Skip to content

King of Gods 610

King Of Gods

บทที่ 610 เจ้าตำหนักหย่งเฟิง

ในลานประลอง ภายในค่ายกลมิติ

การต่อสู้ของผู้สูงศักดิ์ทั้งสามใช้เวลาเพียงชั่วครู่ก็รู้ผลแพ้ชนะ

หลี่อวิ๋นหยาพยายามสงบใจที่เต้นแรง ฝืนยิ้มขมขื่น

ในยามก่อน สาเหตุที่เขาหวาดกลัวยำเกรงจ้าวเฟิงเป็นเพราะดวงตาสายเลือดของอีกฝ่ายมากกว่า

แต่ว่าความจริงได้แสดงออกมาแล้ว ต่อให้จ้าวเฟิงไม่ได้ใช้พลังสายเลือดดวงตา คนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำก็มิใช่คู่ต่อสู้ของเขา

ถึงแม้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลายสองคนร่วมมือกันยังไม่ระคายเขาแม้แต่น้อย

คนที่น่าสงสารที่สุดเห็นจะเป็นเจ้าหอโครงกระดูกที่โดนจ้าวเฟิง ‘พลั้งมือ’ ตัดแขนออกไปข้างหนึ่ง แถมยังทำในขณะที่เขาแข็งแกร่งกว่าเดิมด้วยอยู่ในสภาวะ ‘โครงกระดูกเพลิง’

“ความสามารถของจ้าวเฟิงล้ำหน้าข้าไปมากแล้ว ต่อให้ข้าไม่ถูกจำกัดด้วย ‘เมล็ดดวงใจทมิฬ’ เมื่อข้าเผชิญหน้ากับเขาก็ไม่มีแรงขัดขืนแต่อย่างใดอยู่ดี” ร่างของเจ้าหอโครงกระดูกสั่นสะท้าน ลูกไฟในเบ้าตามีแววหวาดกลัวฉายออกมา

ระดับของพลังที่ห่างไกลกันเรื่อยๆ ถึงขั้นทำให้เจ้าหอโครงกระดูกกังวลใจ หากว่าคุณประโยชน์ที่ตนมีต่อจ้าวเฟิงลดลงไปทุกที เขาจะโดนจ้าวเฟิงทอดทิ้งหรือไม่

เวลาสั้นๆ ผ่านไป พวกจ้าวเฟิงกลับมาที่ห้องพัก

เจ้าหอโครงกระดูกเข้าไปในประคำหมื่นวิญญาณเพื่อรักษาบาดแผล

“หลี่อวิ๋นหยา ที่ข้ากับเจ้าประลองกันเกี่ยวกับการดึงดูดความสนใจ ‘เจ้าตำหนักหย่งเฟิง’ สินะ?” จ้าวเฟิงเอ่ยปากถาม

“หัวหน้าเรือ สถานการณ์เป็นแบบนี้ ตามที่ข้าไปสืบมา ความสามารถของเจ้าตำหนักหย่งเฟิงเหนือกว่าคนอื่นไปมาก มีงานอดิเรกอย่างหนึ่งคือชื่นชอบชมการประลองเป็นอย่างยิ่ง เขามักจะหมกตัวอยู่ในลานประลองทะเลความว่างเปล่า ซ้ำยังชอบวางเดิมพันในการประลอง บางครั้งยังเป็นเปิดบ่อนเสียเอง” หลี่อวิ๋นหยาเอ่ยอธิบาย

จ้าวเฟิงฟังแล้วอดประหลาดใจไม่ได้

เป็นถึงเจ้าแห่งตำหนักทะเลความว่างเปล่าของกลุ่มดินแดน แต่กลับมีงานอดิเรกที่น่าเบื่อเช่นนี้

“ท่านหัวหน้าคงจะยังไม่รู้เรื่อง” หลี่อวิ๋นหยาอมยิ้มแล้วส่ายศีรษะ “เจ้าตำหนักหย่งเฟิงมีสายตาที่กว้างไกล ถนัดในการเฟ้นหาเหล่าบุคคลชั้นยอด ในสนามประลองของทะเลความว่างเปล่า เขาเคยค้นเจอยอดฝีมือมาแล้วมากมาย แล้วมีจำนวนไม่น้อยที่กลายมาเป็นมือซ้ายขวาของเขา ในปีก่อนๆ เขาเคยเจอยอดฝีมือคนหนึ่งที่หลายปีต่อมากลายมาเป็นราชันในขอบเขตปราณเทวะ เรื่องราวที่เกี่ยวกับเขาจึงเป็นที่เรื่องเล่าขานกันทั่ว”

“พูดเช่นนี้คือเจ้าทำความเข้าใจระดับพลังของข้า เพราะอยากจะให้ข้าใช้ ‘สนามประลอง’ เป็นจุดดึงดูดความสนใจของเจ้าตำหนักหย่งเฟิง เพื่อที่จะได้เข้าใกล้พวกเขาสินะ” จ้าวเฟิงเข้าใจอย่างรวดเร็ว

หลี่อวิ๋นหยาเอ่ยอมยิ้มพยักหน้า “ไม่ผิดนัก”

จากการทดสอบหยั่งเชิงพลัง เขาเชื่อมั่นในตัวจ้าวเฟิงอย่างมาก

หลี่อวิ๋นหยาเชื่อว่า ความโดดเด่นสะดุดตาของจ้าวเฟิงเพียงแค่อาศัยสนามประลองแสดงศักยภาพต่างๆ ก็จะอยู่ในสายตาของเจ้าตำหนักหย่งเฟิงได้อย่างง่ายดาย

 

ถ้าหากได้รับความสนใจจากเจ้าตำหนักหย่งเฟิง เมื่อใกล้ชิดกันมากขึ้น เมื่อนั้นจึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะปรึกษาพูดคุยกันในเรื่อง ‘ค่ายกลข้ามเขต’

“ไป” จ้าวเฟิงไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย นำหลี่อวิ๋นหยาเดินเข้าไปภายในสนามประลอง

ตำหนักวิญญาณกระจายอยู่ทั่วในทะเลความว่างเปล่า ในทุกๆ ตำหนักวิญญาณล้วนแต่มีสนามประลองเช่นนี้อยู่เหมือนกัน

ยามที่จ้าวเฟิงเดินเข้ามา ผู้ชมของลานประลองบนที่นั่งทั้งสี่ทิศส่งเสียงร้องเซ็งแซ่มาไม่น้อย

ในสนามประลองมีเวทีประลองอยู่หลายที่ ซึ่งล้วนมียอดฝีมือกำลังประมือกันอยู่

โดยปกติคนที่เข้าร่วมประลองมีพลังฝึกตนอย่างต่ำที่สุดก็คือนายเหนือแท้ระดับสุดยอดและครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด

แต่ระดับของการประลองโดยมากกลับเป็นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต้น

เพราะอย่างไรผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงในสำนักสองดาวก็หาได้ยากยิ่ง เรียกได้ว่าเป็นระดับสูง

“เย่หมัวอวี่! เย่หมัวอวี่! เย่…” บนอัฒจันทร์ผู้ชมมีเสียงร้องตะโกนฮึกเหิม

เห็นเพียงชายหนุ่มองอาจที่อึมครึมราวรัตติกาลยืนเอามือไพล่หลังอยู่กลางเวทีประลอง

บุรุษผู้องอาจนี้มีระลอกลำแสงสีมืดลึกลับเป็นชั้นๆ ราวกับดูดกลืนเอาแสงสว่างเข้าไปได้ เห็นได้ชัดว่าลึกล้ำเกินจะคาดเดา

“บ้าเกินไปแล้ว เย่หมัวอวี่ชนะการประลองติดต่อกันห้าหกสิบครั้งแล้ว”

“ในระยะร้อยปีที่ผ่านมา ระดับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำมีน้อยคนนักที่จะประลองชนะห้าหกสิบรอบติดๆ กันเช่นนี้”

“เย่หมัวอวี่ผู้นี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่ เขาทำลายสถิติในรอบสิบปีที่ผ่านมาไปแล้วนะ”

ภายในสนามประลองมีเสียงถกเถียงวิจารณ์กันไม่หยุด

“เย่หมัวอวี่ เจ้าแน่ใจนะว่าจะประลองต่อ? คู่ต่อสู้คนต่อมาของเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อยๆ” ผู้ตัดสินที่อยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงเอ่ยบอก

“ต่อได้!” เย่หมัวอวี่เค้นเสียงอย่างเย็นชา เอ่ยพึมพำว่า “เป้าหมายของข้าคือ ‘ชนะการประลองร้อยครั้งรวด’ ในระดับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำ! ”

“คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า!”

มีเสียงร้องทรงอำนาจดังกระหึ่ม ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ที่ทั่วกายราวทองคำบริสุทธิ์ปรากฏกายบนเวทีประลอง

สวบ!

ด้านล่างสนามมีเสียงร้องโหวกเหวก “ทรราชฮั่วจิน!”

“ทรราชฮั่วจินผ่านการประลองมานับร้อยครั้ง เคยขัดขวางยอดฝีมือที่ต้องการจะชนะร้อยครั้งมาแล้วไม่น้อย”

“ได้ยินมาว่า ‘ทรราชฮั่วจิน’ ผู้นี้ ‘เจ้าตำหนักหย่งเฟิง’ หาเขาเจอในช่วงแรกๆ เลย ตอนนี้มุ่งอยู่กับการแทนที่ตำแหน่งผลของสนามประลองโดยเฉพาะ”

คนในสนามมากมายมองสถานะของเขาออก เห็นได้ชัดเจนว่าทรราชฮั่วจินมีชื่อเสียงในสนามประลองอยู่มากโข

“ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลายงั้นรึ? เพิ่งจะประลองชนะไปห้าหกสิบรอบติดๆ กัน ก็ส่งคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งขนาดนี้มา!” หลี่อวิ๋นหยาเอ่ยแล้วถอนหายใจ

“รบชนะร้อยครั้งติดกัน?” จ้าวเฟิงมีวี่แววความสงสัย

“ท่านหัวหน้าเรือ นี่เป็นการประลองที่ทรงเกียรติของสนามประลองทะเลความว่างเปล่า จัดขึ้นโดยทางการ ในทุกๆ ครั้งที่ชนะติดกัน  อย่างเช่นว่าชนะติดกันยี่สิบหกครั้ง ห้าสิบครั้ง ก็จะมีรางวัลให้ ถ้าหากว่าสามารถ ‘ชนะติดกันร้อยครั้ง’ ก็จะได้รางวัลมหาศาลถึงขั้นที่ว่าอาจจะให้สิทธิพิเศษบางอย่าง …” หลี่อวิ๋นหยาอธิบาย

เมื่ออธิบายให้ฟังรอบหนึ่ง จ้าวเฟิงก็เข้าใจกฎกติกาของ ‘ชนะติดกันร้อยครั้ง’ ที่ว่าแล้ว

ด้วยการประลองแข่งขันแบบนี้ ผู้ที่ชนะครบร้อยครั้งติดกันเป็นคนสุดท้ายจะได้รางวัลมากมาย ทางการจึงต้องคิดหาวิธีมาขัดขวาง

“ในรอบร้อยปีที่ผ่านมา ที่กลุ่มดินแดนหย่งเฟิงจนถึงวันนี้ยังไม่มีใคร ‘ชนะร้อยรอบติดกัน’ สำเร็จ” หลี่อวิ๋นหยาเอ่ยเสริม

ในรอบร้อยปี?

รูม่านตาของจ้าวเฟิงหรี่เล็กลงเล็กน้อย

ในระยะเวลาร้อยปี กลุ่มดินแดนที่กว้างใหญ่เช่นนี้จะมีวีรบุรุษยอดฝีมือสักกี่คนเชียว?

จากตรงนี้จะเห็นได้เลยว่าการชนะร้อยยกติดต่อกันยากมากมายนัก

ในยามที่คนทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่ การประลองบนเวทีก็ได้เริ่มขึ้น

ทรราชฮั่วจินคือผู้สูงศักดิ์ที่เน้นการฝึกฝนร่างกาย กายเนื้อภายนอกและการป้องกันแข็งแกร่งทั้งสองส่วน ในด้านทั้งสองนี้บางทีอาจจะสูงส่งกว่าเจ้าหอโครงกระดูกเสียด้วยซ้ำ

“เพลิงทองแผดเผานภา!”

ทรราชฮั่วจินตะโกนเสียงดัง ทั้งร่างกลายเป็นดุจเทพเซียนสีทองเจิดจ้า ในยามที่ส่งหมัดออกไป เวทีสั่นสะท้านน้อยๆ

วูบ โครม!

ลำแสงของหมัดที่น่ากลัวสาดแสงสว่างสีทองเจิดจ้า ไอเพลิงน่าเกรงขามพวยพุ่งประหนึ่งภูเขาไฟระเบิด

“ฝีมืออ่อนหัด!”

ร่างกายของเย่หมัวอวี่มืดมิดลง ทันทีที่เสียง ‘พรึ่บ’ ดังขึ้น ทั่วสารทิศก็มืดสนิทราวยามค่ำคืน

ในบรรยากาศที่มืดมิด ไม่เพียงแต่จะบดบังครรลองสายตาของคู่ต่อสู้ ทว่ายังปิดกั้นประสาทสัมผัสไปด้วย

สวบ!

ร่างเงาภูติผีคล้ายดวงวิญญาณพลันพุ่งทะลวงมาโจมตีจากอีกฟากของที่มืดมิด

“ช่างเป็นท่าร่างที่แปลกประหลาดนัก ร่างกายของเย่หมัวอวี่สามารถหลอมรวมเข้ากับม่านราตรีนั้น แล้วปรากฏกายขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนกับว่าเคลื่อนย้ายมิติ” จ้าวเฟิงดวงตาสว่างเป็นประกาย

ในสนาม มีเพียงยอดผู้สูงศักดิ์ส่วนน้อยนิดเท่านั้นที่สามารถจับท่าร่างแปลกประหลาดของเย่หมัวอวี่ได้เหมือนกับจ้าวเฟิง

“ไสหัวไป!”

ทั่วร่างของทรราชฮั่วจินมีแสงสว่างเจิดจ้ากับเส้นสายเพลิงสีแดง ทั้งสองอย่างกระเพื่อมออกมาเป็นระลอกลำแสง ก่อให้เกิดพลังกดดันมหาศาลสะเทือนไปในรัศมียี่สิบจั้ง

กระบวนท่านี้ของเขาสามารถทำลายสิ่งของในอาณาเขตทั้งหมดให้แตกสลายกลายเป็นผุยผง

โครม คราม!

ร่างเงาภูติผีนั้นสลายหายไป เหลือเพียงแค่เสี้ยวเงาเท่านั้น

“รัตติกาลไร้ร่องรอย!”

กลิ่นอายไร้รูปร่างที่ลึกลับดำมืดกวาดผ่านไปยังที่ที่ทรราชฮั่วจินยืนอยู่

ตุบ โครม!

ทั่วร่างของทรราชฮั่วจินเกิดประกายลูกไฟ แล้วจึงกรีดร้องเจ็บปวดออกมา

“อ๊าก!”

ยังไม่ทันได้เห็นร่องรอยของการโจมตีใดๆ ทั่วร่างของ ‘ทรราชฮั่วจิน’ ก็เกิดบาดแผลมีเลือดไหลเสียแล้ว

บนอัฒจันทร์ ในบริเวณที่นั่งตรงกลางของแขกผู้ทรงเกียรติ

“อืม ภายในร่างของเย่หมัวอวี่ผู้นี้ มี ‘สายเลือดเงารัตติกาล’ โบราณ สายเลือดนี้สามารถสืบความกลับไปถึงในช่วงเวลาของหมื่นรายชื่อเผ่าพันธุ์โบราณได้”

ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีม่วงปักลายมังกรทองปรากฏตัวขึ้นในสนามประลองตอนไหนไม่อาจรู้ได้

เอ๋!

จ้าวเฟิงเกิดปฏิกิริยาบางอย่าง จึงอดทอดสายตามองไปที่ชายวัยกลางคนชุดคลุมสีม่วงผู้นั้นไม่ได้

“เจ้าตำหนักหย่งเฟิง!”

“ท่านเจ้าตำหนัก!”

บนที่นั่งของแขกผู้มีเกียรติ มีเสียงสรรเสริญบุคคลดังกล่าวเซ็งแซ่ไปหมด

ขนาดยอดผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงก็ยังเกรงอกเกรงใจเจ้าตำหนักหย่งเฟิง พากันทำความเคารพกันพัลวัน

“เขาก็คือเจ้าตำหนักหย่งเฟิงงั้นรึ?”

จ้าวเฟิงเก็บสายตากลับมา ไม่ได้ตั้งใจสังเกตอย่างละเอียด เพื่อเลี่ยงไม่ให้ดึงดูดความสนใจของเจ้าตำหนักหย่งเฟิง

อย่างไรเสียระดับการฝึกตนของเจ้าตำหนักหย่งเฟิงก็สูงส่งถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ราชัน

“รัตติกาลไร้ร่องรอย!”

ภายในสนามประลอง ในบรรยากาศมืดมิดสีดำสนิท การโจมตีที่ไม่มีทั้งเสียงและกลิ่นอายใดปะทะไปบนร่างของราชาฮั่วจินซ้ำแล้วซ้ำเล่า

โครม โครม!

ถึงแม้ว่าการป้องกันของร่างกายจะแข็งแกร่ง บาดแผลบนร่าง ‘ทรราชฮั่วจิน’ ก็ยังไม่หยุดเพิ่มพูนขึ้น

“เจ้าตำหนักหย่งเฟิงปรากฏตัวขึ้นแล้วหรือ?” เรือนร่างของเย่หมัวอวี่กลมกลืนไปในบรรยากาศอันมืดมิด หางตากลับเหลือบไปเห็นเจ้าตำหนักหย่งเฟิงเข้า

อารมณ์สงบราบเรียบของเขาเกิดความรู้สึกตื่นเต้นอย่างประหลาด

“รัตติกาลไร้เทียมทาน!”

ในม่านราตรีมองเห็นเพียงแต่คมมีดสีเงินราวพระจันทร์ตัดกันบน ‘จุดๆ หนึ่ง’ เหมือนเป็นกากบาทหลายๆ จุดกระจายอยู่ด้วยกัน แสงจันทร์ส่องสว่างแสบตา แล้วจึงสาดพลังที่น่าเกรงขามออกมา

โครม ฉัวะ!

บริเวณทรวงอกของทรราชฮั่วจินเกิดรอยเลือดทิ้งไว้เป็นรูปร่าง ‘กากบาท’ ก่อนซึมลึกเข้าไปภายใน

“อ๊าก…”

ทรราชฮั่วจินร้องโหยหวน เลือดบริเวณอกไหลทะลักออกมาราวสายน้ำ ร่างกายทรุดลงคุกเข่า ก่อนล้มลงไปภายในกองเลือด

เฮือก!

ทั้งสนามมีเสียงสูดหายใจเย็นเฉียบ

“เป็นเคล็ดวิชาสายเลือดที่พิเศษนัก เอาพลังการโจมตีทับซ้อนกันเป็นสองสามเท่า” จ้าวเฟิงใจชาวาบ

เย่หมัวอวี่ผู้นั้นการฝึกตนยังอยู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย แต่สายเลือดพิเศษที่ลี้ลับและเคล็ดวิชาที่สูงส่งขนาดนี้กลับทำให้คนตื่นตระหนกอย่างยิ่ง

“เย่หมัวอวี่ชนะ เป็นการชนะครั้งที่ห้าสิบเจ็ดติดต่อกัน” ผู้ตัดสินประกาศผล

หลังจากที่ผลแพ้ชนะออกมาแล้ว คนทั้งสนามก็ร้องเฮกันเสียงดัง

การชนะติดต่อกันหนึ่งร้อยครั้ง ในทุกการประลองล้วนแต่มีคนวางพนันไว้

“ข้าพนันข้างเย่หมัวอวี่ ว่าจะชนะการประลองติดกันหกสิบครั้ง”

“เหอะ! ข้าพนันว่าเจ็ดสิบ”

ผู้ชมมากมายมีส่วนร่วมในการวางเดิมพัน เพราะว่าคู่ต่อสู้รอบต่อๆ มาจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ วางเดิมพันว่าจะชนะติดต่อกันเยอะเท่าไหร่ รางวัลที่ได้ก็จะเยอะตามไปด้วย และแน่นอนว่าไม่มีผู้ได้วางเดิมพันไว้ที่ ‘ร้อยครั้งรวด’ ถึงแม้ว่าโอกาสที่เย่หมัวอวี่จะชนะ ‘ร้อยครั้งติด’ จะมีเป็นพันเท่า

เวลาครึ่งชั่วยามผ่านไป

หลังจากที่ ทรราชฮั่วจินพ่ายแพ้ไปแล้ว เย่หมัวอวี่ก็มีชัยเหนือยอดฝีมืออีกสามสี่คนติดกัน

“วันพรุ่งค่อยประลองอีก” บนใบหน้าของเย่หมัวอวี่มีร่องรอยความเหนื่อยล้า หยุดการประลองลงเรียบร้อย

ในวันนี้ เขาประลองไปแล้วสิบกว่าครั้ง โดยเฉพาะคู่ต่อสู้หลายคนลำดับหลังๆ ที่ล้วนแต่มีพลังรบอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย

“ตามกฏกติกาของการชนะร้อยครั้งรวด ทุกวันจะต้องชนะสิบครั้งติดต่อกัน จึงจะสามารถพักได้ นอกเหนือจากว่าจะไม่มีใครประลองด้วย” หลี่อวิ๋นหยาเอ่ยปากอธิบาย

วูบ!

และในเวลานี้เอง สมาชิกสนามประลองที่เป็นคนของทางการก็ปรากฏที่เบื้องหน้าของหลี่อวิ๋นหยาและจ้าวเฟิง

ผู้มาเยือนเป็นผู้เฒ่าชุดคลุมสีแดงสด เป็นยอดผู้สูงศักดิ์คนหนึ่ง

“ผู้เยาว์ท่านนี้ เจ้าจะยินยอมเข้าร่วมขัดขวางการชนะร้องครั้งติดกันของ

‘เย่หมัวอวี่’ ในวันพรุ่งนี้หรือไม่” ผู้เฒ่าชุดคลุมสีแดงสดยิ้มตาหยีพลางจ้องมองไปยังหลี่อวิ๋นหยา

เช่นนี้ก็ได้รึ?

จ้าวเฟิงมีสีหน้ากระอักกระอ่วนพิกล

ผู้เฒ่าชุดคลุมสีแดงทำเหมือนไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร เอ่ยเรียบๆ ว่า “มีอะไรได้ไม่ได้งั้นรึ? รางวัลและเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ของการเอาชนะร้อยครั้งติดต่อกัน จะปล่อยให้โดนแย่งไปง่ายๆ ได้อย่างไร การไหว้วานผู้ที่มาจากต่างแดนเป็นเรื่องที่ธรรมดาอย่างที่สุด”

เมื่อเอ่ยจบ เขาจึงตรวจตราหลี่อวิ๋นหยาอย่างสนอกสนใจ

 

กลิ่นอายของหลี่อวิ๋นหยาไม่ธรรมดา ฝึกตนอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงสุดยอด เห็นได้ชัดว่าบุคคลทางการของสนามประลองผู้นี้ถูกใจในพลังของหลี่อวิ๋นหยา และอยากจะเชิญให้เขาลอบโจมตีเย่หมัวอวี่!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!