บทที่ 609 หัวหน้าเรือสำแดงอำนาจ
หลี่อวิ๋นหยา…นี่ต้องการท้าทายหัวหน้าเรือหรืออย่างไร?
เจ้าหอโครงกระดูกและพวกโหลวหลานจื๋อสุ่ยอดที่จะสนอกสนใจไม่ได้
จ้าวเฟิงเป็นหัวหน้าเรือของเรือหลานเหลย แต่ว่ากับเหล่าลูกเรือนั้นแทบจะไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ ด้วย
แล้วบวกกับที่เขาเพิ่งจะทะลวงถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ในขั้นตอนทะลวงขั้นดังกล่าว กลิ่นอายที่น่าตื่นตกใจแทบจะพอๆ กับคนที่ทะลวงผ่านขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงมาแล้ว จึงทำให้คนประหลาดใจยิ่งขึ้น
“ได้” จ้าวเฟิงเอ่ยตกลงอย่างไม่รีรอพร้อมผงกศีรษะน้อยๆ
เพิ่งทะลวงผ่านมายังขอบเขตแก่นก่อกำเนิด เขาเองจึงยังไม่รู้ขีดจำกัดความสามารถของตนเอง อีกทั้งการท้ารบของหลี่อวิ๋นหยาย่อมมีเจตนาแอบแฝงที่เกี่ยวข้องกับการเอาชนะใจ ‘เจ้าตำหนักหย่งเฟิง’
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ฝูงชนก็เดินมายังภายในโรงเตี๊ยม ตรงสนามประลองยุทธ์
โรงเตี๊ยมที่พักภายในตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า แน่นอนว่าย่อมต้องเกินคำจำกัดความของโรงเตี๊ยมธรรมดาทั่วไปภายในดินแดนต่างๆ
โรงเตี๊ยมแห่งนี้ทางการเป็นฝ่ายก่อตั้งขึ้น ผู้ที่เข้ามาพักล้วนแต่เป็นยอดฝีมือจากที่ต่างๆ ที่ว่างภายในกว้างใหญ่ขนาดเท่ากับเมืองย่อมๆ แห่งหนึ่ง
ภายในลานประลองของโรงเตี๊ยมก็ไม่ธรรมดา
ยกตัวอย่างเช่นลานประลองที่อยู่เบื้องหน้านี้ มีเนื้อที่หลายไร่ ภายในมีค่ายกลควบคุมอย่างหนาแน่น
“สนามประลองส่วนตัว” หลี่อวิ๋นหยาเปิดปากสั่ง ‘เด็กรับใช้’ ของโรงเตี๊ยม
พรึ่บ!
เด็กรับใช้ของโรงเตี๊ยมยิ้มแย้มเพียงเล็กน้อย โบกธงค่ายกลในมือ แล้วทั้งลานประลองก็ถูกปกคลุมไปด้วยลำแสงสีดำทมิฬ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คนภายนอกสนามประลองจึงไม่สามารถชมการต่อสู้ได้ นอกเสียจากว่าจะมีห้วงคิดเซียนที่แข็งแกร่งของขอบเขตปราณเทวะ
จ้าวเฟิงอดคิดไม่ได้ว่าหลี่อวิ๋นหยาอำพรางสนามประลองเพราะมีเจตนาอะไร จะเกี่ยวข้องกับเจ้าตำหนักหย่งเฟิงหรือไม่?
ภายในค่ายกลมิติของลานประลอง จ้าวเฟิงและหลี่อวิ๋นหยายืนประจันหน้ากันจากที่ไกลๆ
นอกค่ายกล มีเพียงเจ้าหอโครงกระดูกและโหลวหลานจื๋อสุ่ยเป็นผู้ชม
“พลังของท่านหัวหน้าเรือก่อนที่จะทะลวงถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดก็ว่าน่ากลัวแล้ว โดยเฉพาะพลังสายเลือดดวงตานั่นที่สังหารมาแล้วแม้แต่ผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด”
โหลวหลานจื๋อสุ่ยคิดในใจ
ในสายตาของคนทั้งสอง หลี่อวิ๋นหยาย่อมไม่ใช่คู่ฝีมือ
“ท่านหัวหน้าเรือ การประลองครั้งนี้ท่านไม่ต้องกระตุ้นพลังสายเลือดดวงตา” หลี่อวิ๋นหยาเสนอความคิด
ไม่ต้องใช้พลังสายเลือดดวงตา?
คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันตกตะลึง
“หลี่อวิ๋นหยาคนนี้กลับกลอกนัก!” โหลวหลานจื๋อสุ่ยกัดฟันเอ่ย
แต่ว่าที่หลี่อวิ๋นหยาเสนอเงื่อนไขนี้หน้าด้านๆ เพราะเขาย่อมรู้ดีว่า ถ้าหาก
จ้าวเฟิงใช้พลังสายเลือดดวงตา ตนเองแทบจะไม่มีโอกาสใดเลย
“เหอะเหอะ ข้าจะไม่ใช้พลังสายเลือดดวงตาก็ได้ แต่ว่าข้าก็มีข้อเสนอหนึ่งเช่นกัน” จ้าวเฟิงยิ้มน้อยๆ
หลี่อวิ๋นหยาชะงักไป หรือว่าหัวหน้าเรือก็มีข้อจำกัดอะไรกับตนเช่นกัน
แล้วในเวลานั้นเอง
“ประลองกับเจ้าคนเดียวไม่ท้าทาย ไม่สู้พวกเจ้าสองคนมาพร้อมกันเลย” สายตาของจ้าวเฟิงย้ายมาจับจ้องที่ร่างของเจ้าหอโครงกระดูก
สองคนพร้อมกัน?
หลี่อวิ๋นหยาและเจ้าหอโครงกระดูกมีสีหน้าประหลาดใจ
“จะประลองกับคนสองคนพร้อมกันโดยไม่ใช้สายเลือดดวงตางั้นหรือ?”
โหลวหลานจื๋อสุ่ยเบิกตาโต
ยามที่เพิ่งเข้ามาภายในทะเลความว่างเปล่า กำลังหลักที่จ้าวเฟิงต้องคอยพึ่งพาคือเจ้าหอโครงกระดูก ในยามแรกสุด พลังของจ้าวเฟิงที่ไม่ใช้พลังสายเลือดดวงตาสู้เจ้าหอโครงกระดูกไม่ได้ ต่อมาจึงค่อยๆ ไล่ตามขึ้นมาจนทัน
“เหอะเหอะ นายท่านคนเดียวจะประลองกับพวกเราสองคน? ชะล่าใจเกินไปหรือเปล่า?” เจ้าหอโครงกระดูกเดินเข้ามาภายในค่ายกลมิติด้วยสีหน้ามั่นใจ
ในช่วงเวลาสั้นๆ กลิ่นอายของยอดฝีมือในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลายทั้งสองก็อบอวลอยู่ภายในค่ายกล
ไม่ว่าจะเจ้าหอโครงกระดูกหรือว่าหลี่อวิ๋นหยา พลังของคนทั้งสองไม่อาจเอาพลังของคนอื่นๆ ในระดับเดียวกันมาเปรียบเทียบได้
เจ้าหอโครงกระดูกมีร่างเป็นกระดูกที่สร้างขึ้นอย่างไม่ธรรมดา เมื่อหลอมรวมเข้ากับกระดูกเก้าทมิฬ คนต่ำกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลายลงไปไม่สามารถต้านทานได้ ถือว่าไร้เทียมทานกว่าแน่นอน
ส่วนหลี่อวิ๋นหยา พลังฝึกตนเข้าใกล้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงสุดยอด ในฐานะที่เป็นอัจฉริยะในรอบพันปีของวังลิ่วหวน พลังรบที่เขาแสดงออกมาในสนามรบของสำนักสองดาวก็ไม่ใช่ธรรมดาทั่วไป
“เริ่มได้!”
จ้าวเฟิงเตรียมเผชิญศึกสองรุมหนึ่งด้วยสีหน้าสงบ
“กระบี่ดารา!”
หลี่อวิ๋นหยายกมือขึ้น แล้วจึงปรากฏกระบี่ซึ่งเป็นอาวุธชั้นพิภพเล่มหนึ่ง รอบๆ ผิวนอกมีลวดลายของดาวโบราณสลักอยู่เลือนราง
เจ็ดดาราสวรรค์สิ้น!
กระบี่เจ็ดดาราในมือของหลี่อวิ๋นหยาสั่นน้อยๆ ในทันที ก่อนจะสาดแสงเจิดจ้าราวกับดวงดาราที่ส่องสว่าง ภาพมายาที่ปรากฏในอากาศเป็นประหนึ่งกลุ่มควันไฟของดาวตก ลำแสงกระบี่ดาราพุ่งดิ่งไปยังจ้าวเฟิง
“ช่างเป็นวิชากระบี่ที่สูงส่งนัก พลังแห่งดารากระหึ่มกังวานผสานกับศาสตร์กระบี่” เจ้าหอโครงกระดูกแอบชื่นชม ไม่เสียแรงที่เป็นอัจฉริยะในรอบพันปีของวังลิ่วหวน
“ปราการกระดูกเพลิง!”
มือของเจ้าหอโครงกระดูกผลักออกน้อยๆ กลายเป็นเงากระดูกที่ซีดขาวนับหมื่นพันซึ่งล้อมรอบไปด้วยเปลวเพลิง แล้วจึงก่อตัวเป็นกำแพงโครงกระดูกล้อมจ้าวเฟิงเอาไว้
โครม โครม โครม!
จ้าวเฟิงจึงโดนเพลิงโครงกระดูกล้อมเอาไว้รอบด้าน อีกทั้งกำแพงกระดูกเพลิงนั่นยังบีบเข้ามาเรื่อยๆ และจำกัดพื้นที่ในการขยับตัวของเขาไว้
“เจ็ดดาราสวรรค์สิ้น!”
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง หลี่อวิ๋นหยาก็โบกสะบัดกระบี่ ลำแสงกระบี่ดาราแตกกระจายออกเป็นหลายเส้นสายตรงดิ่งไปหาจ้าวเฟิง
ผู้สูงศักดิ์สองคนร่วมมือกันนับว่าไร้ซึ่งที่ติใด
หลี่อวิ๋นหยาเป็นกำลังหลักในการโจมตี ส่วนเจ้าหอโครงกระดูกก็สรรสร้างเคล็ดวิชาใหม่มาจำกัดจ้าวเฟิงไปเรื่อยๆ ในเวลาเดียวกันก็ทำให้มันกลายเป็นเกราะป้องกันด้วย
การร่วมมือกันโจมตีเช่นนี้ ต่อให้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงมาเผชิญหน้าเองก็ต้องมีสะเทือนกันบ้าง
“ฮึ” มุมปากของจ้าวเฟิงยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
ความเร็วของเขาย่อมสามารถหลบการโจมตีพร้อมกันของคนทั้งสองได้อย่างสบายๆ
แซ่ด วิ้ง!
ใจกลางฝ่ามือของจ้าวเฟิง กระแสวายุอัสนีสีม่วงวาววับที่บริสุทธิ์และกระจ่างค่อยๆ เกาะกลุ่มกัน สาดซัดกลิ่นอายทำลายล้างโบราณออกมารุนแรงกว่าเป็นหลายเท่าตัว
วงแหวนวายุอัสนี!
จ้าวเฟิงโบกมือ วายุอัสนีพิฆาตสีม่วงที่ใจกลางฝ่ามือกลายเป็นลำแสงวงแหวนเจิดจ้าน่ากลัว ประดุจว่าจะทำลายล้างทุกอย่าง กวาดล้างจนสิ้นซาก และกดขี่ทุกสรรพสิ่งเอาไว้
โครม ฉับ ฉับ!
กำแพงกระดูกเพลิงทั้งสี่ทิศแตกละเอียดเป็นชิ้นๆ ทันทีเมื่อปะทะเข้ากับวงแหวนวายุอัสนี เหลือเพียงควันสีดำสนิทลอยโขมงขึ้นมา
“…ปราการกระดูกเพลิงของข้า!”
เจ้าหอโครงกระดูกหน้าเปลี่ยนสี ‘ปราการเพลิงกระดูก’ นี้เป็นสุดยอดเคล็ดวิชาที่เขาทุ่มเทฝึกฝนในครึ่งปีที่ผ่านมานี้ เพื่อใช้ในการกักขังศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตนโดยเฉพาะ
แต่ทว่า การโจมตีของ ‘วงแหวนวายุอัสนี’ นั้นผลาญทำลายทุกอย่าง เคล็ดวิชาที่เขาฝึกฝนมาครึ่งปีเป็นเหมือนเพียงกระดาษก็เท่านั้น
เป็นการทำลายล้างที่ทรงพลังยิ่ง!
แซ่ด วิ้ง!
ยังมีวงแหวนวายุอัสนีที่หลงเหลืออยู่ในนั้นตรงดิ่งมาหาเจ้าหอโครงกระดูกด้วย
“เพลิงกระดูกคุ้มกาย!” กระดูกสีเงินทองทั่วร่างเจ้าหอโครงกระดูกมืดคล้ำลง หนาขึ้นอีกชั้นหนึ่ง แล้วจึงผุดไอเพลิงออกมา
ผลัวะ~แซ่ด แซ่ด ตูม!
ในวินาทีที่วงแหวนวายุอัสนีเข้ามาใกล้ร่าง เจ้าหอโครงกระดูกร้องเสียงหลง ควันสีดำลอยไปทั่วร่าง ไอเพลิงที่อยู่ตามผิวกายลดลงอย่างรวดเร็ว
ตุบ ตุบ ตุบ!
เวลานั้นเจ้าหอโครงกระดูกที่ถอยกระเด็นไปไกลติดๆ กันร้องอย่างตื่นตระหนก “ร่างโครงกระดูกของข้า…”
อีกฟากหนึ่งในเวลาเดียวกัน
การโจมตีของหลี่อวิ๋นหยา ทันทีที่เข้าไปใกล้จ้าวเฟิงก็จะโดน ‘วงแหวนวายุอัสนี’ ที่หมุนเป็นเกลียวอยู่รอบตัวเขาทำลายจนแตกละเอียดเป็นผุยผง
วงแหวนวายุอัสนี มิใช่วงแหวนอัสนีเหมือนในยามก่อน
วงแหวนที่เกิดจากเคล็ดวิชาในคราวนี้มีลักษณะเป็นรูปทรงปริมาตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณรอบๆ ร่างกายจะเป็นประหนึ่งเกลียวน้ำวนเลยทีเดียว
“วงแหวนวายุอัสนี ป้องกันและโจมตีในหนึ่งเดียว”
จ้าวเฟิงยืนนิ่งไม่ไหวติง วงแหวนวายุอัสนีที่แข็งแกร่งมีฤทธิ์เดชแรงกล้า ทุกที่ที่มันโจมตีจะสร้างความเสียหายราวหายนะครั้งใหญ่
โครม พลั่ก!
หลี่อวิ๋นหยาโดนแรงปะทะจนถอยกระเด็นไปหลายสิบจั้ง ร่างกายมีรอยไหม้มากมาย ควันลอยขึ้นโขมง เขาไม่มีการป้องกันที่แข็งแกร่งอย่างเจ้าหอโครงกระดูก ร่างกายจึงบาดเจ็บไม่น้อยเมื่อโดนพลังของวายุอัสนีพิฆาตโจมตี
“หลอมรวมกระดูกเพลิง!”
ทันใดนั้นเอง เจ้าหอโครงกระดูกกลายร่างเป็น ‘โครงกระดูกเพลิง’ ร่างกายสูงขึ้นไปกว่าสี่ห้าจั้ง ทุกอริยาบถแฝงไปด้วยพลังกระดูกทรงพลังมหาศาล ลูกเพลิงมรณะปะทุไปทั่ว
ในยามที่โดนจ้าวเฟิงบีบคั้นขนาดนี้ เขาไม่ลังเลใจเลยที่จะใช้เคล็ดวิชาลับสุดยอด ภายใต้สภาวะโครงกระดูกเพลิงนี้ เขาสามารถฝืนรับแรงโจมตีหลายระลอกของ ‘วงแหวนวายุอัสนี’ ได้
หลี่อวิ๋นหยาที่อยู่อีกฟากโดนบีบให้เข้าไปติดมุมหนึ่ง ดูน่าอเนจอนาถมากนัก
“นี่หรือคือพลังที่แท้จริงของท่านหัวหน้าเรือ? เพียง ‘เคล็ดวิชาป้องกันกาย’ แบบง่ายๆ ก็บีบคนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลายสองคนให้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้”
โหลวหลานจื๋อสุ่ยตกใจจนใจเต้นถี่ เรียกได้ว่าจ้าวเฟิงยังไม่ทันเป็นฝ่ายลงมือโจมตีอย่างจริงๆ จังๆ ด้วยซ้ำไป
“ต่อให้บรรลุถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิด พลังก็ไม่ควรจะน่ากลัวขนาดนี้?”
‘ร่างโครงกระดูกเพลิง’ ที่เจ้าหอโครงกระดูกสร้างขึ้นโดนโจมตีจาก ‘วงแหวนวายุอัสนี’ ไอเพลิงบนร่างเต้นระริก เกิดเป็นควันสีดำลอยกรุ่นขึ้นมา
วงแหวนวายุอัสนีเหล่านั้นแฝงไปด้วยพลังของวายุอัสนี ระดับความแข็งแกร่งบริสุทธิ์กว่าก่อนที่จ้าวเฟิงจะทะลวงขั้นหลายเท่าตัวนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลิ่นอายทำลายล้างและเสวียนอ้าววายุอัสนีที่แฝงอยู่ในปราณที่แท้จริง ยิ่งบริสุทธิ์กว่าที่ผ่านมาหลายเท่าตัว
สุดท้ายแล้ว หลี่อวิ๋นหยาและเจ้าหอโครงกระดูกยังไม่มีแม้แต่กำลังจะลงมือโต้กลับ ตกอยู่ในสถานการณ์โดนโจมตีอย่างต่อเนื่องไปแล้ว
“เหอะเหอะ จบสิ้นตรงนี้” จ้าวเฟิงหัวเราะร่า แล้ววงแหวนวายุอัสนีที่อยู่รอบกายเขาก็หายไปทันที
วูบ แซ่ด!
บนพื้นจุดเดิมทิ้งไว้เพียงร่องรอยของสายฟ้า
เงาวายุอัสนีเป็นสายประหนึ่งเงามายาของภูติผีพลันพุ่งทะลวงสั่นไหวไปทั่วค่ายกลมิติ
ประสาทสัมผัสของผู้สูงศักดิ์ทั้งสองสับสนวุ่นวาย ไม่สามารถจับร่องรอยการเคลื่อนกายของจ้าวเฟิงได้เลย
“คมมีดพิฆาต!”
ลำแสงคมมีดสีม่วงที่เบาบางราวปีกจักจั่นมีสายฟ้าวิบวับไปมา บริเวณภายนอกเกิดเป็นลายเส้นสีม่วง มันสาดกลิ่นอายทำลายล้างที่คงสภาพแล้วออกมา ชวนให้วิญญาณผู้คนสั่นสะพรึง
ฟุ่บ โครม! โครม สวบ!
เจ้าหอโครงกระดูกร้องเสียงหลง เมื่อแขนกระดูกเพลิงข้างหนึ่งถูกจ้าวเฟิงตัดขาดสะบั้นร่วงลงบนพื้น
“นายท่านไว้ชีวิตด้วย…”
เจ้าหอโครงกระดูกตกใจจนวิญญาณจะหลุดลอยออกจากร่าง พลังการป้องกันของเขาอยู่ในสภาวะโครงกระดูกเพลิง กลับโดนจ้าวเฟิงตัดแขนข้างหนึ่งขาดฉับราวหั่นผักกาด
วูบ โครม!
ในวินาทีถัดมา เงาวายุอัสนีปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“แย่ล่ะ!”
หลี่อวิ๋นหยาตกใจจนหน้าถอดสี เงามายาประหนึ่งเทพเซียนภูติผีปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขา ยังไม่ทันรอให้เขาได้โจมตีกลับ กำปั้นซึ่งสาดพลังที่น่ากลัวราวกับสัตว์อสูรก็ชกเขากระเด็นจนกระอักเลือด
“ร่างกายที่แข็งแกร่งอะไรเช่นนี้ พึ่งเพียงแค่กำลังของกายเนื้อเท่านั้นก็ทำเอาข้าบาดเจ็บเสียแล้ว”
รวดเร็วเกินไปจริงๆ!
ผู้สูงศักดิ์ทั้งสองคนแทบจะรับมือไม่ได้เลยสักกระบวนท่า
โครม! โครม ตุบ!
หลี่อวิ๋นหยาและเจ้าหอโครงกระดูกร่วงลงบนพื้นพร้อมกัน ต่างกันตรงที่
หลี่อวิ๋นหยาโดนโจมตีด้วยพลังรุนแรงของจ้าวเฟิงจนบาดเจ็บล้มลงหมดสภาพ
ส่วนเจ้าหอโครงกระดูกคุกเข่าอยู่กับพื้น ในดวงตามีแววของความหวาดกลัว
ในวินาทีที่จ้าวเฟิงลงมือใช้ ‘คมมีดพิฆาต’ ถ้าหากว่าทุ่มเทพลังโจมตีทั้งหมดแล้วตั้งใจจะทำร้ายจริงๆ ล่ะก็ เจ้าหอโครงกระดูกก็ยากจะหนีความตายได้
ตอนนั้นเจ้าหอโครงกระดูกถึงกับสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่คุกรุ่นออกมาจากร่างของจ้าวเฟิง
ทันใดนั้นเอง
ผู้สูงศักดิ์ทั้งสองคนมองสบตากัน ในแววตาต่างมีแววหวาดหวั่นพาดผ่าน
“จ้าวเฟิงผู้นี้ ต่อให้ไม่ได้ใช้พลังสายเลือดดวงตา พลังในทุกด้านก็เหนือกว่าข้า ถ้าหากพลังของข้าอ่อนด้อยเกินไป หมดประโยชน์ให้ใช้แล้ว เขาอาจจะลงมือสังหารข้าก็เป็นได้”
ใจของเจ้าหอโครงกระดูกสั่นสะท้าน
ยากที่จะคิดภาพจริงๆ การหลอมรวมเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ทำให้พลังของ
จ้าวเฟิงน่ากลัวได้มากถึงเพียงนี้
จากวันนี้เป็นต้นไป
สำหรับเจ้าหอโครงกระดูกแล้ว ไม่ว่าจะในนามหรือว่าในด้านความต่างของพลังล้วนแต่ตกเป็นข้ารับใช้ของจ้าวเฟิงอย่างสมบูรณ์
“ท่านหัวหน้าเรือตัดแขนข้างหนึ่งของเจ้าหอโครงกระดูกไปงั้นหรือ?”
โหลวหลานจื๋อสุ่ยตกใจจนหน้าถอดสี
พลังฝึกตนของนางในตอนนี้เพียงแค่เข้าใกล้ครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด เมื่อเปรียบกับหลี่อวิ๋นหยาและเจ้าหอโครงกระดูกแล้ว ยังห่างชั้นกันมากนัก
ท่านหัวหน้าเรือไยถึงต้องทำเช่นนี้?
โหลวหลานจื๋อสุ่ยพยายามตั้งติแล้วคิดอย่างลึกซึ้ง สุดท้ายจึงเข้าใจ
“ท่านหัวหน้าเรืออยากใช้โอกาสนี้แสดงศักยภาพต่อหน้าผู้สูงศักดิ์ทั้งสอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่อวิ๋นหยาผู้มาใหม่ ที่ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ได้จงรักภักดีอย่างแท้จริง อีกอย่างเขาก็อยากจะถือโอกาสนี้เตือนเจ้าหอโครงกระดูก ผู้เป็นข้ารับใช้ที่มีใจคิดไม่ซื่อด้วย”