บทที่ 579 ร้อยหุ่นเชิดศพต้องสาปที่น่าสะพรึง
“ขั้นแรกเสร็จสมบูรณ์!”
จ้าวเฟิงถอนหายใจน้อยๆ ใบหน้ามีแววของความปีติยินดี
สิ่งที่เขาคาดเดาไว้นั้นถูกต้องแม่นยำ
ถ้าหากว่าเป็นการโจมตีของพลังแบบธรรมดา รวมไปถึงวายุอัสนีสีม่วงของเขากับพลังมรณะของเจ้าหอโครงกระดูก คงยากจะทำอะไรกับน้ำเหนียวหนืดของวาฬยักษ์พวกนี้
แต่สรรพชีวิตในโลกล้วนแต่มีสิ่งที่เสริมหรือข่มกัน ไม่มีสิ่งที่ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง
เปรียบเทียบให้ง่ายหน่อยนั่นก็คือ ‘เนตรพิฆาตผ่านอากาศ’ ของจ้าวเฟิงที่โดนจำกัดด้วยขนาดใหญ่โตของวาฬแห่งทะเลความว่างเปล่า
เช่นเดียวกันกับเมือกภายในร่างกายของวาฬที่โดนสายเลือดเหมันต์ของจ้าวเฟิงจำกัดไว้ ใช้ความเย็นแช่แข็งจนไม่อาจเคลื่อนไหวได้
“ยังดีหน่อยที่ในระยะเวลาครึ่งปีมานี้ พลังสายเลือดของข้าบริสุทธิ์ขึ้นเป็นเท่าตัว เมื่อหอกจักรพรรดิเหมันต์ตื่นขึ้นอีกครั้งจึงปลดปล่อยพลังสายเลือดเหมันต์ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม” จ้าวเฟิงลอบยินดี
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาล มิฉะนั้นด้วยพลังสายเลือดที่มีตอนเพิ่งออกจากซากปรักหักพังสือเฉิง จ้าวเฟิงอยากจะแช่แข็งของเหลวภายในร่างวาฬยักษ์ตัวนี้เป็นรัศมีกว่าร้อยจั้งคงยากลำบากนัก
แซ่ด แซ่ด~
ในชั้นของเมือก ทันทีที่เมือกชั้นนอกเข้าใกล้ชั้นน้ำแข็งก็จะกลายสภาพเป็นของแข็งและหยุดเคลื่่อนไหว
“หนาวจริง…”
ใจกลางชั้นน้ำแข็งคือเรือหลานเหลย ถึงแม้ว่าวัสดุที่ใช้สร้างเรือหลานเหลยจะแข็งแกร่ง มีการป้องกันที่เยี่ยมยอด แล้วยังใช้ค่ายกลเป็นโล่ปกป้อง แต่ว่าคนภายในเรือเหล่านั้นก็ยังคงโดนผลกระทบอยู่ดี โหลวหลานจื๋อสุ่ยและคนอื่นตัวสั่นระริกเพราะความหนาวเหน็บ เลือดภายในร่างกายเย็นเฉียบจนเหมือนจะแข็งตัวอย่างไรอย่างนั้น
แต่นี่เป็นเพียงกลิ่นอายเหมันต์ที่แทรกซึมมาเล็กน้อยเท่านั้น ระลอกพลังที่เหลือยังไม่ได้นับรวมเข้าไปด้วย
จากตรงนี้จะเห็นเลยว่า พลังสายเลือดในตอนนี้ของจ้าวเฟิงจะแข็งแกร่งมากขนาดไหน หากใช้พลังเหมันต์บรรพกาลของหอกจักรพรรดิเหมันต์ที่ตื่นจากหลับใหล
“นายท่าน ทั่วบริเวณนี้มีแต่น้ำแข็ง…” เจ้าหอโครงกระดูกเอ่ยอย่างทรมาน
แม้แต่ร่างกายที่มีลักษณะพิเศษของเขายังทนไม่ไหว ร่างกายแข็งทื่อไปหมด
เหมันต์วารีผันแปร!
จ้าวเฟิงหัวเราะ แล้วจึงกระตุ้นพลังสายเลือดให้น้ำแข็งชั้นในส่วนหนึ่งกลายสภาพเป็นของเหลว
ผลัวะ สวบ!
พลังเหมันต์สายนั้นโดนพลังสายเลือดของจ้าวเฟิงดูดซึมไป
ภายในของชั้นน้ำแข็งกลายเป็น ‘หลุม’ ไปส่วนหนึ่งอย่างรวดเร็ว
พลังเหมันต์ชั้นนอกได้ปิดกั้นเมือกที่อยู่ภายในเอาไว้ ส่วนในที่เป็นกลายเป็นช่องคือเรือหลานเหลยรวมไปถึงเจ้าหอโครงกระดูกและจ้าวเฟิงผู้อยู่บนยอดสุดของเรือ
“เป็นวิธีการที่ดี ” เจ้าหอโครงกระดูกเริ่มเดาแผนการถัดไปของจ้าวเฟิงได้รางๆ
ชั้นน้ำแข็งโดนเจาะออกไปบางส่วนจึงเกิดที่ว่างขึ้นเล็กน้อย ทำให้มีพื้นที่ในการ ‘สำแดง’ พลัง
“ขั้นที่สอง ตั้งค่ายกล” จ้าวเฟิงใช้พลังสายเลือดจำนวนน้อยนิดรักษาชั้นน้ำแข็งไว้ แล้วให้เจ้าหอโครงกระดูกเป็นผู้ลงมือ
พรึ่บ!
เจ้าหอโครงกระดูกโบกธงสีดำ หุ่นเชิดศพจำนวนร้อยร่างปรากฏขึ้นแน่นขนัดบริเวณเหนือเรือเพื่อตั้งค่ายกล
ในเวลาเพียงชั่วครู่ เกิดกลุ่มควันโขมงสีเทาอึมครึม พลังอาฆาตของหุ่นเชิดศพต้องสาปสาดกระจายออกไปทั่ว ควันสีเทาอึมครึมเพียงเล็กน้อยก็สามารถปลิดชีวิตของคนในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้
“ลดขอบเขต” จ้าวเฟิงสั่งในทันที
ในวันนี้ ‘ค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป’ อยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง ค่ายกลนี้หากขยายจนสุดความสามารถ อาณาเขตจะกว้างใหญ่ไพศาลจนปกคลุมพื้นที่ได้ราวห้าหกลี้เลยทีเดียว
วูบ~
เจ้าหอโครงกระดูกโบกธงสีดำเพื่อลดอาณาเขตของ ‘ค่ายกลร้อยศพต้องสาป’ ให้แคบลงเหลือหลายสิบจั้ง หากไม่เช่นนั้นแล้ว พลังปราณศพของค่ายกลขนาดใหญ่จะทำลายชั้นน้ำแข็งลงด้วย
“ชี้นำพลังอาฆาต” แววตาของจ้าวเฟิงสว่างวาบแล้วเอ่ยปากสั่งอีกครั้ง
ได้!
ดวงตาของเจ้าหอโครงกระดูกเป็นประกาย ที่แท้แล้วจ้าวเฟิงต้องการใช้วิธีการที่ไร้รูปร่างแบบนี้รับมือกับวาฬยักษ์
ฮู ฮู!
ท่ามกลางกลุ่มควันโขมงสีเทาทึบของค่ายกลหุ่นเชิดศพ ปรากฏภูติผีที่ก่อกำเนิดจากเพลิงความอาฆาตจำนวนนับไม่ถ้วน
ภูตผีตัวขาวซีดเลือดโทรมกายพวกนั้นล้วนแต่ไร้รูปร่าง ไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า ประสาทสัมผัสของยอดฝีมือทั่วไปยากที่จะรับรู้ได้
“หนาวเย็นยิ่งนัก!”
คนภายในเรือสัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บที่ออกมาจากดวงวิญญาณของพวกเขา
ไป!
เจ้าหอโครงกระดูกสะบัดธงสีดำ ภูติผีตัวขาวซีดที่เกิดจากพลังคำสาปจำนวนมากก็มุ่งไปยังอวัยวะภายในของวาฬ
ที่ประหลาดก็คือ พลังคำสาปอาฆาตนี้มุ่งเน้นทำลายชั้นวิญญาณ มีผลแต่กับสิ่งมีชีวิตเท่านั้น ทว่าไม่ส่งผลใดกับชั้นน้ำแข็งในละแวกนั้น
สวบ สวบ!
ภูติผีตัวซีดขาวซึ่งมีเลือดไหลโทรมร่างอย่างน่าสะพรึงขวัญ พุ่งผ่านชั้นน้ำแข็งแล้วกัดกร่อนเลือดเนื้อของวาฬยักษ์ไม่หยุด
“นี่ก็คือพลังคำสาปอาฆาตสินะ” ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงสามารถมองเห็นสถานการณ์ของพลังคำสาป
ในสถานการณ์ทั่วไป
พลังอาฆาตหุ่นเชิดศพของค่ายกล เกิดจากการหลอมรวมพลังหุ่นเชิดศพและพลังอาฆาตเข้าด้วยกัน จึงเรียกเป็น ‘พลังอาฆาตหุ่นเชิดศพ’
และในตอนนี้ พลังที่ปลดปล่อยออกมาคือพลังคำสาปอาฆาตที่บริสุทธิ์
พลังคำสาปอาฆาตนี้ไม่มีรูปร่าง ไม่ใช่สิ่งของในชั้นจิตวิญญาณธรรมดา เพราะมันจะส่งผลโดยตรงกับชีวิต
ทวีปบุปผาครามในอดีต มียอดฝีมือหลายคนในขั้นขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงบุกเข้าไปในแดนต้องห้ามร้อยหลุมศพ แล้วโดนพลังคำสาปอาฆาตแค้นเข้า ถึงจะกลับออกมาได้ทันเวลาแต่ก็โดนพลังคำสาปครอบงำไว้แล้ว
แล้วในเวลานี้ เจ้าหอโครงกระดูกชี้นำพลังคำสาปอาฆาตที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นให้ตรงดิ่งไปกัดกร่อนอวัยวะภายในของวาฬยักษ์
ฮู~
วาฬยักษ์ที่ยาวกว่าสิบลี้ส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความทุกข์ทรมาน ร่างกายของมันสั่นระรัว
เห็นได้ชัดว่าจิตและกายที่ยิ่งใหญ่ของวาฬยักษ์ตัวนี้รู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาด แต่ว่าอาการ ‘ผิดปกติ’ มาจากอวัยวะภายในร่างกาย มันเองก็หมดปัญญาจะทำสิ่งใด
“เมื่อโดนพลังคำสาปอาฆาตเข้าครอบงำ พลังชีวิตและจิตวิญญาณ หรือแม้กระทั่งดวงวิญญาณก็จะสูญสลายไปไม่หยุด” จ้าวเฟิงสังเกตวิธีการโจมตีของพลังคำสาปอาฆาต
ยอดฝีมือบางส่วนเมื่อร่างกายโดนคำสาป ถึงแม้ว่าจะไม่ตายเลยในทันทีทันใด แต่ว่าพลังชีวิตจะสูญสลายไปไม่หยุดในภายหลัง สามารถพูดได้ว่า พลังคำสาปที่ดูดกลืนเอาพลังชีวิตมีผลเหมือนการตัดอายุให้สั้นลง
อ๊าก อ๊าก~
บรรดาภูติผีตัวซีดขาวพวกนั้นควักเอาเลือดเนื้อของวาฬยักษ์นั้นเป็นอาหาร จึงเห็นเลือดไหลเจิ่งนอง ชวนให้ผู้คนขวัญผวา
“เหอะเหอะ…คำสาปหุ่นเชิดศพร้อยร่างที่แข็งแกร่งเช่นนี้จะทำลายอวัยวะภายในโดยตรง ต่อให้เป็นยอดฝีมือในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดก็น่าจะทนได้ไม่นานเท่าไหร่” เจ้าหอโครงกระดูกส่งเสียงหัวเราะบาดหู
จ้าวเฟิงและเขายืนซึ่งอยู่บนหอสังเกตการณ์ของเรือก็ยังไม่กล้าสัมผัสพลังคำสาปอาฆาตพวกนั้น
ฮู ฮู โครม ตูม!
วาฬยักษ์ส่งเสียงร้องโหยหวนประหลาดแล้วพลิกตัวไปมาในทะเลลึก ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์ขนาดมโหฬาร
อาการ ‘ผิดปกติ’ ภายในร่างกายกำลังกลืนกินอวัยวะของมัน ที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือพลังคำสาปอาฆาตพวกนี้สามารถเกาะติดกับชีวิตไปตลอด ยากที่จะเอาออกไปได้
เวลาครึ่งชั่วยามจากนั้น
วาฬยักษ์ก็ยังคงดิ้นรนหมุนไปมา แต่ว่ากลิ่นอายบนร่างรวมถึงระดับในการดิ้นรนของมันลดลงอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่เสียทีที่เป็นจ่าฝูงสัตว์ทะเล พลังจิตและกายแข็งแกร่งอะไรเช่นนี้ ถ้าหากเป็นยอดฝีมือในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดล่ะก็ พลังคำสาปอาฆาตระเบิดออกภายในร่างน่าจะตายไปตั้งนานแล้ว” จ้าวเฟิงอดคลางแคลงใจไม่ได้
ในเวลาดังกล่าว พลังคำสาปอาฆาตปะทุภายในร่างกายของวาฬยักษ์ ทำให้มันอ่อนแอลงมาก
“ออกห่างจากส่วนหัวใจ” จ้าวเฟิงเอ่ยสำทับ
จากการสอดส่องในเวลาสั้นๆ ของดวงตาเทพเจ้า จ้าวเฟิงเอาแผนผังอวัยวะภายในของวาฬตัวนี้ให้กับเจ้าหอโครงกระดูก เจ้าหอโครงกระดูกจึงชี้นำพลังคำสาปอาฆาตให้ทำลายอวัยวะสำคัญของมัน แต่กลับเว้นห่างจากบริเวณ ‘หัวใจ’
“เลือดหัวใจวาฬเป็นเลือดศักดิ์สิทธิ์ล้ำค่าที่มีมูลค่ามากที่สุดในตัวของวาฬยักษ์ เลือดหัวใจวาฬดังกล่าว หากใช้อาบทั่วร่างจะมีผลทำให้เหมือนเกิดใหม่หรือแม้กระทั่งเพิ่มระดับขั้นชีวิต…” แววตาของจ้าวเฟิงเป็นประกาย
เขายังคงนึกถึง ‘เลือดหัวใจวาฬ ’ ที่ล้ำค่าที่สุดในร่างของวาฬยักษ์
จะต้องรู้ว่า วาฬยักษ์ตัวนี้มีพลังที่แข็งแกร่งมากนัก ล้ำหน้าเกินกว่าขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงทั่วไป ทั้งยังเป็นรองเพียงแค่ราชันในขอบเขตปราณเทวะ!
ฮู ฮู!
ภายในร่างของวาฬยักษ์ พลังคำสาปอาฆาตที่ไร้ร่องรอยยังคงกัดกร่อนดวงวิญญาณและจิตวิญญาณอย่างไม่หยุดหย่อน
จ้าวเฟิงถึงขั้นสัมผัสได้เลยว่า ร่างภายในของวาฬยักษ์ค่อยๆ แห้งเหี่ยว พลังชีวิตกับดวงวิญญาณก็ดับสูญไปไม่หยุด
โครม สวบ พรวด~
วาฬยักษ์ดิ้นรนกระเสือกกระสนอยู่ใต้ท้องทะเลลึก บางครั้งก็พุ่งขึ้นไปเหนือท้องทะเลจนเกิดเสียงดังโครมคราม เมื่ออาการกำเริบก็ยิ่งทำให้วาฬยักษ์แห่งทะเลความว่างเปล่าบ้าคลั่งเข้าไปอีก
ครึ่งวันหลังจากนั้น
วาฬยักษ์แห่งทะเลความว่างเปล่าก็ยังคงกระสือกกระสน กลิ่นอายของมันอ่อนแอลงไปอีกขั้น
“นายท่าน วาฬยักษ์ตัวนี้มีขนาดใหญ่โต ถ้าหากเป็นผู้สูงศักดิ์ในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดทั่วไปน่าจะตายไปหลายสิบรอบแล้ว หากต้องการจะสังหารมัน เกรงว่ายังคงต้องรอเวลาอีกหลายวัน” เจ้าหอโครงกระดูกเอ่ยรายงาน
จ้าวเฟิงอดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้
เขากังวลว่าหากยืดเวลาต่อไปอีกอาจจะล่อให้วาฬตัวอื่นมาได้ ยังดีที่วาฬยักษ์ตัวนี้ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง ความคิดของมันสะเปะสะปะไปหมด จึงหลงลืมทิศทางและอย่างอื่นไปหมดแล้ว
บนทะเลหมอกแห่งความว่างเปล่า
สวบ!
เรือรูปร่างคล้ายปลาฉลามสีน้ำเงินเทาแหวกจากห้วงทะเลลึกขึ้นมาบนพื้นที่แห่งนี้
“วาฬแห่งทะเลความว่างเปล่า!”
“ตัวใหญ่จริงๆ เกรงว่านี่คงไม่ใช่วาฬแห่งทะเลความว่างเปล่าธรรมดาแล้วกระมัง”
บนเรือนั้นปรากฏเงาหลายสิบร่าง กลิ่นอายคนเหล่านี้ล้วนแต่แข็งกล้าและน่ากลัว กลิ่นอายจิตสังหารแผ่กระจายออกมา
ต้องเป็นโจรสลัดกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย
ผู้ที่เป็นหัวหน้าคือ ‘ชายหนุ่มหน้าตาอำมหิต’ ทั่วร่างกายมีลายพร้อยสีเงิน เขาจ้องมองไปที่วาฬแห่งทะเลความว่างเปล่าด้วยความงุนงง
“วาฬยักษ์ขนาดเกือบสิบลี้ พวกเราทั้งหมดนี่คงไม่พอทำให้มันอิ่มแน่” พวกโจรสลัดทั้งหลายจ้องมองอย่างหวาดกลัว
แรงกดดันจากกลิ่นอายของสัตว์ทะเลขนาดใหญ่มากพอจะทำให้ผู้สูงศักดิ์ธรรมดาใจสั่นสะท้าน
“เอ๊ะ…ไม่สิ! ภายในร่างของวาฬยักษ์ตัวนี้เหมือนมีสิ่งผิดปกติภายใน กลิ่นอายอ่อนแอ ดิ้นรนอย่างไร้เรี่ยวแรง” ชายหนุ่มหน้าตาอำมหิตผู้เป็นหัวหน้ากวาดสายตาผ่านแล้วจึงพบความผิดปกติ
ตรวจสอบดูสักพัก
“แยกย้าย!”
ชายหนุ่มหน้าตาอำมหิตร่างกายลายพร้อยถ่ายทอดคำสั่งในฉับพลัน
ถึงแม้ว่าเขาจะฝึกตนอยู่ในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิด แต่หากต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ทะเลขนาดยักษ์ในลำดับขั้นนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องของขนาดตัวอีกแล้ว พลังของชายหนุ่มใบหน้าอำมหิตแทบจะไม่สามารถเข้าใกล้วาฬแห่งทะเลความว่างเปล่าได้
อูฐที่ผอมโซยังตัวโตกว่าม้า[1] ‘วาฬยักษ์แห่งทะเลความว่างเปล่า’ เพียงแค่พลิกหางฟาดน้ำ ก็อาจทำให้โจรสลัดอย่างพวกเขาตายยกเรือได้
สวบ!
เรือโจรสลัดลำนี้จึงแล่นออกไปจากพื้นที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว
พลั่ก สวบ สวบ…
‘วาฬยักษ์แห่งทะเลความว่างเปล่า’ ดิ้นทุรนทุรายอย่างบ้าคลั่ง กลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมายิ่งอ่อนแรงลงทุกที
ครึ่งวันหลังจากนั้น
บรรดากลุ่มพ่อค้าและเหล่ายอดฝีมือที่แล่นเรือผ่านพื้นที่ทะเล ล้วนแต่แล่นเรือหนีไปไกลๆ เมื่อพบเห็น ‘วาฬยักษ์แห่งทะเลความว่างเปล่า’
จนมาถึงวินาทีหนึ่ง
สวบ…
กลิ่นอายธรรมชาติมหาศาลตรงดิ่งแหวกอากาศมาปะทะหน้า ไอสวรรค์ในฟ้าดินทะลักหลั่งไหลออกมาราวสายน้ำหลาก
สวบ!
ทะเลหมอกในละแวกใกล้เคียงโดนพลังยิ่งใหญ่ในธรรมชาติแบ่งออกเป็นเศษชิ้นส่วนทีละชั้น
ทันใดนั้น
ทะเลหมอกแห่งความว่างเปล่าสว่างไสวเจิดจ้าเมื่อถูกย้อมด้วยระลอกแสงสีดำอมเขียว สภาพแวดล้อมของฟ้าและดินได้รับผลกระทบจนหมดสิ้น
“ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง!”
ภายในร่างของวาฬแห่งทะเลความว่างเปล่า จ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกสัมผัสได้ถึงบางสิ่งภายนอก
ไม่กี่ช่วงลมหายใจจากนั้น
สวบ!
ผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบในชุดคลุมยาวสีดำ นำชายหญิงคู่หนึ่งร่อนตัวลงบนทะเลหมอกความว่างเปล่าที่มีคลื่นสาดซัดรุนแรง
“วาฬยักษ์แห่งทะเลความว่างเปล่า!”
แววตาของผู้เฒ่าในชุดคลุมสีดำเป็นประกาย กลิ่นอายขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงบนร่างของเขาคละคลุ้งขึ้นมา
“วาฬแห่งทะเลความว่างเปล่า!”
“นี่คือวาฬแห่งทะเลความว่างเปล่าที่เป็นสัตว์น้ำในตำนานงั้นหรือ?”
ชายหญิงคู่นั้นอายุน่าจะอยู่ราวๆ ยี่สิบสามสิบปี ฝ่ายชายท่าทางองอาจผิดแผกจากคนทั่วไป ส่วนผู้หญิงงดงามสะดุดตา
คนทั้งสองถึงแม้จะเป็นคนรุ่นหลัง แต่กลับฝึกตนอยู่ในขั้นนายเหนือแท้
“นี่ช่างเป็นโอกาสที่หาได้ยากจริงๆ! วาฬยักษ์แห่งทะเลความว่างเปล่าตัวนี้ ระดับขั้นชีวิตอยู่ใกล้ราชันในขอบเขตปราณเทวะ ผู้สูงศักดิ์ในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน แต่เหมือนมันกำลังเผชิญกับปัญหาบางอย่าง เลือดเนื้อและจิตวิญญาณของมันสูญสลายไปจำนวนมากจนอ่อนแอ…”
ผู้เฒ่าในชุดคลุมสีดำเอ่ยทั้งดวงตาแวววาว
…………………………………………..
[1] หมายถึง ผู้ที่ชำนาญอย่างใดอย่างหนึ่ง ถึงแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากก็ยังแข็งแกร่งกว่าอยู่ดี