บทที่ 578 หุ่นเชิดศพร้อยร่างเสร็จสมบูรณ์
ตั้งแต่ขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดเป็นต้นไป แหล่งกำเนิดพลังที่แท้จริงภายในร่างกายจะสร้าง ‘ปราณที่แท้จริงครึ่งก้าว’ แล้วจึงแปรสภาพเป็น ‘พลังที่แท้จริง’ ซึ่งอยู่ในขั้นสูงส่งอยู่เรื่อยๆ
แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งเหนียวแน่นเป็นอย่างมาก ประดุจกาวแป้งเปียกที่แปรสภาพจากของเหลวแบบเดิม
เมื่อแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณคงสภาพแล้ว ยามก่อตัวเป็น ‘ปราณแก่นก่อกำเนิด’ จะเป็นการก้าวกระโดดของขั้นพลังที่รวดเร็วราวติดปีกบิน!
แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นขั้นตอนที่ต้องอาศัยเวลาสะสมอย่างยาวนาน
การจะทำให้ครึ่งก้าวของปราณที่แท้จริงกลั่นตัวจนสูงส่งขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ กลุ่มพลังที่บริสุทธิ์ขึ้นจะทะลวงขีดจำกัดของสิ่งมีชีวิตไปทีละครั้ง
นี่เป็นเงื่อนไขที่ว่าสำนึกรู้จิตวิญญาณและระดับขั้นชีวิตต้องสอดคล้องกัน
ถ้าหากสำนึกรู้จิตวิญญาณและระดับขั้นชีวิตไม่มากพอ การเปลี่ยนเข้าสู่ขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดก็จะช้านัก หรืออาจติดอยู่ที่คอขวดก็เป็นได้
นี่เป็นเหตุผลที่คนในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดจำนวนไม่น้อยติดอยู่ที่ระดับนี้ ใช้เวลาหลายสิบปีก็ยังยากจะทะลวงผ่านได้
“ความก้าวหน้าของข้าในตอนนี้ ใช้เวลาอย่างน้อยปีสองปีหรืออย่างมากสามสี่ปี ก็จะสามารถทะลวงไปเป็นผู้สูงศักดิ์ในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิด” จ้าวเฟิงได้คำนวณเวลาคร่าวๆ จากพัฒนาการของครึ่งก้าวของปราณที่แท้จริง
ตามหลักการแล้ว การทะลวงจากขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดมาถึงขั้นผู้สูงศักดิ์ของจ้าวเฟิง ไม่มีข้อติดขัดใดอย่างแท้จริง
ด้วยเหตุนี้ ความเร็วในการพัฒนาของเขาจึงล้ำหน้าเกินกว่าคนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดทั่วไป มีเพียง ‘ลู่เทียนอี้’ ซึ่งมีพลังจิตวิญญาณลึกล้ำ อยู่ในสำนักสองดาว และเป็นคนสนิทของราชาปราณเทวะ จึงจะสามารถเปรียบเทียบกันได้
ถัดจากนั้น จ้าวเฟิงจึงผ่อนความเร็วในการเปลี่ยนแปลงของครึ่งก้าวสู่ปราณที่แท้จริง แล้วหันเหความสนใจหลักไปที่ ‘ความเข้าใจในวิชา’
“การเปลี่ยนผ่านของแหล่งกำเนิดพลังมีผลให้พลังเสวียนอ้าวแข็งแกร่ง ‘ปราณแก่นก่อกำเนิด’ ที่ก่อตัวภายหลังก็จะยิ่งพิสุทธิ์และแข็งกล้าขึ้น” จ้าวเฟิงให้ความสนใจกับพื้นฐานและเนื้อหาภายใน
เพราะทันทีที่แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณเปลี่ยนเป็น ‘ปราณแก่นก่อกำเนิด’ มันจะกลายเป็นใจกลางพลังแห่งใหม่ ใจกลางพลังของผู้ฝึกตนทุกคนจะรวมถึงพลังเสวียนอ้าวและความปรุโปร่งในวิชา
ยกตัวอย่างเช่น แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงหลอมรวมเป็นเสวียนอ้าวธาตุ ‘วายุอัสนีสีม่วง’
ยอดฝีมือคนอื่นๆ ที่ฝึกวิชาแตกต่างกัน พลังเสวียนอ้าวก็ย่อมมีความต่างกันด้วย
“ก่อนที่จะทะลวงผ่านขั้นครึ่งก้าวของปราณที่แท้จริง จะต้องให้แหล่งกำเนิดพลังสร้างเสวียนอ้าวที่แข็งแกร่งกว่านี้” สายตาของจ้าวเฟิงมองกว้างไกลขึ้น
ในเมื่อเขาไม่สามารถทะลวงขึ้นเป็นผู้สูงศักดิ์ขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดในระยะเวลาอันสั้น จึงต้องมีสิ่งของภายนอกที่แสนอัศจรรย์มาช่วย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาเลยเลือกใช้เส้นทางที่ดีที่สุด โดยลดการฝึกตนลงให้เหมาะสม
สำนึกรู้จิตวิญญาณจ้าวเฟิงหลอมรวมเข้ากับมรดกของอนุสรณ์วายุอัสนีโบราณอีกครั้งเพื่อที่จะฝึก ‘วายุอัสนีสีม่วง’
เวลาผ่านไปไวราวติดปีก เพียงพริบตาเดียว เวลาอีกหนึ่งเดือนก็ผ่านไป
ความเข้าใจที่จ้าวเฟิงมีต่อวายุอัสนีพิฆาตสีม่วงพัฒนาไปอีกขั้น ความรู้ความเข้าใจมีถึงสองสามส่วนแล้ว
ในความเป็นจริงนั้น ตั้งแต่ครั้งแรกที่ออกมาจากซากปรักหักพังสือเฉิงและยังไม่ได้เป็นนายเหนือแท้ จุดสำคัญในการฝึกตนของจ้าวเฟิงอยู่ที่มรดกมหาจักรพรรดิวายุอัสนี
ในตอนนี้ แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณในกายจ้าวเฟิงหมุนเวียนเพื่อกระตุ้นกลิ่นอายของวายุอัสนีพิฆาตสีม่วง
แซ่ด แซ่ด!
จ้าวเฟิงค่อยๆ วาดมือออก ไอวายุอัสนีพิฆาตสีม่วงพลันรวมร่างเป็น ‘คมมีดพิฆาตสีม่วง’ ที่อัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายทำลายล้าง
เชว้ง แซ่ด!
จ้าวเฟิงเก็บ ‘คมมีดพิฆาตสีม่วง’ อย่างรวดเร็ว
ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น คนในเรือล้วนแต่สัมผัสได้ถึงพลังพิฆาตที่พุ่งตรงดิ่งทะลวงวิญญาณ จึงพากันตื่นตระหนกไปหมด แม้แต่เจ้าหอโครงกระดูกที่อยู่ในประคำหมื่นวิญาณก็ยังใจสั่นระรัว
เขาลอบถอนหายใจ หลังจากที่จ้าวเฟิงทะลวงสู่ขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดแล้ว ก็ไม่ได้รีบร้อนรวบรวมหรือเปลี่ยนสภาพของครึ่งก้าวสู่ปราณที่แท้จริง แต่กลับให้ความสำคัญกับความรู้ความเข้าใจต่อระดับพลังเสวียนอ้าว
มีเพียงการเพิ่มระดับพลังเสวียนอ้าว จึงจะสามารถเพิ่มพลังรบของจ้าวเฟิงในระยะเวลาอันสั้นได้
“ ‘คมมีดพิฆาตสีม่วง’ นี่มากพอจะสร้างอาการบาดเจ็บถึงแก่ชีวิตให้ผู้สูงศักดิ์ธรรมดา” จ้าวเฟิงรู้สึกพออกพอใจอย่างยิ่ง
เขาเข้าถึงพลังวายุอัสนีสีม่วงได้เพียงแค่สองสามส่วน และฝึกตนอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ตามหลักเหตุผลแล้วยังไม่มากพอจะมีพลังสังหารที่รุนแรงเช่นนี้
แต่ว่ามีปัจจัยอย่างหนึ่งที่เพิ่มพลังเสวียนอ้าวทำลายล้างใน ‘วายุอัสนีสีม่วง’ ได้
ปัจจัยดังกล่าวคือกลิ่นอายของห้วงฝันบรรพกาล!
การดูดซึมกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลทำให้วิชาวายุอัสนีพิฆาตสีม่วงของจ้าวเฟิง รวมถึงกลิ่นอายที่หลอมรวมในใจกลางของพลังเข้าใกล้แหล่งกำเนิดยิ่งขึ้น
เกรงว่าต่อให้เป็น ‘มหาจักรพรรดิวายุอัสนี’ พลังวายุอัสนีพิฆาตสีม่วงในเวลาเดียวกันกับเขาก็ไม่อาจมีกลิ่นอายทำลายล้างที่บริสุทธิ์ขนาดนี้ได้
ถึงแม้อยู่ในระหว่างฝึกตน จ้าวเฟิงก็ไม่ลืมเข้าไปในห้วงฝันบรรพกาลสักครั้งหนึ่งในรอบหลายวัน
กลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลยังช่วยเหลือจ้าวเฟิงเป็นอย่างมากในด้านจิตใจกับร่างกายและพลังสายเลือด และในขณะนี้ พลังสายเลือดของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งและบริสุทธิ์กว่ายามอยู่ในซากปรักหักพังสือเฉิงเกือบเท่าตัว!
กลิ่นอายของห้วงฝันบรรพกาลยังสามารถทำให้สายเลือดเกิด ‘การย้อนคืน’ แล้วยังทำให้เข้าใกล้สภาวะดั้งเดิมของผู้ให้กำเนิดสายเลือดอีกด้วย
แน่นอนว่ากลิ่นอายของห้วงฝันบรรพกาลมีประโยชน์ต่อจ้าวเฟิงเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นที่ว่าจะไม่มีจุดสิ้นสุดใด
เมื่อสายเลือดและร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ผลที่กลิ่นอายห้วงฝันมีต่อเขาก็ยิ่งลดน้อยลง
หากต้องการรักษาระดับและเพิ่มผลลัพธ์ดังกล่าว จึงทำได้เพียงแค่เพิ่ม ‘จำนวน’ แล้วสูดเอากลิ่นอายของห้วงฝันบรรพกาลมากขึ้นอีก
“เจ้าหอโครงกระดูก” จ้าวเฟิงดูดเก็บกลิ่นอาย ดำดิ่งสตินึกคิดเข้าไปภายในประคำหมื่นวิญญาณ
เขาเข้าไปตรวจตราความคืบหน้าของแผนการร้อยศพ
“นายท่าน หุ่นเชิดศพร้อยร่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว!” น้ำเสียงของจ้าวหอโครงกระดูกมีแววปีติและภูมิอกภูมิใจ
แผนการร้อยศพในตอนแรกเป็นความคิดของเขา ส่วนการจัดสร้างก็เป็นผลงานของเขาอีกเช่นกัน
“แผนการร้อยศพ…สำเร็จแล้วหรือ?” จ้าวเฟิงระงับความยินดีในใจไม่ได้
ภายในประคำหมื่นวิญญาณ
หุ่นเชิดศพร้อยร่างยืนเรียงแถวหน้ากระดาน พลังอาฆาตแค้นแรงกล้า ทั้งหมดเป็นนายเหนือแท้ระดับสุดยอดอย่างไม่ต้องสงสัย
ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว
จ้าวเฟิงถอนหายใจยาวๆ
จ้าวเฟิงสิ้นเปลืองทรัพยากรไปเป็นจำนวนมากเพื่อ ‘แผนการร้อยศพ’ ถึงแม้ว่าโดยส่วนมากจะเป็นของจากซากปรักหักพังสือเฉิงทั้งสิ้น
พูดได้ว่า ถ้าหากว่าไม่มีแดนต้องห้ามร้อยหลุมศพ ไม่มีซากปรักหักพังสือเฉิง ไม่มีเจ้าหอโครงกระดูก แผนการร้อยศพนี้จะไม่มีทางสำเร็จได้
แผนการร้อยศพนี้เสร็จสมบูรณ์ได้เพราะได้รับโอกาสจากที่ต่างๆ
“แผนการร้อยศพเรียบร้อยแล้ว ‘ค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป’ ก็ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ พลังต้องเพิ่มไปอีกหนึ่งระดับแน่” เจ้าหอโครงกระดูกที่เป็นคนสร้างตั้งหน้าตั้งตาคอยยิ่งกว่าจ้าวเฟิงเสียอีก
ในประคำหมื่นวิญญาณ นอกจากหุ่นเชิดศพต้องสาปแล้ว ยังมีหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬอีกสองร่าง
ร่างหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬสองร่างนี้อยู่ในประคำหมื่นวิญญาณมาอย่างยาวนาน ได้รับทรัพยากรจำนวนมากในการพัฒนา จึงไปแตะถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดเรียบร้อยแล้ว
“พอจะใช้ ‘กลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาล’ เพิ่มพลังให้หุ่นเชิดศพพวกนี้ได้หรือไม่?” ในใจของจ้าวเฟิงฉับพลันก็เกิดความคิดนี้ขึ้น ความคิดนี้เพียงแค่แวบเข้ามาในหัวเท่านั้น
กลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลของตัวจ้าวเฟิงยังไม่พอใช้ ทุกครั้งที่เข้าไปไม่เคยเกินสิบช่วงลมหายใจด้วยซ้ำ
สามวันผ่านไป
จ้าวเฟิงกำลังปิดด่านเพื่อฝึกพลังสายเลือด รวมไปถึงหอกจักรพรรดิเหมันต์ที่หลอมรวมอยู่ในนั้นด้วย
วูบ พั่บ!
เรือหลานเหลยโคลงเคลงไปมาน้อยๆ
“เกิดอะไรขึ้น?” ผู้คนในเรือบางส่วนที่ยืนไม่มั่นคงรีบฝืนทรงตัว
ปุด ปุด โครม~
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่วาฬยักษ์แห่งทะเลความว่างเปล่าตื่นขึ้น แล้วเริ่มแหวกว่ายผ่านท้องทะเลลึกไปอย่างช้าๆ
“หัวหน้าเรือ วาฬทะเลตัวนี้นอนหลับไปสองเดือนกว่า น่าจะกำลังเตรียมออกหาอาหารแล้ว” โหลวหลานจื๋อสุ่ยเอ่ยปากบอก
แววตาของบรรดาคนในเรือเริ่มมีความหวังทอประกาย
“ในที่สุดพี่ใหญ่ตัวนี้ก็ตื่นได้เสียที” จ้าวเฟิงราวกับยกภูเขาออกจากอก ใบหน้าระบายยิ้มออกมาน้อยๆ
เขาอยู่ในพื้นที่ปิดและฝึกตนเป็นระยะเวลายาวนานก็เพื่อ ‘รอคอย’ วินาทีนี้
เป็นอย่างที่คาดไว้
ตามธรรมชาติแล้ว วาฬแห่งทะเลความว่างเปล่าจะออกไปหาอาหารภายนอกในทุกๆ ช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ถ้าหากว่าวาฬยักษ์เอาแต่อยู่กับฝูง ต่อให้จ้าวเฟิงมีความสามารถก็ไม่กล้าลงมือทำอะไร
ในฝูงของมันมีวาฬทะเลโตเต็มวัยหลายร้อยตัว ยิ่งไปกว่านั้นยังมี ‘ราชาวาฬ’ ซึ่งอยู่ในขั้นราชันปราณเทวะ กล้าลงมือในที่แบบนั้นไม่ต่างอะไรจากการรนหาที่ตาย
“วาฬแห่งทะเลความว่างเปล่าออกหาอาหารครั้งนี้เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเรา” จ้าวเฟิงสูดหายใจลึก
ทุกครั้งที่วาฬทะเลออกไปหาอาหารก็จะกลับมาหลับอีกช่วงระยะหนึ่ง แต่ว่าเรือหลานเหลยไม่อาจทนถึงการหาอาหารครั้งถัดไปของเจ้าวาฬได้
โครม โครม ตูม พร่วด…
วาฬยักษ์ดำผุดดำว่ายในห้วงน้ำลึกอย่างไร้ความกังวลและไม่เกรงกลัวอะไร
หากจะพูดถึงขนาดร่างกายที่ใหญ่โตเกือบสิบลี้ของวาฬทะเลความว่างเปล่า มันนับได้ว่าเป็นสัตว์ทะเลมหึมาที่หาได้ยากยิ่งในท้องทะเลแห่งนี้
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับโอกาสครั้งสุดท้าย จ้าวเฟิงทุ่มเทแรงกายทั้งหมด ถึงขนาดปลดผนึกวิชาดวงตาเทพเจ้าเป็นครั้งคราวเพื่อสอดแนมสถานกาณ์ภายนอก
“เจ้าวาฬยักษ์กำลังว่ายออกจากฝูงแล้ว” ใจของจ้าวเฟิงเต้นเร็วขึ้น
ถิ่นที่อยู่ของฝูงวาฬพวกนี้ย่อมไม่มีสัตว์น้ำซึ่งเป็นอาหารมากนัก ดังนั้นเจ้าวาฬยักษ์ตัวนี้จึงจำเป็นต้องว่ายดิ่งออกไประยะหนึ่ง เพื่อเข้าสู่พื้นที่ของทะเลแห่งความว่างเปล่าที่อยู่ไกลออกไป
หนึ่งพันลี้…ห้าพันลี้…หนึ่งหมื่นลี้
จากที่ดู วาฬยักษ์ตัวนี้ยิ่งว่ายไกลออกไปทุกที ในที่สุดเมื่อว่ายออกมาไกลถึงสองหมื่นลี้แล้ว มันจึงเริ่มกลืนกินอาหารเข้ามา
“พอได้แล้ว ลงมือกันได้” จ้าวเฟิงใจเต้นถี่
พรึ่บ!
เขากวาดมือข้างหนึ่งเรียกเอาเจ้าหอโครงกระดูกออกมา
“นายท่าน ท่านวางแผนจะบุกออกไปอย่างไร จะทิ้งลูกเรือเหล่านี้หรือไม่” เจ้าหอโครงกระดูกเอ่ยถาม
จ้าวเฟิงสั่นศีรษะน้อยๆ
การฝืนบุกฝ่าออกไปนับว่ายากลำบาก พลังรบของวาฬยักษ์ตัวนี้ เมื่อเทียบกับราชาหูสั่วกับผู้อาวุโสปาฮวงแล้วยังแข็งแกร่งกว่าถึงครึ่งขั้น
ขนาด ‘เนตรพิฆาตผ่านอากาศ’ ของจ้าวเฟิงยังไม่สามารถทำอะไร ‘เจ้าตัวยักษ์’ นี้ได้
ต่อให้ทอดทิ้งเรือแห่งทะเลความว่างเปล่า คนทั้งสองบุกทะลวงออกไปก็ไม่อาจรับรองได้ว่าจะหนีรอดปลอดภัย
“ทำให้มันตายใจก่อน! จะเริ่มจากตรงนี้เป็นต้นไป…” จ้าวเฟิงหัวเราะหึหึ
เมื่อเอ่ยจบ เขาจึงกระตุ้นพลังสายเลือดที่บริสุทธิ์และแข็งแกร่งส่วนหนึ่งภายในร่าง ปลุก ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’ ที่หลับใหลอยู่ แล้วค่อยสาดพลังเสวียนอ้าวเหมันต์ของจักรพรรดิเหมันต์โบราณออกไป
ผลัวะ ผลัวะ~
รอบตัวของจ้าวเฟิงปรากฏชั้นสายธารสีฟ้าที่ไหลเป็นระลอกคลื่น เจ้าหอโครงกระดูกทะลวงออกไปด้านนอกผ่านทางออกด้านบนของเรือ
รอบตัวเรือล้วนแต่เป็นของเหลวเหนียวหนืดที่น่าสะพรึงกลัว
เมื่อขอบเขตแก่นก่อกำเนิดธรรมดาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้อาจทนได้ไม่กี่ช่วงลมหายใจ แต่ว่าจ้าวเฟิงกับเจ้าหอโครงกระดูกไม่ใช่คนปกติทั่วไป
เจ้าหอโครงกระดูกฝึกตนในด้านศาสตร์แห่งศพ ทั่วทั้งร่างล้วนเป็นโครงกระดูก พลังป้องกันแข็งแกร่งและทนทานต่อการกัดกร่อนอย่างมาก ส่วนจ้าวเฟิงมีสายเลือดธาตุน้ำที่ชำนาญการรักษาบาดแผลและป้องกัน จิตและกายก็อยู่ในขั้นผู้สูงศักดิ์
ตูม ตูม!
บนหอสังเกตการณ์ จ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกตกลงไปในของเหลวน่ากลัวพวกนั้น เจ้าหอโครงกระดูกเตรียมสาดพลังกระดูกเก้าทมิฬเพื่อเปิดทาง แต่โดนจ้าวเฟิงห้ามเอาไว้
“วารีเหมันต์ผันแปร!” จ้าวเฟิงหลอมรวมพลังเสวียนอ้าวเหมันต์ของ ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’ ในร่าง ก่อนจะกระตุ้นวิชาสายเลือด
วิ้ง ผลัวะ~
ในเวลาเพียงชั่วครู่ ลำแสงสีฟ้าก็ไหลระเรื่อยหลายสิบจั้งไปห่อหุ้มทั้งตัวเรือแห่งทะเลความว่างเปล่าไว้
วารีเหมันต์ผันแปร!
แซ่ด แซ่ด ~
เรือของทะเลแห่งความว่างเปล่าเป็นศูนย์กลาง ของที่โดนแช่แข็งนับไม่ถ้วนในรัศมีร้อยจั้งกลายเป็นผลึก
แช่แข็งทั้งหมด!
“เป็นวิธีการที่ดียิ่ง!” เจ้าโครงกระดูกอดไม่ได้ต้องเอ่ยชมเปาะ
ถ้าหากใช้กระบวนท่าธรรมดาคงยากจะรับมือกับเมือกเหนียวที่มีพลังย่อยสลายรุนแรงเช่นนี้ แต่ว่าเมือกน้ำย่อยประเภทนี้ก็เป็นของเหนียวหนืดกึ่งเหลวเช่นกัน ทันทีที่น้ำแข็งละลาย ความเหนียวก็คงจะลดลงไปบ้าง
แล้วในเวลานี้เอง
จ้าวเฟิงใช้พลังสายเลือด ยืมเอาพลังเสวียนอ้าวเหมันต์ของหอกจักรพรรดิ จัดการแช่แข็งน้ำเมือกในรัศมีร้อยจั้งจนหมดสิ้น
“ขั้นแรกเสร็จสมบูรณ์!”