บทที่ 598 การสังหารในสนามรบ
ในละแวกใกล้เคียงกับใจกลางของสนามรบ
บนเรือแห่งทะเลความว่างเปล่า ‘เชลยศึก’ ทั้งสี่ร่วมมือกันรับมือกับยอดผู้สูงศักดิ์ในชุดเกราะดำ
“หอกจักรพรรดิเหมันต์!”
ธงค่ายกลมอบให้กับเจ้าแมวน้อยขโมยตัวน้อย จ้าวเฟิงยกมือแหวกอากาศ กระตุ้นพลังสายเลือด แล้วกวัดแกว่งหอกจักรพรรดิเหมันต์ เงาหอกน้ำแข็งราวแก้วสีฟ้าเข้มส่องแสงสว่างเจิดจ้า ทะลักพลังเหมันต์ต้องห้ามออกมา ครั้นเกิดเสียงดังเลื่อนลั่นไปทั่วก็แช่แข็งพื้นที่บริเวณดังกล่าวในทันใด
ในวินาทีเดียวกันนั้นเอง
‘ปีกวายุอัสนี’ เบื้องหลังของจ้าวเฟิงก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้น พลังของเส้นวายุอัสนีพิฆาตสีม่วงหมุนวนจนเกิดเป็นพายุเหมันต์อัสนี ซึ่งเต็มไปด้วยแรงทำลายล้างเหมือนอย่างพลังเหมันต์ของจักรพรรดิเหมันต์โบราณ จากนั้นทะลวงไปยังผู้สูงศักดิ์ชุดเกราะสีดำอย่างไม่ขาดสาย
นอกจากสายเลือดดวงตาแล้ว พลังรบของจ้าวเฟิงที่ระเบิดออกมาเต็มที่ได้กลายเป็นเป็นพลังหลักในการรับมือกับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง
หลี่อวิ๋นหยาและพรรคพวกตื่นตะลึงจนใจสั่นระรัว ทุ่มเทแรงกายทั้งหมดช่วยต้านรับกับยอดผู้สูงศักดิ์เกราะสีดำ
“ที่แท้ก็เป็นมรดกอาวุธวิเศษโบราณที่หายาก…” ผู้สูงศักดิ์ชุดเกราะดำจ้องตาเขม็ง คนที่ฝึกตนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงอย่างเขาไม่สามารถจัดการหน่วยกล้าตายพวกนี้ได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว แล้วนี่จะให้เขาเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
“สิบทิศพิชิตสวรรค์!”
ยอดผู้สูงศักดิ์โบกสะบัดง้าว พลังรบเพิ่มขึ้น ลำแสงเงาของง้าวที่เย็นยะเยือกมืดมิดปกคลุมทั่วเรืออย่างโหดร้ายรุนแรง
โครม ครืน! เพียะ โครม!
เรือแห่งทะเลความว่างเปล่าสั่นไหว กลุ่มหมอกควันสีเทาเข้มปริร้าวแตกสลายออกทีละชั้นๆ
การโจมตีของจ้าวเฟิงและคนอื่นก็พลันพังทลาย สลายตัวเป็นเศษชิ้นส่วน แล้วถูกกดเอาไว้
เมี้ยว เมี้ยว!
แมวขโมยตัวน้อยสะบัดธงของค่ายกล ชักนำพลังค่ายกลหุ่นเชิดศพส่วนหนึ่งมาใช้ป้องกันและโจมตีกลับ อีกส่วนก็คอยซ่อมแซมร่องรอยช่องโหว่พวกนั้น
มาจนถึงในวันนี้ ส่วนประกอบของค่ายกลหุ่นเชิดศพมั่นคงแล้ว คุณสมบัติของหุ่นเชิดศพต้องสาปสูงมาก ด้วยดูดซึมเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของคนในขั้นผู้สูงศักดิ์ไปไม่น้อย แหล่งกำเนิดพลังของค่ายกลจึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีหยุด
“นี่เป็นศาสตร์ค่ายกลที่ยากจะรับมือนัก…” ยอดผู้สูงศักดิ์ชุดเกราะดำขมวดคิ้วนิ่วหน้า
เขาทุ่มเทพลังทั้งหมดกระตุ้นอาวุธชั้นพิภพ ถึงแม้ว่าเขาจะได้เปรียบกว่ามาก แต่ว่าก็ไม่สามารถทำอะไรเรือลำนั้นได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ
“จำนวนของหุ่นเชิดศพต้องสาป ให้ใช้เพียงแค่สองส่วนในสามส่วน” จ้าวเฟิงค่อยๆ ผงกศีรษะ ปีกของวายุอัสนีด้านหลังโบกสะบัด อาศัยพลังของค่ายกลหุ่นเชิดศพมาช่วยปกป้อง แล้วโจมตีกลับครั้งแล้วครั้งเล่า
ครึ่งปีที่ผ่านมา เขาก้าวหน้ามากขึ้นไม่น้อย ในสถานการณ์ที่ไม่ใช้สายเลือดดวงตา พลังรบก็เข้าใกล้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงขึ้นทุกที สามารถทำถึงขั้นนี้ได้ ก็น่าตื่นตะลึงมากแล้วในสายตาของยอดฝีมือสำนักสองดาว
“เหอะเหอะ จับคนที่เดินผ่านไปมาแบบส่งเดช แต่กลับมีประโยชน์มากมายเช่นนี้”
‘ผู้เฒ่าหน้าดำ’ ที่คอยสังเกตการณ์การรบด้านหลังในฝั่ง ‘วังลิ่วหวน’ รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
พวกเรือทหารพลีชีพที่ถูกส่งไปตาย เมื่ออยู่ภายในใจกลางของสนามรบกลับสามารถรั้งขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงคนหนึ่งของฝ่ายตรงข้ามได้ นี่ถือว่าส่งผลต่อสถานการณ์โดยรวมไม่น้อย
“ล้อมโจมตีรอบด้าน!”
ที่ทัพด้านหลังของ ‘วังลิ่วหวน’ เสียงของครึ่งก้าวสู่ราชันปราณเทวะผู้นั้นถ่ายทอดคำสั่งไปในชั้นของจิตวิญญาณ
ข้อได้เปรียบของฝ่ายตนเองค่อยๆ มีมากขึ้นเช่นนี้ ฟากของวังลิ่วหวนย่อมไม่ยอมปล่อยให้โอกาสดีๆ เช่นนี้หลุดมือไปได้
“สังหาร!”
ค่ายของสำนักสองดาวส่งกำลังของยอดฝีมือเข้าไปมากขึ้นเรื่อยๆ ในใจของ
จ้าวเฟิงลอบยินดี นี่แหละคือผลลัพธ์ที่เขาต้องการ
สถานการณ์เบื้องหน้าวุ่นวาย จึงทำให้เขาสามารถบุกและถอยได้ตามใจต้องการ
แต่ว่าผู้เฒ่าหน้าดำคนนั้นของวังลิ่วหวนยังคงรักษาระยะห่างระหว่างตัวเขากับเรืออย่างระมัดระวัง
“พ่อหนุ่ม ถ้าหากชนะการรบในสงครามครั้งนี้ได้ พวกข้า ‘วังลิ่วหวน’ จะยกเลิกสถานภาพเชลยศึกของเจ้า กระทั่งสามารถเปลี่ยนมาเป็นหนึ่งในสมาชิกของสำนักเรา” ผู้เฒ่าหน้าดำส่งสัญญาณสงบศึกมาให้จ้าวเฟิงทางประสาทสัมผัสจิตวิญญาณ
“ตามที่ตกลง!” จ้าวเฟิงแสร้งทำทีท่าปีติยินดี แล้วเพิ่มแรงในการตั้งรับยอดผู้สูงศักดิ์ชุดเกราะดำ
มุมปากของผู้เฒ่าหน้าดำยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชา ลอบยิ้มเอ่ยว่า “ค่ายกลหุ่นเชิดศพและมรดกอาวุธวิเศษของเด็กคนนี้สูงส่งยิ่งนัก รอให้การรบจบลงก็จะเป็นเวลาเชิดแพะแล้ว”
แน่นอนว่าวินาทีสำคัญ ณ สนามรบในตอนนี้ จ้าวเฟิงถือได้ว่ามีประโยชน์อย่างมาก
เวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป การต่อสู้เริ่มดุเดือดขึ้น ทั้งสองฝ่ายโรมรันกันอลหม่าน
จ้าวเฟิงสงบเยือกเย็นอย่างมาก เก็บพลังส่วนหนึ่งไว้ ใช้หุ่นเชิดศพต้องสาปออกมาเพียงแค่สองในสามส่วน และยังไม่ได้ให้เจ้าหอโครงกระดูกออกมาร่วมรบ
เขาเองก็ไม่ได้เชื่อถืออะไรในคำสัญญาของผู้เฒ่าหน้าดำ
“โอกาสใกล้เข้ามาแล้ว…” จ้าวเฟิงสั่งให้เรือหลานเหลยอยู่บริเวณใจกลางของสนามรบที่แสนวุ่นวายเพื่อหาช่องทางวนหนี
ยอดผู้สูงศักดิ์ชุดเกราะดำคนดังกล่าวคอยตามโจมตีอยู่นาน ทั้งสองฝ่ายต่างทำอะไรกันไม่ได้ แต่กลับเป็นเรือแห่งทะเลความว่างเปล่าลำนั้นที่แล่นไปมา ทำให้สถานการณ์ยิ่งวุ่นวายหนักขึ้น
“อ๊าก อ๊าก…” ค่ายกลหุ่นเชิดศพปกคลุมอยู่ทั่วทุกทิศทางของเรือหลานเหลย คอยดูดซึมพลังของยอดฝีมือบางส่วนในขั้นนายเหนือแท้และขั้นครึ่งก้าวขอบเขตแก่นก่อกำเนิดเป็นระยะๆ
คนที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดโดนพลังอาฆาตต้องสาปไปเพียงบางส่วนก็จะกลายเป็นกองเลือดในทันที
หลังจากนั้น จ้าวเฟิงไม่สนใจแล้วว่าจะฝั่งศัตรูหรือฝั่งเดียวกัน ขอเพียงแค่มีโอกาส ยอดฝีมือของวังลิ่วหวนในพื้นที่ใกล้เคียงก็จะโดนค่ายกลหุ่นเชิดศพกลืนกินและสังหารไปด้วย
เพราะว่าเรือแห่งทะเลความว่างเปล่ากำลังประมือกับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง เสียงร้องที่แว่วออกมาสามารถสร้างสถานการณ์หลอกๆ ว่าทำร้ายอีกฝั่งได้
ผู้เฒ่าหน้าดำที่สังเกตการณ์การรบของ ‘วังลิ่วหวน’ ก็เริ่มเข้าร่วมต่อสู้จนไม่มีเวลามาสนใจฝั่งของพวกจ้าวเฟิง
“ฮึฮึ…สังหารผู้สูงศักดิ์อีกสองสามคน จำนวนผู้สูงศักดิ์ที่ค่ายกลหุ่นเชิดศพกลืนกินเข้าไปก็จะมีถึงยี่สิบร่างได้” เจ้าหอโครงกระดูกที่อยู่ภายในประคำหมื่นวิญญาณเริ่มคันไม้คันมือ
ตั้งแต่เริ่มวางค่ายกลหุ่นเชิดศพมาจนถึงตอนนี้ เศษเสี้ยววิญญาณผู้สูงศักดิ์ที่กลืนกินเข้าไปก็ปาไปสิบกว่าร่างแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสนามรบครั้งนี้ที่สังหารกลืนกินผู้สูงศักดิ์ได้เป็นจำนวนมากที่สุด
บนสนามรบของสำนักสองดาว ในบางครั้งไม่จำเป็นต้องลงมือสังหาร ค่ายกลหุ่นเชิดศพกลืนกินศพของผู้สูงศักดิ์ที่เพิ่งจะร่วงหล่นลงมา ผลลัพธ์ก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก
“ช่างเป็นโอกาสดีจริงๆ!” จ้าวเฟิงอดตั้งหน้าตั้งตารอไม่ได้ เขาเพิ่มจำนวนของหุ่นเชิดศพขึ้นเป็นเจ็ดสิบร่างเพื่อเพิ่มอาณาเขตกลุ่มหมอกเพลิงปีศาจ
ขณะประมือพัวพันกันมาเรื่อยๆ ยอดผู้สูงศักดิ์ชุดเกราะดำคนนั้นสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้น จนไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อีกแล้ว
ในยามเพิ่งเริ่มสู้ เขายังยับยั้งเรือทะเลแล้วจัดการโจมตีอีกฝ่ายจนถอยร่นไปได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าพอมาถึงตอนนี้ เขากลับโดนเรือลำนี้จูงจมูกเสียแล้ว
ไม่ใช่สิ!
ยอดผู้สูงศักดิ์เกราะดำไม่ใช่คนโง่ ตลอดการไล่ตามเขาค้นพบได้ไม่ยากเลยว่า จ้าวเฟิงกำลังกลืนกินพวกผู้สูงศักดิ์กับครึ่งก้าวสู่ผู้สูงศักดิ์เพื่อเพิ่มพลังของค่ายกลให้แข็งแกร่ง
“มีอย่างนี้ที่ไหนกัน! ที่แท้ก็ใช้สนามรบของสำนักสองดาวเพิ่มพลังของค่ายกลหุ่นเชิดศพ” ผู้สูงศักดิ์ชุดเกราะดำทั้งโมโหทั้งตกใจ
ไม่ว่าอย่างไรฝั่งของตำหนักนพเก้าก็โดนวังลิ่วหวนกำราบไว้อยู่
ฝั่งของวังลิ่วหวนมี ‘ครึ่งก้าวสู่ขอบเขตปราณเทวะ’ ที่อยู่ในระดับสูง เหนือกว่าคนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสุดยอดสองคนของตำหนักนพเก้า
หากว่าทางฝั่งตำหนักนพเก้าไม่ใช่ฝ่ายตั้งรับป้องกัน และได้การปกป้องคุ้มครองจากค่ายกล สถานการณ์ก็คงเปลี่ยนไปนานแล้ว
“หัวหน้าเรือจ้าว! อาศัยโอกาสที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่รู้ผลแพ้ชนะเถอะ ช่วงชุลมุนวุ่นวายนี้เอื้อประโยชน์ให้เราหลบหนีออกไปจากที่แห่งนี้ได้พอดี” หลี่อวิ๋นหยาเอ่ยปากแนะนำด้วยสีหน้าสุขุม
รบมาจนถึงตอนนี้ หลี่อวิ๋นหยาและคนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดอีกสองคนล้วนแต่บาดเจ็บ ไอสวรรค์แตกซ่าน
พวกเขาไม่ได้มีสภาวะวิญญาณอย่างจ้าวเฟิง ฝ่ายนั้นมีสายเลือดวารีที่คอยรักษาบาดแผลจึงทำให้ปลอดภัยมาจนถึงตอนนี้
“น่าจะได้แล้ว” จ้าวเฟิงผงกศีรษะน้อยๆ ถึงแม้ว่าจะดูไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก
สนามรบของสำนักสองดาวเป็นโอกาสดีที่เขาจะสังหารผู้สูงศักดิ์เพื่อเพิ่มพลังให้กับค่ายกลหุ่นเชิดศพ
แต่ว่า เขาเองก็เข้าใจสถานการณ์เบื้องหน้า ทันทีที่การสู้รบของทั้งสองฝั่งจบลง ไม่ว่าเป็นฝ่ายใดตนเองก็ไม่สามารถรับมือได้เลย
“เลี้ยวซ้าย หนีออกไปที่วงนอก” จ้าวเฟิงถ่ายทอดคำสั่ง
เขาแสร้งทำว่าพลังสายเลือดของตนเองไม่มากพอ สั่งให้เรือรับมือไปด้วย ล่าถอยไปด้วยในเวลาเดียวกัน
“เหอะ ผู้เยาว์คนนั้นฝึกตนก็ยังไม่ทะลวงถึงขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ปราณที่แท้จริงและสายเลือดไยจึงต้านทานได้นานเพียงนี้” ยอดผู้สูงศักดิ์ชุดเกราะดำใจสั่นสะท้าน ระเบิดพลังรบออกมา
เปรี้ยง โครม! ตูม ตูม!
เมฆหมอกปีศาจสีเทาเข้มที่ล้อมรอบเรือหลานเหลยทั่วทุกทิศทางปริร้าวและแตกออกเป็นบางครั้ง จ้าวเฟิงและคนอื่นๆ รับมือไปพลาง ล่าถอยไปพลาง
ไม่นานนัก
“จะหนีไปไหน!”
เรือหลานเหลยหลีกหนีออกจากสนามรบมาจนถึงเขตวงนอก ยอดผู้สูงศักดิ์เกราะดำแย้มยิ้มแล้วไล่ตามอย่างไม่ลดละ
เมื่อนึกถึงว่าจะยึดเรือชั้นเลิศลำนี้และค่ายกลหุ่นเชิดศพที่ทรงพลังมาได้ ใจเขาก็อดลิงโลดไม่ได้
“เพิ่มความเร็ว!” จ้าวเฟิงยิ้มเยาะในใจ สั่งให้เรือหลานเหลยแล่นด้วยความเร็วที่แท้จริง
ครืน สวบ!
เรือหลานเหลยแหวกผ่านอากาศมีเพียงร่องรอยของลำแสงวารีอัสนี พาเรือหนีออกจากสนามรบอย่างรวดเร็ว
ความเร็วในการโบยบินระดับดังกล่าวทำให้ยอดฝีมือสองฝ่ายบางส่วนที่สังเกตเห็นอดตกใจไม่ได้
“ตายซะ!” ในฐานะที่อยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง ยอดผู้สูงศักดิ์ชุดเกราะดำจึงบินได้เร็วกว่าเล็กน้อย
เพราะอย่างไรความเร็วสูงสุดของเรือหลานเหลยก็แค่ใกล้เคียงกับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ถือได้ว่าเยี่ยมยอดอย่างที่สุดแล้ว
“ผู้สูงศักดิ์คนนี้ไล่ตามอย่างเอาเป็นเอาตาย พวกเราเองก็ยากที่จะหนีรอดไปได้”
หลี่อวิ๋นหยาและผู้สูงศักดิ์ที่เหลือเอ่ยอย่างขมขื่น
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ พวกเขาเกรงว่าการหนีเอาชีวิตรอดจากการไล่ล่าสังหารของคนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง อย่างมากก็ทำได้แค่ดิ้นรนเอาตัวรอดเพียงชั่วคราว
“หัวหน้าเรือจ้าว ไม่สู้พวกเราแยกย้ายกันหนี เช่นนี้โอกาสรอดชีวิตน่าจะมีมากกว่า” ชายชราแขนขาด เอ่ยปากแนะนำ
ชายชราแขนขาดและสตรีอาภรณ์สีเหลืองมองออกว่าเป้าหมายของยอดผู้สูงศักดิ์ชุดเกราะดำก็คือจ้าวเฟิงและเรือหลานเหลย
“แล้วแต่เถิด” จ้าวเฟิงเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ในตอนนี้ถือว่าหนีออกจากอาณาเขตจุดศูนย์กลางของสนามรบมาได้แล้ว ผู้สูงศักดิ์ที่บาดเจ็บสองคนนี้ เดิมทีเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว
แต่กลับเป็นหลี่อวิ๋นหยาที่สายตามีประกายวูบวาบ ไม่ได้ตัดสินใจอะไร
สวบ สวบ!
ชายชราแขนขาดและสตรีชุดเหลืองแยกย้ายออกจากเรือ แล้วก็เป็นดังคาด ยอดผู้สูงศักดิ์ชุดเกราะสีดำเลือกที่จะตามเรือหลานเหลย ไม่ได้สนใจใยดีทั้งสองแม้แต่น้อย
พู่!
ชายชราแขนขาดและสตรีชุดเหลืองถอนหายใจอย่างโล่งอก นับได้ว่าหนีรอดออกจากเงามรณะเรียบร้อยแล้ว
แต่ทว่า จิตใจของคนทั้งสองยังไม่ทันได้สงบลง ด้านหลังก็มีพลังยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตจากฟ้าดินทำให้ธรรมชาติรอบตัวเปลี่ยนไปวิปริตอย่างรุนแรง ทั้งยังย้อมก้อนเมฆให้กลายเป็นสีแดงในทันที
อะไรกัน!
คนทั้งสองตกใจจนหน้าถอดสี เห็นเพียงแค่ผู้เฒ่าหน้าดำที่คอยเฝ้าสังเกตการณ์การรบแหวกอากาศตามมา
ผู้เฒ่าหน้าดำคนดังกล่าวเป็นถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงปลาย เมื่อเทียบกับยอดผู้สูงศักดิ์ชุดเกราะดำที่ตามไล่ล่าแล้วแข็งแกร่งมากกว่าหลายเท่าตัว
“หัตถ์เมฆาชาด!”
ผู้เฒ่าหน้าดำสะบัดมือไปยังอากาศที่ว่างเปล่าข้างลำกาย ก้อนเมฆแดงรอบตัวทะลักลำแสงฝ่ามือสีชาดขนาดใหญ่ยักษ์ออกมา แสงสีแดงเจิดจ้าย้อมท้องฟ้าไปถึงครึ่ง
“อ๊าก!”
สตรีในชุดสีเหลืองกรีดร้องโหยหวน ลำแสงฝ่ามือเมฆาเหมือนกับว่าได้หอบเอาพลังส่วนหนึ่งของเมฆแดงในธรรมชาติมาผนึกบริเวณที่นางอยู่
โครม แคร่ก!
เรือนร่างแบบบางของสตรีชุดเหลืองโดนพลังลำแสงฝ่ามือเมฆาบดขยี้จนแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“ไว้…ชีวิตด้วย!” ชายชราแขนขาดที่เหลืออยู่ก็โดนลำแสงฝ่ามือดังกล่าวกดลง ร่างกายรู้สึกประหนึ่งว่าตกลงไปในบ่อโคลน ทุกการเคลื่อนไหวกินแรงเป็นอย่างยิ่ง
พลังของผู้เฒ่าหน้าดำผู้นี้ร้ายกาจกว่าผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงทั่วไปมากมายนัก
ถ้าหากเปลี่ยนเป็นผู้ตามไล่ล่าสังหารก่อนหน้านี้ เกรงว่าพวกเขาไม่น่าจะมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ได้
“ทหารที่หนีศึกต้องตายสถานเดียว”
ผู้เฒ่าหน้าดำเอ่ยอย่างไร้ความรู้สึก กดลำแสงฝ่ามือลงอย่างรุนแรง ทำให้ชายแขนขาดคนนั้นสลายกลายเป็นเพียงผงธุลี
ผู้สูงศักดิ์สองคนเมื่อมาอยู่ต่อหน้าเขากลายเป็นเพียงเด็กทารกที่อ่อนแอเท่านั้น
“หืม? อยู่ทางนั้น…” ผู้เฒ่าหน้าดำใช้ประสาทสัมผัสกวาดผ่านตามเศษเสี้ยวกลิ่นอายที่หลงเหลืออยู่ในละแวกนี้ จึงสามารถยืนยันทิศทางของเรือหลานเหลยและคนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงอีกคนหนึ่งได้
สนามรบในเวลานี้ พลังระดับสูงของวังลิ่วหวนได้เปรียบอยู่ไม่น้อย เขาเป็นผู้นำในการสังเกตการณ์ นี่จึงเป็นเวลาเหมาะสมที่เขาจะไปไล่ล่า ‘ทหารหนีศึก’
ถ้าหากสามารถสังหารยอดผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นในเวลาเดียวกันก็จะโชคดีสองต่อด้วย
ภายในทะเลความว่างเปล่า บริเวณใกล้เคียงกับสนามรบของสำนักสองดาว
แซ่ด~
เงามืดมิดขนาดใหญ่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายมรณะที่เย็นชาว่างเปล่า เป็นประหนึ่งดวงวิญญาณมรณะซึ่งบินมาจากระยะไกลๆ ถึงความเร็วดูเหมือนจะช้า แต่เมื่อเปรียบกับคนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงแล้วกลับเร็วกว่าหลายเท่านัก
ในระยะเวลาเพียงสั้นๆ ทั่วทั้งบริเวณของทะเลความว่างเปล่าก็ตกอยู่ในความเงียบงัน
“สนามรบของสำนักสองดาว? เหอะ! นึกว่าหลบอยู่ภายในสนามรบแล้วจะหลีกหนีคำสั่งล่าสังหารได้งั้นหรือ?”