บทที่ 619 ผ่านร้อยช่วงลมหายใจ
จากการสาธยายของผู้เฒ่าหลี่เคราขาว จ้าวเฟิงจึงพอจะเข้าใจสถานการณ์ของสำนักบรรพตทองอยู่คร่าวๆ
ยอดฝีมือคนสำคัญของสำนักบรรพตทองส่วนมากพำนักอยู่ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ ทั้งยังมีอิทธิพลภายนอกที่ซับซ้อนวุ่นวายจำนวนมาก ปะปนอยู่กับสำนักสองดาวหลายแห่งภายในกลุ่มดินแดนเจินอู่
“จ้าวเฟิง อีกสองเดือนสำนักของเราจะส่งอัจฉริยะและยอดฝีมือเข้าไปภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ เจ้ามี ‘ตราคำสั่งผู้มาเยือน’ พอถึงเวลานั้นก็จงตามพวกเราเข้าไปภายในนั้นพร้อมกัน” ผู้เฒ่าหลี่เคราขาวเอ่ยแนะนำ
“ลำบากผู้อาวุโสแล้ว” จ้าวเฟิงผงกศีรษะติดๆ กัน หลี่อวิ๋นหยาและโหลวนหลานจื๋อสุ่ยที่อยู่ข้างกายมีท่าทีนับถืออยู่ไม่น้อย
ในวันนั้นเอง
ผู้เฒ่าหลี่เคราขาวจัดแจงให้พวกของจ้าวเฟิงพำนักอยู่ภายในจุดพักรับรองของสำนัก ความเป็นอยู่ของจ้าวเฟิงก็ไม่เลวนัก ได้พำนักอยู่ภายในพื้นที่รับรองขนาดใหญ่เป็นการส่วนตัว
จะต้องรู้ไว้ว่า ที่นี่คือกลุ่มดินแดนเจินอู่ซึ่งเป็นแหล่งรวมสำนักสองดาวที่แข็งแกร่งจำนวนมาก พื้นที่ภายในตำหนักวิญญาณแห่งนี้จึงมีมูลค่ามาก ถึงจะเป็นสำนักบรรพตทอง จุดรับรองที่ตั้งอยู่ตรงนี้ก็มีพื้นที่จำกัด
“ผู้อาวุโสหลี่ เด็กผู้นั้นมีประวัติความเป็นมาอย่างไรกัน เหตุใดจึงเอา ‘ตราคำสั่งผู้มาเยือน’ ของสำนักเราไปได้? ที่ผ่านมาล้วนแต่เป็นกำลังเสริมจากภายนอกที่อยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงปลายขึ้นไป รวมไปถึงปรมาจารย์ที่ได้รับคำเชิญจากสำนัก จึงจะมีคุณสมบัติเข้าไปภายในนั้นได้” บุรุษจมูกงุ้มในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงผู้หนึ่งเอ่ยอย่างไม่พอใจ
ในสำนักบรรพตทอง
ยอดผู้สูงศักดิ์ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงก็เป็นเพียงแค่ผู้อาวุโสที่อยู่ในวงนอกเท่านั้น
ผู้อาวุโสที่มีอำนาจจริงๆ โดยมากจะมีความคล้ายคลึงกับผู้เฒ่าหลี่เคราขาวที่อยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวสู่ราชัน
“พรสวรรค์ของเด็กคนนี้ หากว่าไปอยู่ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็นับว่าไม่เลวนัก พวกเราน่าจะสามารถรับเขาเป็นศิษย์ได้…” ผู้อาวุโสอีกคนเอ่ย
ผู้เฒ่าหลี่เคราขาวสั่นศีรษะ “เพียงแค่ตราคำสั่งผู้มาเยือนมีเวลากำหนดเพียงสิบวันเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นเด็กคนนี้มีชาติมีตระกูลอยู่บ้าง ถ้าหากประพฤติตนเหมาะสม น่าจะมีประโยชน์อย่างมหาศาลต่อสำนักบรรพตทอง” ผู้เฒ่าหลี่เคราขาวไม่อยากจะเอ่ยถึงประวัติความเป็นมาของจ้าวเฟิงมากนัก
ไยเขาจะมองพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ของจ้าวเฟิงไม่ออก?
แต่ในดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ อัจฉริยะที่เป็นยอดฝีมือไร้เทียมทานทั้งหลาย ส่วนมากล้วนอยู่ภายในสำนักสามดาวกันทั้งนั้น
ภายในเรือนพักรับรอง อาณาเขตส่วนตัว
จ้าวเฟิงอยู่เพียงลำพังคนเดียวในห้อง นั่งขัดสมาธิฝึกตน
หลายวันที่ผ่านมา เขาคอยขัดเกลาและเพิ่มเติม ‘ใจกลางแก่นก่อกำเนิด’ภายในร่างกาย
ด้วยสภาวะวิญญาณและขอบเขตดวงวิญญาณของเขา เมื่อฝึกตนแล้วย่อมมีการพัฒนาที่รวดเร็วว่องไวราวติดปีก
เพียงแค่เพิ่ม ‘ขนาด’ ของใจกลางแก่นก่อกำเนิดให้มากขึ้น จ้าวเฟิงที่ฝึกตนอยู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำก็แทบจะไม่เจออุปสรรคใด
โอสถวิญญาณล้ำค่าของธาตุวายุอัสนีก็ถูกใช้ไปอย่างสิ้นเปลืองด้วยน้ำมือของจ้าวเฟิง
ดีที่เขามีของจำนวนมาก ในยามที่อยู่ภายในตำหนักวิญญาณแห่งหย่งเฟิงก็ซื้อไปอีกไม่น้อย
เมื่อยืมพลังจากของภายนอก ‘ใจกลางแก่นก่อกำเนิด’ ของจ้าวเฟิงค่อยๆ เพิ่มขนาดขึ้นทีละน้อย และแน่นอนว่าเขาเองก็ไม่ยอมแพ้เรื่องสำรวจ ‘ห้วงฝันบรรพกาล’ เช่นกัน
เขาจะเข้าไปภายในมิติห้วงฝันในระยะวันเว้นวัน เพื่อดูดซึมเอากลิ่นอายของที่นั่นเข้าไปภายในร่าง ซึ่งโดยส่วนมากจะใช้ไปกับพลังวิญญาณและพลังดวงตา
ในตอนนี้ จ้าวเฟิงสามารถอยู่ภายในห้วงฝันบรรพกาลได้ถึงเก้าสิบช่วงลมหายใจขึ้นไปแล้ว
ทุกครั้งที่เขาเข้าไปภายในนั้นล้วนดูดซึมเอากลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลได้เป็นจำนวนมาก เยอะกว่าที่ผ่านมากว่าสิบเท่า
ดังนั้นพลังวิญญาณและพลังดวงตาของจ้าวเฟิงจึงแข็งแกร่งมั่นคง เรียกได้ว่ามีการพัฒนาที่รวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น
เวลาหนึ่งเดือนผ่านพ้นไป
พลังวิญญาณของจ้าวเฟิงมาถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงปลาย อีกทั้งยังเป็นรูปเป็นร่างกว่าเดิม
ในมิติดวงตาซ้าย ทะเลสาบพลังดวงตาขยายใหญ่ไปถึงหกสิบกว่าจั้ง
“เมื่อทะเลสาบพลังดวงตาขยายใหญ่เกินร้อยจั้ง จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงของดวงตาเทพเจ้าอีกครั้งหนึ่งแน่” จ้าวเฟิงเกิดแรงกระตุ้นบางอย่างภายใน
เมื่อถึงเวลาดังกล่าว ผลที่กลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลมีต่อความแข็งแกร่งคงรูปของดวงวิญญาณก็จะลดลงมาก
จ้าวเฟิงคาดการณ์ไว้ว่า ยิ่งเข้าใกล้ขอบเขตปราณเทวะ ประโยชน์ของกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลก็ย่อมน้อยลงเรื่อยๆ จนแทบไม่มีผลอะไรเลย
แล้วในวันนี้ จ้าวเฟิงก็เข้าไปภายในห้วงฝันบรรพกาลอีกครั้ง
ด้วยแก่นชีวิตและความแข็งแกร่งของระดับขั้นดวงวิญาณ ระยะเวลาที่จ้าวเฟิงอยู่ภายในห้วงฝันบรรพกาลจึงเริ่มยาวนานขึ้น
“เจ็ดสิบช่วงลมหายใจ…แปดสิบช่วงลมหายใจ…เก้าสิบช่วงลมหายใจ…”
จ้าวเฟิงทนอยู่ภายในนั้นสบายๆ จนถึงเก้าสิบช่วงลมหายใจ
เก้าสิบห้าช่วงลมหายใจ…เก้าสิบหกช่วงลมหายใจ…เก้าสิบเจ็ดช่วงลมหายใจ!
ในที่สุด
เมื่อมาถึงเก้าสิบเจ็ดช่วงลมหายใจ แรงกดดันที่จ้าวเฟิงแบกรับก็บีบบังคับให้เขาต้องออกจากห้วงฝันบรรพกาล
หากจะเปรียบให้เห็นภาพก็คงเหมือนกับการกลั้นหายใจในน้ำ ยิ่งนานแรงกดในช่วงอกก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
“เก้าสิบเจ็ดช่วงลมหายใจ เข้าใกล้เป้าหมายหนึ่งร้อยช่วงลมหายใจเข้าไปทุกที”
การล่าถอยในครั้งนี้ จ้าวเฟิงไม่ได้มีอาการบาดเจ็บหรือร่องรอยบาดแผลแต่อย่างใด
ในคราวก่อน แนวทางหลักของเขายังเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งมั่นคงให้กับพลังฝึกตน
การฝึกฝนที่ยากลำบากในหลายวันมานี้ และการใช้ทรัพยากรมีค่าไปเป็นจำนวนมาก ทำให้ลักษณะ ‘ใจกลางแก่นก่อกำเนิด’ ของจ้าวเฟิงค่อยๆ เข้าใกล้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงกลางไปทุกที
จะต้องรู้ว่า
ในยามที่จ้าวเฟิงเพิ่งจะทะลวงถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ลักษณะของใจกลางดังกล่าวยังเทียบกับคนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำทั่วไปไม่ได้เลย
แต่หากพูดเรื่องความแข็งแกร่งของปราณที่แท้จริง เขาเข้าใกล้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลายไปแล้ว
ในวันที่สี่สิบของการมาถึงกลุ่มดินแดนเจินอู่
จ้าวเฟิงกำลังจะเข้าไปภายในห้วงฝันบรรพกาลเพื่อทำลายขีดจำกัดของหนึ่งร้อยช่วงลมหายใจ
“สหายจ้าว” เสียงของผู้เฒ่าหลี่เคราขาวดังขึ้น
ภายนอกเขตรับรองส่วนตัว ผู้เฒ่าหลี่เคราขาวมาหาจ้าวเฟิงเป็นครั้งแรก
“ผู้เฒ่าหลี่” จ้าวเฟิงล่องลอยออกมาต้อนรับผู้เฒ่าหลี่เคราขาว
เมื่อเข้ามาพำนักในที่แห่งนี้ เขายังไม่ได้ฝึกตนอย่างจริงจัง เพราะว่าอีกไม่นานก็ต้องเข้าไปภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่แล้ว
“เรื่องเป็นเช่นนี้ ยังมีเวลาอีกยี่สิบวันที่สำนักบรรพตทองของข้าจะส่งกำลังคนเข้าไปภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ในกลุ่มนั้นมีอัจฉริยะของสำนักเกือบสิบคนที่เตรียมจะส่งเข้าไปศึกษาอบรมภายในนั้น” ผู้เฒ่าหลี่เอ่ยปนยิ้ม
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็ชูมือขึ้นน้อยๆ แล้วเบื้องหลังก็ปรากฏร่างของอัจฉริยะจากสำนักบรรพตทองยืนอยู่เก้าคน
อัจฉริยะเหล่านี้สามารถเข้าไปภายใน จึงเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่ได้รับอนุญาตให้เข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พรสวรรค์ที่ซ่อนเร้นอยู่ย่อมไม่ต้องพูดถึง
“ฝึกตนต่ำสุดอยู่ในขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด โดยมากแล้วอยู่ในครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด แล้วยังมีขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำอีกสองคน”
จ้าวเฟิงกวาดสายตาผ่าน พรสวรรค์ของพวกอัจฉริยะเหล่านี้ล้วนอยู่เหนือผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ทั่วไปของทวีปบุปผาคราม
ครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดหลายคนในนี้ อายุยังไม่เกินสามสิบกว่าเสียด้วยซ้ำ
ส่วนอัจฉริยะในขอบแขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำสองคนในนั้นอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี
ตามสถานการณ์ทั่วไปของอาณาเขตต่างแดน หากอายุไม่เกินห้าสิบปีจะนับได้ว่าเป็นชนรุ่นหลัง
เพราะในระดับขั้นนายเหนือแท้สามารถมีอายุได้ถึงสามร้อยปี ส่วนขอบเขตแก่นก่อกำเนิดจะมีอายุหลายร้อยปี
“สหายจ้าว คนพวกนี้ล้วนแต่เป็นคนรุ่นหลังของสำนักข้า ก่อนเข้าไปภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เจ้าชี้แนะพวกเขาสักเล็กน้อยได้” ผู้เฒ่าหลี่เอ่ยยิ้มๆ
“พวกเจ้าคนรุ่นหลังทั้งหลาย มีเวลาว่างก็พูดคุยแลกเปลี่ยนกับสหายจ้าวเสียหน่อย” ในเวลาเดียวกัน เขาลอบส่งสายตาอย่างเป็นนัยให้กับอัจฉริยะสำนักบรรพตทองทางด้านหลัง
“ขอรับ ผู้อาวุโส!” อัจฉริยะของสำนักทั้งเก้าคนเอ่ยพร้อมกัน
พวกเขาไม่กล้าขัดคำสั่งของผู้อาวุโสผู้กุมอำนาจ อีกทั้งระยะเวลาในการฝึกตนของจ้าวเฟิงก็มากพอจะทำให้คนส่วนมากในกลุ่มพวกเขาเลื่อมใสชื่นชม
เจตนาของผู้เฒ่าหลี่เคราขาว จ้าวเฟิงเดาได้ไม่ยาก เขาหวังว่าว่าจะมีลูกศิษย์สักหนึ่งหรือสองคนประมือกับจ้าวเฟิงได้
“ศิษย์น้องจ้าว เจ้าเป็นคนระดับสูงของสำนักใดกัน?”
“อายุน้อยนิดเช่นนี้ก็ทะลวงผ่านมาถึงระดับผู้สูงศักดิ์ มีเพียงศิษย์พี่อินซึ่งเข้าไปอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่พอจะเทียบกันได้”
อัจฉริยะเก้าคนประหลาดใจในประวัติความเป็นมาของจ้าวเฟิง
หนึ่งหญิงหนึ่งชายในกลุ่มนั้นก็เป็นผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด
ชายหนุ่มรูปร่างกำยำ สตรีในชุดขาวรูปร่างอรชร คนทั้งสองนี้แววตาเป็นประกายขณะมองประเมินจ้าวเฟิง ถึงแม้จะตกใจในอายุของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้ยอมรับอย่างจริงจัง
ทุกคนอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดเหมือนกัน น่าจะอยู่ในระดับที่เท่าเทียมกัน
จ้าวเฟิงจึงเกิดสนอกสนใจ อยากจะพูดคุยกับอัจฉริยะที่ได้รับอนุญาตให้เข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของสำนักบรรพตทอง
อัจฉริยะที่ได้รับอนุญาตเหล่านี้มาจากสำนักบรรพตทองที่เป็นสำนักสองดาวระดับสุดยอด วิธีฝึกตนและมรดกของทุกคนล้วนแต่โดดเด่นเหนือกว่าสำนักสองดาวทั่วไป
ระดับขั้นวิญญาณกับความเข้าใจในขอบเขตพลังของจ้าวเฟิงได้รับประโยชน์ไม่น้อยจากการเสวนาครั้งนี้
จากนั้น จ้าวเฟิงได้ประลองพลังอย่างเป็นมิตรสักเล็กน้อยกับอัจฉริยะทั้งเก้า
จุดเข้าที่พักรับรองของสำนักบรรพตทองมีสนามฝึกพิเศษที่จำกัดให้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดแสดงพลังโดยเฉพาะ
การประลองแลกเปลี่ยนวิชาระหว่างบรรดาอัจฉริยะ ขนาดเหล่าผู้อาวุโสของสำนักยังคอยจับตาดู
อันดับแรก อัจฉริยะในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดเอ่ยขอประลองฝีมือกับจ้าวเฟิง
“พวกเจ้าทั้งหลายลองทดสอบพลังของเขาก่อน” ชายหนุ่มร่างผอมผู้เป็นอัจฉริยะในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดลอบเอ่ยอย่างลับๆ
แน่นอนว่าครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดไม่อาจระคายจ้าวเฟิงได้ เพียงแค่โบกเบาๆ ก็สั่นสะท้านแล้ว
คนในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดหลายคนต่อมา ขนาดชายเสื้อของจ้าวเฟิงยังไม่อาจสัมผัสได้
“รวดเร็วนัก!” ชายหนุ่มร่างผอมและสตรีชุดขาวมองสบตากัน สีหน้าแข็งกระด้างขึ้น
ในหมู่อัจฉริยะ มีเพียงสองคนที่พอจะมองวิถีการเคลื่อนกายของจ้าวเฟิงออก
หลังจากเอาชนะคนในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดหลายคนได้แล้ว จ้าวเฟิงก็รู้สึกเหนื่อยหน่าย ท้ายที่สุดเขาจึงเอ่ยเสนอประลองพลังกับชายหนุ่มร่างผอมและสตรีชุดขาว ซึ่งเป็นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดทั้งคู่
ทันทีที่เอ่ยจบ อัจฉริยะของสำนักบรรพตทองหลายคนในเหตุการณ์เกิดความขุ่นเคือง
แต่ทว่าอัจฉริยะทั้งสองยังโล่งอกด้วยในเวลาเดียวกัน เพราะความเร็วและพลังที่จ้าวเฟิงแสดงออกมาเมื่อครู่ หากโจมตีกันตัวต่อตัวคงมองไม่เห็นทางที่จะเอาชนะได้เลย
ผลสุดท้าย สิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายคือ
ตุ้บ! ตุ้บ!
อัจฉริยะในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดทั้งสองพ่ายแพ้พร้อมๆ กันต่อหน้าจ้าวเฟิง
แซ่ด สวบ!
มองเห็นเพียงเศษเสี้ยววายุอัสนีสีม่วงเส้นสายหนึ่งกวาดผ่านร่างของทั้งสองคนไป
“วายุอัสนีสีม่วงงั้นรึ? หรือว่าจะเป็นมรดกของจักรพรรดิวายุอัสนีเมื่อหมื่นปีก่อน?”
เหล่าผู้อาวุโสสำนักบรรพตทองแอบตกใจ
พลังของจ้าวเฟิงแทบจะเป็นการสังหารคนในระดับขั้นเดียวกันอย่างรวดเร็วว่องไว เกรงว่าผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดลงไป มีน้อยคนนักที่จะรับมือได้
“ผู้ที่เกี่ยวข้องกับ ‘ตวนมู่ชิง’ ได้ย่อมต้องไม่ธรรมดา” ผู้เฒ่าหลี่เคราขาวลอบถอนหายใจ อดรู้สึกเสียดายไม่ได้
พลังของอัจฉริยะที่ได้รับอนุญาตให้เข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์กับจ้าวเฟิงห่างไกลกันมากจนเกินไป
นี่จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่กำหนดแน่นอนแล้วว่าเจตนาของเขาไม่มีทางจะสำเร็จได้
ระดับขั้นของคนสองฝ่ายแตกต่างกัน จึงยากที่จะมาลงเอยด้วยกันได้
ในขณะที่อัจฉริยะของสำนักบรรพตทองรู้สึกอับอาย เวลาเดียวกันก็นับถือจ้าวเฟิงด้วย
“ต่อให้เป็นศิษย์พี่อินที่เข้าไปภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรืออัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
ในแววตาของสตรีชุดขาวที่จับจ้องยังจ้าวเฟิงมีแววตาศรัทธา
หลายวันหลังจากนั้น
ด้วยเพราะระดับขั้นของคนสองฝ่ายต่างกันมากจนเกินไป จ้าวเฟิงและอัจฉริยะของสำนักบรรพตทองจึงไม่ได้คบค้าสมาคมกันอย่างจริงจัง
สตรีชุดขาวผู้นั้นก็เคยลองนัดจ้าวเฟิงอยู่ครั้งสองครั้ง แต่ไม่เคยสำเร็จเลย
จ้าวเฟิงตั้งใจฝึกตน บางครั้งก็เกิดภาพเงียบสงบขึ้นในหัว คล้ายเป็นสตรีงดงามราวเซียนในภาพวาด ใบหน้างดงามที่ทำให้ปักษีตกนภามีแววเศร้าโศก
หลิวฉินซินในวันก่อนก็สวมอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ เรือนร่างแบบบางยิ่งลึกซึ้งและชัดเจนขึ้นตามวันเวลาที่หมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน
เฮือก!
จ้าวเฟิงถอนหายใจยาว ในแววตามีความโหดเหี้ยมอำมหิตที่เห็นได้ยากปรากฏขึ้น
ในหนึ่งห้วงความคิดเท่านั้น จ้าวเฟิงก็ดำดิ่งลงในห้วงฝันบรรพกาลอีกครั้ง
สิบช่วงลมหายใจ…สามสิบช่วงลมหายใจ…หกสิบช่วงลมหายใจ…เก้าสิบช่วงลมหายใจ!
หลังจากเก้าสิบช่วงลมหายใจ
แรงที่กดดันจ้าวเฟิงค่อยๆ เพิ่มขึ้น
เก้าสิบห้าช่วงลมหายใจ…เก้าสิบเก้าช่วงลมหายใจ…เก้าสิบเก้าช่วงลมหายใจ
“หนึ่งร้อยช่วงลมหายใจ!”
จ้าวเฟิงหยั่งรากลึกลงบนแผ่นดินบรรพกาลแห่งนี้ประหนึ่งรูปหินสลักที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ