส่วนเตี๋ยเย่ติดอยู่ในขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอด เทียบกับก่อนหน้างานชุมนุมเซียนมังกร นับว่าทุกคนพัฒนาไปอย่างมาก ไม่เสียชื่อของอัจฉริยะเซียนมังกร

สิ้นเสียงของจ้าวเฟิง การประลองก็เริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว

ผู้ที่ขึ้นไปบนลานประลองเป็นคนแรกคือหวังเสี่ยวก้วย เขามองเจียงซานเฟิงด้วยสายตาอำมหิตครั้งหนึ่ง ราวกับว่าคำตำหนิของอีกฝ่ายก่อนหน้าได้สร้างความขุ่นเคืองให้เขา

เจียงซานเฟิงไม่หวาดกลัว เขาบรรลุขั้นผู้วิเศษแท้ มรดกวิชาเองก็เข้าสู่ระดับที่สูงขึ้น ความมั่นใจในความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น

บนลานประลอง ร่างทั้งสองเข้าปะทะกันอย่างรวดเร็ว

จ้าวเฟิงมองอย่างสนใจ

การตัดสินแพ้ชนะของคนทั้งสองรวดเร็วเกินกว่าที่จินตนาการเอาไว้

“กายาวานรสวรรค์”

หวังเสี่ยวก้วยทุบกำปั้นทั้งสองเข้าไปที่หน้าอกของตนเองพร้อมคำรามเสียงต่ำ ผิวกายทั่วทั้งร่างราวกับศิลา บนตั้งตรงส่องแสงสีทอง ร่างกายของเขาพลันขยายใหญ่ออกกลายเป็นวานรศิลา

เสี้ยววินาทีที่หวังเสี่ยวก้วยชกหมัดออกไป พื้นดินก็สั่นไหว พลังที่ไม่อาจมองเห็นสั่นสะท้านห้วงอากาศ ตาเปล่ามองเห็นเพียงเงาหมัดสีม่วงที่ส่องประกายสีทอง มีพลังมหาศาลที่ราวกับจะสามารถบดขยี้ภูเขาได้

พลังของหมัดนั้นได้ทำให้เจียงซานเฟิงรู้สึกราวกับถูกกดทับจนแทบจะกระอักเลือดออกมา

“เปรี้ยง”

วิชาต่อสู้ของเจียงซานเฟิงเพิ่งถูกใช้ออกก็ถูกหมัดที่ทรงพลังของหวังเสี่ยวก้วยส่งร่างกระเด็นลอยออกไปในอากาศ

“เจียงซานเฟิง”

เตี๋ยเย่ตื่นตะลึงจนสิ้นเสียง มองด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ รีบมุ่งตรงไปช่วยประคองเจียงซานเฟิง

หมัดนั้นทำให้เจียงซานเฟิงกระเด็นออกไป บาดเจ็บจนขยับไม่ได้

หนึ่งกระบวนท่าตัดสินแพ้ชนะ

คนทั้งสองไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน

“หลังจากที่หวังเสี่ยวก้วยเข้าไปในมรดกต่างแดน พลังสายเลือดก็ตื่นมากขึ้น ในด้านความเร็วการพัฒนาเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แล้วบางทีอาจจะรวดเร็วที่สุด”

จ้าวเฟิงเพ่งตามองเล็กน้อย ไม่คิดว่าหวังเสี่ยวก้วยจะลงมือหนักเช่นนี้

เจียงซานเฟิงพ่ายแพ้โดยไม่มีแม้แต่โอกาสจะตอบโต้

หวังเสี่ยวก้วยเอาชนะเขาด้วยความเหนือกว่าอย่างสิ้นเชิง

หวังเสี่ยวก้วยมีพลังฝึกตนเพียงขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำ ทว่าพลังต่อสู้ของเขาแตกต่างกับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ในงานชุมนุมเซียนมังกรที่ผ่านมาไม่มากนัก

ในเรื่องนี้ จินไท่จื่อและเทียนหยุนจื่อไม่ประหลาดใจ

“ในเวลาครึ่งปีที่ผ่านมา พวกเราล้วนพ่ายแพ้ให้แก่เด็กนี่”

จินไท่จื่อเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิดเล็กๆ

พวกจ้าวเฟิงอดที่จะตะลึงไปไม่ได้

แต่เดิม ก่อนหน้าที่จ้าวเฟิงยังไม่กลับมา หวังเสี่ยวก้วยคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งของอาณาจักรนภา

หลังจากนั้น

จินไท่จื่อและเทียนหยุนจื่อจึงประลองกันอย่างดุเดือด

หลังจากที่ปะทะกันไปหลายสิบกระบวนท่า พลังสายเลือดสองสายในร่างของเทียนหยุนจื่อ พลังสายเลือดของตระกูลเทียนและตระกูลหยุนก็ได้ระเบิดออก จิตแห่งดาบที่ทรงพลังผ่าเมฆา เอาชนะจินไท่จื่อไป

“เทียนหยุนจื่อ ไม่คิดว่าเจ้าจะพัฒนาไปมากเพียงนี้”

จินไท่จื่อมีท่าทีหดหู่ขมขื่น อดีตอัจฉริยะอันดับหนึ่งของอาณาจักรกลับต้องมีชะตากรรมเช่นนี้

หลายเดือนก่อน เขาและเทียนหยุนจื่อยังอยู่ในระดับเดียวกัน มิคาดว่ายามนี้กลับพ่ายแพ้ต่อเทียนหยุนจื่อและถูกก้าวข้ามไปแล้ว

จ้าวเฟิงลอบผงกศีรษะ ความสามารถของเทียนหยุนจื่อมีมากโดยแท้ มีมรดกสายเลือด ทั้งยังทำความเข้าใจในจิตแห่งดาบ พลังของเขานั้น ในบรรดาผู้ฝึกตนที่มีพลังต่ำกว่าขั้นนายเหนือแท้นับว่ายากจะหาคู่ต่อสู้ได้

หลังจากที่เทียนหยุนจื่อชนะ จิตต่อสู้ในร่างก็ลุกโชน พลันเอ่ยท้าประลองหวังเสี่ยวก้วยในทันที

หวังเสี่ยวก้วยแสยะยิ้มโอ้อวด กระตุ้นการเคลื่อนไหวของวิชาสายเลือด สั่นสะท้านอากาศ บนพื้นดินพลันปรากฏรอยแตกขึ้น

ไม่มีวิชามากมาย มีเพียงแค่แรงของคนที่หยาบกระด้างอย่างเรียบง่าย

หลังจากผ่านไปสิบกระบวนท่า

“เคร้ง พรวด”

เทียนหยุนจื่อถูกหวังเสี่ยวก้วยโจมตีจนกระเด็นออกไปพร้อมดาบคู่มือ

ร่างกายของหวังเสี่ยวก้วยทรงพลัง ความแข็งแกร่งของเขาแทบจะเหนือกว่าผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ทั้งหมด ทั้งเมื่อใช้วิชาสายเลือดออก พลังกายและพลังป้องกันยังเพิ่มขึ้นในทันทีหนึ่งเท่าตัว เป็นพลังที่เพียงพอจะทำลายความแตกต่างระหว่างขอบเขตพลัง

“เจี๊ยก…”

มือทั้งสองของหวังเสี่ยวก้วยทุบที่หน้าอกของตนเอง ร่างราวกับกลายเป็นวานรศิลาตัวยักษ์ที่ส่องประกายสีทอง ท่าทีเย่อหยิ่งจองหองเหนือกว่าผู้ใด

ยอดฝีมือลัทธิโลหะเลือดบางคนที่อยู่ไม่ห่างมองไปยังหวังเสี่ยวก้วยอย่างประหลาดใจ ดูเหมือนว่าในบรรดาผู้ฝึกตนที่มีพลังต่ำกว่าขั้นนายเหนือแท้ หวังเสี่ยวก้วยนับได้ว่าไร้เทียมทาน

ในด้านพลังกายการป้องกัน เขาไม่ด้อยไปกว่าชื่อเฉิงเทียน ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ในงานชุมนุมเซียนมังกรที่ผ่านมา ทว่าพลังโจมตีสายเลือดของเขาเหนือกว่า

หวังเสี่ยวก้วยกวาดตามองผู้คน

“ดี เช่นนั้นก็ออกเดินทาง”

พวกจ้าวเฟิง ทั้งสภาพดีและสภาพไม่ดีพูดคุยประเมินกันเรียบร้อยก็เตรียมตัวจะออกเดินทาง

เทียนหยุนจื่อและจินไท่จื่อหลังจากที่ฟังคำชี้แนะก็เข้าใจอย่างชัดเจน

“จ้าวเฟิง พวกเรายังไม่ได้ประลองกัน”

หวังเสี่ยวก้วยแย้มยิ้มแปลกประหลาด ร่างพุ่งวูบขวางจ้าวเฟิง

ผู้คนมองไป

“หวังเสี่ยวก้วย เจ้ากล้าท้าประลองท่านรองจ้าวลัทธิหรือ? กระทั่งผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้บางคนยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านจ้าวลัทธิเลย”

เจียงซานเฟิงส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม

เขาประลองกับหวังเสี่ยวก้วยเมื่อครู่นับว่าประมาทไป แน่นอนย่อมไม่ลืมที่จะโจมตีอีกฝ่ายเมื่อมีโอกาส

ผู้ที่เฝ้ามองอยู่หลายคนผงะไป พยายามกลั้นหัวเราะ

พลังของจ้าวเฟิง พวกเขารู้ดี เอาชนะผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ไปหลายคน กระทั่งคร่าชีวิตของจ้าวตำหนักฉินเจี่ยนไป

แม้ว่าหวังเสี่ยวก้วยจะแข็งแกร่ง ทว่าไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของจ้าวเฟิงได้

แน่นอนว่าจินไท่จื่อ เทียนหยุนจื่อ และคนอื่นๆ ล้วนคาดหวัง บางทีหวังเสี่ยวก้วยอาจจะเปิดเผยข้อมูลของจ้าวเฟิงขึ้นได้อีกหลายส่วน

สุดท้ายแล้ว ผลก็ทำให้พวกเขาผิดหวัง

“เริ่มสิ”

จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง ไม่ปฏิเสธ

“กายาวานรสวรรค์”

หวังเสี่ยวก้วยไร้ซึ่งความลังเล กระตุ้นใช้วิชาสายเลือด ทั่วทั้งร่างถูกล้อมรอบไปด้วยจุดสีทอง หมัดสั่นสะท้าน พื้นดินไหวสะเทือน เงาหมัดสีม่วงส่องประกายสีทองครอบคลุมระยะหลายสิบจ้าง

กระทั่งผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั่วไปที่อยู่ในบริเวณนั้นก็จะต้องรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ความแตกต่างด้านพลังกายนั้นสร้างขึ้น

เปรี้ยง ฟึ่บ

หมัดของหวังเสี่ยวก้วยลดระดับลง เบื้องหน้าปรากฏเงาหมัดไหลยาว ขยายขนาดออกเป็นร้อยจ้าง เบื้องหน้าของผู้คนราวกับปรากฏดอกไม้ผลิบานขึ้น ยามที่พวกเขาเห็นร่างของจ้าวเฟิง การต่อสู้ก็จบลงแล้ว

“อ๊ะ”

หวังเสี่ยวก้วยกลับหัวกลับหาง ศีรษะชี้ดิน เท้าชี้ฟ้า ลอยอยู่กลางอากาศ

เขาอยากจะดิ้นรน ทว่าทั่วทั้งร่างถูกโซ่กระแสไฟฟ้าและสายลมโอบล้อม ร่างกายชาหนึบเจ็บปวด อดที่จะร้องขอชีวิตออกมาหลายครั้งไม่ได้

คนทั้งหลายที่เห็นภาพนั้นนิ่งอึ้ง

เทียนหยุนจื่อและจินไท่จื่อสบตากันครั้งหนึ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง

ชัดเจนว่าพลังของจ้าวเฟิงได้อยู่ในระดับที่พวกเขาไม่อาจทำความเข้าใจได้แล้ว

“ดี เตรียมตัวออกเดินทาง”

จ้าวเฟิงลอยอยู่กลางอากาศ ปล่อยเท้าของหวังเสี่ยวก้วย

ตุบ

หวังเสี่ยวก้วยตกลงมาหัวทิ่ม สร้างหลุมรูปร่างมนุษย์ขึ้นบนพื้น

หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไป บางทีอาจจะบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว ทว่าผู้คนไม่กังวลถึงความปลอดภัยของเขา

ในวันเดียวกัน อัจฉริยะเซียนมังกรทั้งหกของอาณาจักรนภาก็เดินทางออกจากฐานหลักลัทธิโลหะเลือด ทั้งกลุ่มมีสัตว์ขี่ที่คุณภาพเหนือกว่าเดิม สลับสับเปลี่ยนกันไป บินไปอย่างเร่งรีบตลอดทาง มุ่งตรงไปยังแดนกลาง ความเร็วมากนัก

หลังจากงานชุมนุมเซียนมังกร อัจฉริยะเซียนมังกรทั้งหกก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอันตรายในป่า นอกจากนั้นยังมีจ้าวเฟิง ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้คนนี้นำมา เหล่าผู้อาวุโสของอาณาจักรนภาไม่มีสิ่งใดให้กังวล

สองเดือนต่อมา

คนทั้งหกเข้าไปในแดนกลาง

จ้าวเฟิงครุ่นคิดว่า ระยะทางนี้ เมื่อเทียบกับความห่างระหว่างแคว้นเมฆาและอาณาจักรนภาแล้วยังห่างไกลกว่ามากนัก นั่นเป็นเพราะแดนกลางคือใจกลางของทวีป พื้นที่ของมันห่างจากแต่ล่ะแดนไม่มากนัก

ดังนั้นแล้วมันจึงเป็นสถานที่จัดงานน้ำชาเซียนมังกร ตำแหน่งของมันนับว่าเหมาะสมที่สุด

“ได้ยินมาว่าที่แดนกลางนี่คือบริเวณที่แข็งแกร่งที่สุด เป็นสถานที่ที่ให้กำเนิดอัจฉริยะยอดฝีมือมากที่สุด ตัวอย่างเช่นโอรสสวรรค์สามตาและหยูเทียนฮ่าวที่เป็นอัจฉริยะที่มาจากแดนกลาง”

เจียงซานเฟิงเอ่ยอย่างสะเทือนใจ

แม้ว่าพวกเขาจะได้เข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรมาก่อน ทว่าก็ไม่ได้รู้เรื่องแดนกลางมากนัก

“หลังจากผ่านแคว้นใหญ่ไปอีก 3-4 แคว้นก็จะไปถึงสถานที่จัดงานน้ำชาเซียนมังกร”

จินไท่จื่อนำแผนที่ออกมา

ไม่ช้า สัตว์วิเศษที่บรรทุกร่างของคนทั้งหกก็หลอมรวมไปกับเส้นขอบฟ้า ในป่าเงียบสงัดห่างออกไปหลายร้อยลี้ได้ปรากฏร่างพร่ามัวขึ้นสองร่าง ร่างทั้งสองนั้น ร่างหนึ่งคือสตรีงดงามร่างผอมบางในอาภรณ์สีดำ สวมใส่มงกุฎสีดำ อีกหนึ่งคือร่างอันใหญ่โต

“ผู้อาวุโส พวกนั้นก็แค่เด็กเหลือขอจำนวนหนึ่ง พลังฝึกตนสูงสุดแค่ขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำ มีสิ่งใดที่ทำให้ท่านต้องมาแกะรอยด้วยตนเองกัน? ควรจะให้ผู้น้อยลงมือ จัดการฆ่าพวกมันเสียดีกว่า”

ใบหน้าของสตรีงดงามชุดดำเต็มไปด้วยความนอบน้อม เอ่ยเสนอตัวอย่างเต็มใจ

“บนร่างของเด็กนั่นมีกลิ่นอายคำสั่งเจ้าหอจันทราชาดอยู่ ทั้งดูเหมือนจะเพิ่งเข้ามาในทวีปกลาง สหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์เคยใช้กับดักตราคำสั่งแบบนี้มาลอบโจมตียอดฝีมือของลัทธิเรามาก่อน ดังนั้นอย่าเพิ่งรีบร้อนลงมือ…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!