บทที่ 553 กระดูกเก้าทมิฬ
สามวันหลังจากนั้น ภายในซากปรักหักพังสือเฉิง
จ้าวเฟิงที่นั่งขัดสมาธิลืมตาในทันทีเมื่อได้รับข่าวร้าย
“ลู่เทียนอี้ตื่นแล้วหรือ?” จ้าวเฟิงพึมพำ เรือนผมสีน้ำเงินโบกพลิ้วไปกับสายลม
ก่อนหน้านี้จ้าวเฟิงได้เตรียมใจไว้แล้วว่า ด้วยการรักษาของผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น ลู่เทียนอี้มีความเป็นไปได้ที่จะรู้สึกตัว
เพียงแต่คาดคิดไม่ถึงว่าลู่เทียนอี้จะฟื้นคืนสติเร็วขนาดนี้
พลังรบของลู่เทียนอี้แข็งกล้า ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นถนัดในการป้องกันและการรักษาอยู่แนวหลัง
หากคนทั้งสองร่วมมือกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นจ้าวเฟิงที่มีข้อได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ของซากปรักหักพังสือเฉิง ก็ยังต้องวิตกกังวลอยู่เหมือนกัน
พรึ่บ!
จ้าวเฟิงเรียกใช้ ‘ดวงตาข้ามระยะทาง’ ไม่นานนักก็มองปรุโปร่งไปยังถ้ำบนเขา เห็นภาพของลู่เทียนอี้ที่ฟื้นคืนสติภายใต้การรักษาของผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น
เหมือนจะมีปฏิกริยาโต้ตอบแล้ว ในมือของผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นเกิดเป็นสายน้ำสีมรกตชั้นหนึ่งปกป้องรอบทิศทางไว้
จ้าวเฟิงชำเลืองมอง ลู่เทียนอี้ในเวลานี้ยังคงอ่อนแออยู่ ไม่มีพลังรบเสียเท่าไหร่
สตินึกคิดของจ้าวเฟิงกลับคืนมาที่หุบเขาลี้ลับ เขาขมวดคิ้ว “ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นมีพลังป้องกันและฟื้นฟูแข็งแกร่ง อยากจะทะลวงผ่านด่านนางนับว่าไม่ง่ายจริงๆ อีกทั้งยังมีเย่หยานหยูกับจงหว่านเอ๋อร์ที่ร่วมมือกันแล้วพลังรบน่าจะพอๆ กับผู้สูงศักดิ์” กองทัพแรกของทั้งสามสำนักที่นำโดย ‘ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น’ เดิมทุ่มเทกำลังเพื่อจะตั้งฐานที่มั่นที่นี่
ความจริงได้พิสูจน์ให้เห็นชัดแล้วว่า ผลงานของผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นนับว่าเกินคนธรรมดา ถ้าหากเปลี่ยนเป็นผู้สูงศักดิ์ทั่วไปน่าจะโดนจ้าวเฟิงสังหารจนตายไปหลายรอบแล้ว
“นั่นสิ ถ้าหากว่าพลังรบของลู่เทียนอี้ฟื้นคืนถึงจุดสูงสุดล่ะก็คงยุ่งยากเอาการเลยทีเดียว นอกเสียจากว่าแผนการร้อยศพจะสำเร็จลุล่วง…” เจ้าหอโครงกระดูกก็ร่วมถกด้วย
แผนการร้อยศพในตอนนี้สำเร็จลุล่วงไปแล้วครึ่งหนึ่งด้วยการควบคุมของเจ้าหอโครงกระดูก คนในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำยากที่จะรับมือได้ อย่างน้อยก็สามารถรับมือกับผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นได้ไม่มีปัญหา
“แผนการร้อยศพ หากจะให้สำเร็จอย่างน้อยๆ ต้องใช้เวลาราวสองสามเดือน” จ้าวเฟิงส่ายศีรษะปฏิเสธ
ทันทีที่แผนการร้อยศพสำเร็จสมบูรณ์ การสังหารผู้สูงศักดิ์จะง่ายดายขึ้นมาก แต่ว่ากระบวนการนี้ไม่อาจสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น
“มีอยู่วิธีหนึ่ง หากจะเพิ่มพลังรบในระยะเวลาสั้นต้องพึ่งพาพลังจากภายนอก” แววตาของจ้าวเฟิงเป็นประกาย
พลังจากภายนอก?
เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงที่กำลังร่วมถกเถียงด้วยอดไม่ได้ที่จะตื่นตัวขึ้น จากนั้นจ้าวหยูเฟ่ยก็เหมือนจะเข้าใจเหมือนกัน
“พลังจากภายนอกอะไร?” เจ้าหอโครงกระดูกยังไม่เข้าใจ
ครึ่งวันจากนั้น
ณ ใจกลางของหุบเขาลี้ลับ
วิ้ง~
ภายในหมอกมายาสีม่วง ‘วิหารสือเฉิง’ ลอยลงมาจากฟ้า
สวบ!
ร่างของจ้าวเฟิงสั่นไหวเล็กน้อยยามเมื่อก้าวเข้าไปภายในวิหาร
วิหารสามชั้น
“ผู้อาวุโสสือเฉิง มีอาวุธชั้นพิภพชิ้นไหนที่เหมาะกับ ‘เขา’ บ้างหรือไม่” จ้าวเฟิงยื่นมือชี้ไปที่เจ้าหอโครงกระดูกที่อยู่ข้างๆ
“อาวุธชั้นพิภพ? ข้างั้นหรือ?”
เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงตาโตอ้าปากค้าง รู้สึกงุนงงอยู่บ้าง ยังคงอึ้งกับเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมาย
“มีอาวุธชั้นพิภพธรรมดาอยู่สามชิ้น ให้เขาลองเลือกๆ ดู” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงโบกมือน้อยๆ
ทันใดนั้น ปรากฏลูกไฟสีมืดทึมสามดวงอยู่เบื้องหน้าพวกเขา เป็นอาวุธชั้นพิภพจำนวนสามชิ้นนั่นเอง
“ความหมายของพวกท่านคือ…ข้าเลือกอาวุธชั้นพิภพได้หนึ่งชิ้นงั้นหรือ?” เจ้าหอโครงกระดูกไม่อาจจะซ่อนความลิงโลดในใจได้
อาวุธชั้นพิภพ ณ ทวีปบุปผาครามเป็นอาวุธทำลายล้างต้องห้ามในตำนาน
ภายในซากปรักหักพังสือเฉิง เจ้าหอโครงกระดูกโดนกดขี่ข่มเหงซ้ำแล้วซ้ำเล่าและโดนเอาเปรียบเสมอ หนึ่งในเหตุผลก็คือเขาไม่มีอาวุธชั้นพิภพ ถ้าหากมีอาวุธชั้นพิภพสักชิ้นหนึ่ง เชื่อว่าพลังรบของเจ้าหอโครงกระดูกน่าจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
ครู่ต่อมา เจ้าหอโครงกระดูกสามารถเลือกอาวุธชั้นพิภพหนึ่งชิ้นจากสามชิ้น นั่นก็คือกระดูกสีเงินทมิฬอันมีไอสังหารสีม่วงดำห่อหุ้มอยู่ มันยาวประมาณสามชุ่น ส่วนปลายเรียวแหลม พลังของมันจะส่งลำแสงเหมันต์น่าสะพรึงเข้าสู่วิญญาณโดยตรง
“กระดูกเก้าทมิฬเป็นอาวุธชั้นพิภพที่เหมาะกับผู้ที่ฝึกวิชาภูติผีโครงกระดูก อาวุธชนิดนี้สามารถหลอมรวมเข้าไปในกระดูก เพิ่มความแข็งแกร่งและเสริมการป้องกันให้กับกระดูกแกนกลาง ยามโจมตีพลังทมิฬที่แฝงอยู่จะพุ่งตรงเข้าไปโจมตีดวงวิญญาณ พลังน่ากลัวยิ่งนัก คมกระดูกนี้ยิ่งพรากดวงวิญญาณมากเท่าไหร่ พลังแฝงของมันก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงบรรยายคุณสมบัติของอาวุธชั้นพิภพชิ้นนี้
หลังจากที่เจ้าหอโครงกระดูกได้รับ ‘กระดูกเก้าทมิฬ’ เขารู้สึกปลาบปลื้มจนไม่ยอมปล่อยมือ อาวุธชิ้นนี้เหมาะสมกับเขาเหลือเกิน
ครึ่งชั่วยามต่อมา ‘กระดูกเก้าทมิฬ’ ก็หลอมรวมเข้ากับกระดูกสีทองเงินของเจ้าหอโครงกระดูก สีของโครงกระดูกเข้มขึ้นเล็กน้อย กลิ่นอายที่สาดออกมาแข็งแกร่งกว่าทุกวันมากกว่าครึ่ง
“ฮ่าฮ่าฮ่า…ไม่เสียทีที่เป็นอาวุธชั้นพิภพ เมื่อหอกกระดูกหลอมรวมเข้ากับภายในร่างกายแล้ว ปกติถึงแม้ว่าจะไม่เรียกออกมาใช้ พลังรบก็ยังคงเพิ่มขึ้นอยู่ดี” เจ้าหอโครงกระดูกหัวเราะอย่างมีความสุข เขาฝึกตนร่วมร้อยปียังไม่เท่าพลังที่เพิ่มขึ้นด้วยอาวุธชั้นพิภพชิ้นนี้เลย
จ้าวเฟิงพยักศีรษะน้อยๆ สำหรับผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดแล้ว การได้ครอบครองอาวุธชั้นพิภพชิ้นหนึ่งสามารถเพิ่มพลังให้ได้เป็นจำนวนมาก
สามวันจากนั้น เจ้าหอโครงกระดูกก็เข้าใจลึกซึ้งในวิธีการใช้ ‘กระดูกเก้าทมิฬ’ เรียบร้อย
กระดูกเก้าทมิฬเดิมทีเรียกได้ว่าเหมาะสมกับเขาเป็นอย่างยิ่ง ประหนึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเขาอย่างไรอย่างนั้น จึงไม่ต้องสิ้นเปลืองเวลาทำความคุ้นเคยกับมันแต่อย่างใด
“ออกเดินทาง อย่าให้ลู่เทียนอี้ฟื้นคืนพลังได้” จ้าวเฟิงไม่รีรออีกต่อไป
ในวันนั้นเอง จ้าวเฟิงกับเจ้าหอโครงกระดูกก็หาแหล่งกบดานรักษาตัวของผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นและคนอื่นพบ
ก่อนที่จะสู้รบกัน จ้าวเฟิงใช้พลังดวงตาเทพเจ้าควบคุมฝูงสัตว์อสูรในบริเวณใกล้เคียงให้วางกำลังล้อมโจมตีตำแหน่งที่อยู่ของพวกผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น
โครม ตูม บึ้ม!
ไม่นานนัก ถ้ำบนเขาอันเป็นที่ซ่อนตัวของผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นก็โดนฝูงสัตว์อสูรโจมตีจนถ้ำถล่มลงมา
ค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป!
จ้าวเฟิงโบกสะบัดธงสีดำในมือ ควันสีเทาโขมงทะลักออกมาปกคลุมพื้นที่เป็นรัศมีกว่าสองลี้
ครั้งนี้จ้าวเฟิงเป็นผู้ควบคุมค่ายกลหุ่นเชิดศพด้วยตัวเอง ยามที่เรียกค่ายกลออกมานับว่าพอเหมาะพอเจาะอย่างยิ่ง
พวกผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นเพิ่งจะสังหารสัตว์อสูรไปจำนวนหนึ่งก็ตกอยู่ภายในค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป
ที่บอกว่าพอเหมาะพอเจาะคือ เลือดเนื้อจิตวิญญาณของฝูงสัตว์อสูรที่เพิ่งจะตายไปนั้นได้กลายมาเป็นอาหารให้กับค่ายกลหุ่นเชิดศพ จนทำให้พลังของค่ายกลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
วูบ~
หุ่นเชิดศพห้าสิบร่าง ปราณศพ และพลังคำสาปอาฆาตถูกปลดปล่อยออกมาเรื่อยๆ พลังนั้นร้ายกาจรุนแรงมากพอจะทำให้ขั้นครึ่งก้าวของผู้สูงศักดิ์กลายเป็นกองเลือดได้ในเวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้น
“เขตนทีมรกต” ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นเรียกเอาอาวุธชั้นพิภพหยดนทีมรกตออกมา แล้วสร้างกำแพงน้ำสาดแสงมรกตเรืองรองมาเป็นปราการป้องกันที่แข็งกล้า
เพียงแต่ว่าในวันนี้ พลังของค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาปไม่ได้เหมือนดั่งวันก่อนอีกแล้ว จึงทำให้มีพลังคำสาปบางส่วนทะลวงเข้าไปในเขตกำแพงได้
เย่หยานหยูและจงหว่านเอ๋อร์ที่อยู่ภายในเขตนทีมรกตล้วนแต่ตื่นตระหนก
พวกนางมีอาวุธชั้นพิภพกันคนละชิ้น ให้ปัดป้องเพียงชั่วครู่ยามก็พอได้อยู่ แต่ว่าลู่เทียนอี้ที่ยังไม่หายดีมีร่างกายอ่อนแอเหลือเกิน แล้วไหนจะยังพลังคำสาปที่กัดกร่อนเข้ามาอีก ใบหน้าเขาจึงยิ่งซีดเผือดไปทุกที
“อาวุธชั้นพิภพ กระดูกเก้าทมิฬ!” เจ้าหอโครงกระดูกอาศัยโอกาสได้เปรียบจากพลังอันแข็งกล้าของค่ายกลหุ่นเชิดศพ สะบัดแขนข้างหนึ่ง กระดูกยาวกว่าสิบจั้งที่มีไอทมิฬสีม่วงดำหมุนวนอยู่โดยรอบโผล่ออกมา มันประหนึ่งเป็นปลายแหลมคมแห่งความตายจากนรก ทิ่มแทงไปที่เขตนทีมรกตอย่างไร้ซึ่งความปราณีใดๆ
ผลัวะ ตูม!
เขตนทีมรกตสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แล้วค่อยๆ ปรากฏรอยแตกร้าวขึ้น
วู้ วิ้ง~
ในเวลาเพียงชั่วครู่ ค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาปและกระดูกเก้าทมิฬก็ทะลวงเข้าไปภายในเขตนที
ฝ่ายแรกกัดกร่อนร่างกาย ดูดกินเอาเลือดเนื้อจิตวิญญาณไม่มีหยุด ฝ่ายหลังมีพลังโจมตีกล้าแกร่ง แล้วยังมีปราณเก้าทมิฬที่เต็มไปด้วยจิตสังหารพุ่งโจมตีไปยังดวงวิญญาณ
เวลาไม่กี่ช่วงลมหายใจ เขตนทีมรกตสูญสลายไปกว่าครึ่ง นอกจากผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น คนอื่นๆ ล้วนบาดเจ็บสาหัสจนหมดสิ้น
“เหอะเหอะ มีพลังอาวุธชั้นพิภพมาเพิ่ม ผลที่ได้นับว่าไม่เหมือนเดิมจริงๆ”
จ้าวเฟิงยิ้มกระหยิ่มใจ
ถึงแม้เขาจะมีหอกจักรพรรดิเหมันต์ แต่ว่ายังฝึกตนไม่ถึงขั้นผู้สูงศักดิ์ จึงไม่อาจทำให้พลังแข็งกล้ากว่าเดิมได้
กลับเป็นเจ้าหอโครงกระดูกที่กระตุ้น ‘กระดูกเก้าทมิฬ’ ร่วมมือสอดประสานกับค่ายกลหุ่นเชิดศพ
อีกทั้งหุ่นเชิดศพห้าสิบร่างยังดูดซึมเอาเลือดเนื้อจิตวิญญาณของสัตว์อสูรจำนวนมาก พลังที่ปลดปล่อยออกมาย่อมต้องแข็งกล้าเป็นอย่างยิ่ง
ตูม โครม บึ้ม!
เงากระดูกแหลมคมที่มีไอทมิฬสีม่วงดำเต้นระเร่าโจมตีไปที่ ‘เขตนทีมรกต’ ไม่หยุด ทุกครั้งที่พุ่งเข้าไป มันจะทะลวงเขตนทีจนเกิดเป็นรู
ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นพยายามต้านไว้อย่างสุดความสามารถ พวกลู่เทียนอี้ที่เหลือสามคนไม่มีใครสามารถทำอะไรได้อีกแล้ว
เจ้าหอโครงกระดูกอยากจะบุกโจมตีเขตนทีมรกตไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ล้วนโดนจ้าวเฟิงห้ามไว้ เป็นเพราะว่าจ้าวเฟิงเตรียมพร้อมระวังเผื่อว่าคนที่เหลือจะมีไม้ตายแบบ ‘โล่พลังเซียน’ อีก
คนทั้งสองอยู่ภายในค่ายกลหุ่นเชิดศพซึ่งเป็นปราการอันแข็งแกร่ง ต่อให้เป็นพลังของโล่พลังเซียนก็ยากที่จะทะลวงเข้ามา เรียกว่าสามารถป้องกันตัวเองได้
“จ้าวเฟิงผู้นี้ระมัดระวังรอบคอบอะไรแบบนี้” ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
นางยังมีเคล็ดวิชาบางส่วนที่มีพลังพอๆ กับโล่พลังเซียน จงหว่านเอ๋อร์เองก็มีโล่พลังเซียนชิ้นหนึ่งยังไม่ได้ใช้ ส่วนเย่เหยียนหยูถึงครั้งนี้จะไม่มีโล่ แต่นางยังมีวิธีหลบหนีเอาชีวิตรอด
เพียงแต่พวกจ้าวเฟิงที่ได้เปรียบกว่ามาก ยังพยายามบีบเข้ามาใกล้ๆ พวกนางอย่างระแวดระวังด้วยค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป
เวลาหมุนผ่านไปเรื่อยๆ ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นและคนอื่นร่างกายอ่อนล้าจนถึงขีดสุด
บาดแผลทั่วไปของนางรักษาหมดแล้ว แต่ว่าในช่วงเวลาหลายวันมานี้โดนจ้าวเฟิงก่อกวนตลอดเวลา แล้วไหนยังจะต้องคอยรักษาบาดแผลให้กับลู่เทียนอี้อีก ไอสวรรค์ของนางจึงฟื้นฟูได้เพียงหกเจ็ดส่วน
ลู่เทียนอี้อ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง เหลือพลังรบเพียงแค่สามสิบส่วน
ส่วนเย่หยานหยูและจงหว่านเอ๋อร์ก็ไม่ได้ดีกว่ากันเท่าไหร่นัก ซ้ำตอนนี้ยังโดนค่ายกลหุ่นเชิดศพกับกระดูกเก้าทมิฬคอยทะลวงโจมตีมาไม่หยุด สภาพนับว่าร่อแร่ไปอีกขั้นหนึ่ง
ในที่สุด เวลาก็ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นและคนที่เหลือเริ่มหลบหนี
“ตาม!” จ้าวเฟิงกับเจ้าหอโครงกระดูกตามติดอย่างไม่ลดละ
ระหว่างการไล่ตาม จ้าวเฟิงยังควบคุมเหล่าสัตว์อสูรในบริเวณใกล้ๆ ให้คอยขัดขวางการหนีของผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น
เวลาผ่านไปสองชั่วยาม จ้าวเฟิงได้บีบให้ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นและพรรคพวกตกอยู่ในสถานการณ์เข้าตาจนในที่สุด
ทางข้างหน้าเป็นแสงสีม่วงที่สั่นไหวเลือนราง ถือได้ว่าเป็นสุดทางของขอบเขตซากปรักหักพังสือเฉิงแล้ว ไม่มีทางให้หนีอีกแล้ว!
จ้าวเฟิงกับเจ้าหอโครงกระดูกมองหน้ากันแล้วลอบยิ้มน้อยๆ
คนทั้งสองได้เปรียบมากกว่าอย่างแท้จริง ด้วยเพราะคำนึงถึงไพ่ตายของฝ่ายตรงข้าม จึงมิได้ผลีผลามเข้าไปโจมตี เอาแต่คอยกัดกร่อนทำลายไอสวรรค์ของคนทั้งสี่ไปเรื่อยๆ
“ถ้าหากไม่มีกำลังเสริม พวกเราคงต้องตายอยู่ที่ซากปรักหักพังสือเฉิงนี้เป็นแน่” สีหน้าของจงหว่านเอ๋อร์หวาดวิตก
ถึงแม้ว่านางจะมีโล่พลังเซียน แต่ไม้ตายที่รักษาชีวิตไว้ได้เช่นนี้เป็นของสิ้นเปลือง สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
อีกอย่าง โล่พลังเซียนมีเพียงพลังสังหารหรือไม่ก็พลังโจมตีของผู้สูงศักดิ์ในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิด จ้าวเฟิงระมัดระวังรอบคอบอยู่ภายในค่ายกลหุ่นเชิดศพตลอดเวลา หากคิดจะสังหารคนทั้งสองนับได้ว่ายากยิ่ง
“จ้าวเฟิง สามสำนักพยายามเปิดทางเชื่อมมิติอีก แต่ว่าล้มเหลวไปแล้ว” เสียงของเศษเสี้ยววิญาณสือเฉิงลอยมา จ้าวเฟิงได้ยินข่าวดังกล่าวก็ถอนหายใจแล้วแย้มยิ้มน้อยๆ
“แย่ล่ะ! มียอดฝีมือที่ชำนาญเรื่องศาสตร์มิติคนหนึ่งผ่านทางเชื่อมเข้ามาภายในซากปรักหักพังสือเฉิงแล้ว” เสียงเอ่ยร้อนรนพลันแว่วมา
สวบ!
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ชายหนุ่ม ‘นัยน์ตาสีเงินใบหน้าคมคาย’ ก็ปรากฏกายขึ้นที่ใจกลางหุบเขาลี้ลับ
แซ่ด~
เบื้องหลังของเขามีรอยแตกร้าวสีเงินเส้นเล็กปรากฏขึ้น แล้วหายไปอย่างรวดเร็ว
ตามหลักการแล้วรอยแยกทางเชื่อมมิติเล็กขนาดนี้ มนุษย์ไม่ว่าจะแข็งแกร่งปานใดก็ไม่อาจเล็ดลอดเข้ามาได้ แต่ว่าชายหนุ่มนัยน์ตาสีเงินผู้นี้ได้แหกกฎนั้นไปจนสิ้น