บทที่ 625 ยอดภูผาจิตวิญญาณแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์
“ปรากฏขึ้นอีกครั้งแล้ว ในครั้งนี้…”
กลิ่นอายอันตรายจากพลังมรณะในดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
การตอบสนองของตรามรณะที่มาจากที่ไกลๆ ไม่ได้มีเพียงแค่กลุ่มก้อนเดียวหรือสองกลุ่มก้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนึ่งในนั้นที่ทำเอาใจของจ้าวเฟิงเต้นระรัว ในดวงวิญญาณเกิดความรู้สึกถูกแช่แข็งจนแทบจะหยุดหายใจ
ขนาดราชาชุดฟ้าของสำนักบรรพตทองยังสัมผัสได้ สีหน้ากระตุก
ใจของจ้าวเฟิงเย็นเฉียบ สามารถคาดเดาได้เลยว่า ผู้ที่ตามมาสังหารในครั้งนี้จะต้องไม่ใช่องครักษ์แห่งความตายธรรมดาแน่นอน
วูบ!
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงฟื้นฟูกลับมาสู่สภาวะปกติ แล้วจึงสอดส่องไปยังระยะทางไกลๆ อดจะสูดหายใจเย็นเฉียบเข้าปอดไม่ได้
ฟ้าดินที่ไกลออกไปถูกกลิ่นอายมรณะที่มืดมิดทะลวงผ่าน อาณาเขตนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ไอสวรรค์ในฟ้าและดินราวกับแข็งตัวไปอย่างไรอย่างนั้น
ในครรลองสายตา
องครักษ์แห่งความตายสี่คนล้อมรอบร่างเงาสูงใหญ่ของราชาซึ่งมีลำแสงสีดำหมุนวน ดูคลับคล้ายคลับคลากับเทพมารแห่งขุมนรก
พลังมรณะที่อยู่เหนือสรรพชีวิตทั้งหลายทะลวงผ่านความว่างเปล่า ข้ามดินแดนทะเลหลายหมื่นลี้ ก่อนย่างกรายมาถึงที่นี่
“เป้าหมายสังหาร…ที่แท้เจ้าก็ไปถึงที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้จริงๆ”
เสียงเย็นยะเยือกชวนขนหัวลุกที่ประหนึ่งดังมาจากขุมนรกทั้งเก้ากระเทือนขึ้นในชั้นดวงวิญญาณ
ในวินาทีนั้น อัจฉริยะของสำนักบรรพตทองบนเรือมังกรทองต่างพากันสั่นสะท้าน สติและความคิดเหมือนโดนความมืดมิดที่ไร้ขอบเขตกลืนกินเข้าไป ชีวิตก็เหมือนหดเล็กลง
พลังมรณะนั้นเจาะจงเข้าหาจ้าวเฟิงโดยเฉพาะ
“ราชาจิตวิญญาณมรณะ!”
ร่างกายจิตใจของจ้าวเฟิงแข็งเกร็ง ร่างกายชาไปหมด กลิ่นอายมรณะปรากฏขึ้นครอบคลุมทั่วร่างกาย
บริวารของจักรพรรดิแห่งความตาย มีสี่ราชาจิตวิญาณมรณะและสามสิบหกองครักษ์แห่งความตาย
ในกลุ่มนั้น ขั้นฝึกตนของสี่ราชาจิตวิญาณมรณะสูงส่งถึงขั้นราชันในขอบเขตปราณเทวะ
ดีที่พื้นฐานสายเลือดของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งเกินจะเปรียบ แล้วในระดับชั้นดวงวิญญาณยังมีดวงตาเทพเจ้าคอยคุ้มกันให้อีก ดังนั้นเมื่อโดนกดดันโดยพลังของ ‘ราชาจิตวิญาณมรณะ’ จึงสบายกว่ายอดผู้สูงศักดิ์คนอื่นอยู่ส่วนหนึ่ง
“เหอะ!” สีหน้าของราชาชุดฟ้าเคร่งขรึม ดูไม่ค่อยยินดีเท่าไหร่นัก พลังขอบเขตปราณเทวะขนาดมหาศาลราวกับมหาสมุทรทะลวงผ่านไป แล้วพุ่งปะทะพลังมรณะดังกล่าว
เวลาสั้นๆ
พลังที่ยิ่งใหญ่ของขอบเขตปราณเทวะทั้งสองพัวพันกันอยู่กลางอากาศ
ทันใดนั้นเอง ท้องฟ้าเวิ้งว้างกว้างใหญ่ก็เต็มไปด้วยสองกลิ่นอายที่แตกต่างกัน คือลำแสงสว่างสีฟ้าสว่างเจิดจ้าและความมืดมิดวังเวง
สถานการณ์เช่นนี้เหมือนท้องฟ้าถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน กลายเป็นพื้นที่สองแห่งที่แตกต่างกันอย่างมาก
ฝั่งของเรือมังกรทองได้รับการปกป้องจากบริเวณลำแสงสีฟ้าสว่างที่ต้านพลังปราณเทวะจากราชาจิตวิญาณมรณะไว้
“นี่…ก็คือพลังมหาศาลของราชางั้นหรือ?”
บนเรือมังกรทอง ยอดฝีมือทั้งหลายใจสั่นสะท้าน
พลังที่ยิ่งใหญ่ของราชาทั้งสองล้วนแต่ยึดครองท้องฟ้ากันคนละฟากฝั่ง พื้นที่ไพศาลโดนพลังที่ยิ่งใหญ่ครอบคลุมจนหมดสิ้น
ไม่ว่าพลังใดในบริเวณดังกล่าวปะทะเข้ามา ก็รุนแรงจนสังหารยอดผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้
“ขอบเขตพลังประเภทนี้…” ใจของจ้าวเฟิงเต้นถี่เร็ว ประสาทสัมผัสโดนกดเอาไว้ มีเพียงดวงตาเทพเจ้าที่พอจะฝืนมองดูพลังที่ยิ่งใหญ่ของราชาทั้งสอง
กลิ่นอายดวงวิญญาณของราชาทั้งสองหลอมรวมเข้ากับท้องฟ้าว่างเปล่าภายใต้อำนาจของพลังขอบเขตปราณเทวะ ทุกอริยาบถผสานรวมกับฟ้าและดิน พลังไร้ซึ่งขอบเขตทะลวงผ่านทั้งกายเนื้อภายนอกและดวงวิญญาณภายใน
ขอบเขตพลังประเภทนั้นเกินกว่าขีดจำกัดของร่างกายไปแล้ว ดวงวิญญาณเปลี่ยนไปจากเดิมมากมาย สามารถท่องไปในอากาศ เข้าสู่เอกภพไร้ที่สิ้นสุด
หลุดพ้นจากภายในสิ่งมีชีวิตเล็กกระจ้อยร่อย และข้ามผ่านไปถึงพิภพจักรวาลที่กว้างใหญ่กว่านั้น
“นั่นคือขอบเขตพลังในอุดมคติ ‘มนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน’ มนุษย์หลอมรวมกับฟ้าและดิน หลุดพ้นออกจากร่างกายของแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง และไปเกินกว่าขีดจำกัดของกายเนื้อ…”
ในลูกประคำหมื่นวิญญาณ ใจของเจ้าหอโครงกระดูกสั่นสะท้าน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความหวาดกลัวหรือตื่นเต้น
สำหรับขอบเขตพลังของราชันปราณเทวะ เขาเพียงแต่เคยได้ยิน ‘จ้าวลัทธิมารจันทราชาด’ เอ่ยถึงเท่านั้น
ต่อให้เป็นจ้าวลัทธิมารจันทราชาดในยามที่รุ่งโรจน์ ที่สุดก็เป็นเพียงแค่ครึ่งก้าวสู่ราชัน ได้สัมผัสพลังของขอบเขตราชันเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว! นี่ไม่ใช่พลังที่ ‘มนุษย์’ จะมีได้…ต่อให้เป็นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดจำนวนนับร้อยนับพัน เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังที่ยิ่งใหญ่ของราชาก็ไม่ต่างอะไรกับมดปลวก” จ้าวเฟิงเกิดรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่าขึ้นมา
โครม~
ในทันใดนั้นเอง เสียงกึกก้องที่สั่นสะเทือนเลือนลั่นทั่วฟ้าดินดังมาจากท้องฟ้าเหนือศีรษะ พลังส่วนมากมาจากระดับชั้นวิญญาณ แต่กลับโจมตีเข้าใส่ชั้นกายเนื้อได้
“ไม่เสียทีที่เป็นราชาจิตวิญญาณมรณะ!”
ร่างของราชาชุดฟ้าสั่นไหวน้อยๆ เขาอยู่ท่ามกลางกลุ่มลูกไฟเจิดจ้า ทำให้คนเห็นสีหน้าของเขาไม่ชัดเจนนัก
แต่ผู้มีดวงตาเทพเจ้าอย่างจ้าวเฟิงกลับมามองออก ราชาชุดคลุมสีฟ้าของสำนักบรรพตทองเสียเปรียบกว่าบางส่วน
“ข้าเป็นข้ารับใช้ของจักรพรรดิแห่งความตาย หนึ่งในสี่ราชาจิตวิญญาณมรณะนาม ‘ราชาอเวจี’ ได้รับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิให้จัดการผู้เยาว์คนนี้”
ไกลออกไป ราชาผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งมีไอสีดำปกคลุมบนร่างกายไม่ได้ขยับเข้ามาใกล้
พลังของราชันทั้งสองปะทะกันอย่างลับๆ บนฟ้า ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงสามารถมองเห็นเหงื่อเย็นๆ ที่ผุดขึ้นกลางหน้าผากของชายในชุดฟ้า รวมไปถึงความตื่นตระหนกบนใบหน้าของเขาด้วย
แต่ราชาผู้ที่ขนานนามตนว่า ‘ราชาอเวจี’ กลับดูสบายๆ ไม่เป็นอะไรเท่าไหร่นัก
หลังจากราชันทั้งสองหยั่งเชิงกันไปมาแล้ว จึงพูดคุยกันผ่านระดับชั้นที่มองไม่เห็น
“การปะทะเมื่อครู่ข้าใช้พลังเพียงหกส่วนเท่านั้น ถ้าหากท่านมอบเป้าหมายสังหารมาให้ข้า ก็จะได้รับน้ำใจในการช่วยเหลือทุกอย่างจาก ‘จักรพรรดิแห่งความตาย’ …” ราชาอเวจีเอ่ยเสียงเรียบ
“เหอะ! บริวารคนหนึ่งของจักรพรรดิมรณะอยากให้สำนักบรรพตทองของข้ายอมพ่ายแพ้ แล้วในวันหน้าสำนักของข้าจะมีหน้ายืนอยู่ในแผนดินศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ได้อย่างไร?” ราชาชุดฟ้าหัวเราะเสียงดัง
ราชาทั้งสองติดต่อสื่อสารกันในชั้นที่จับต้องไม่ได้ คนนอกจึงไม่มีใครได้ยิน
แต่จ้าวเฟิงรู้สึกว่าชีวิตของเขาอยู่ในกำมือของคนอื่นอย่างไรอย่างนั้น ชะตาชีวิตของเขาจะถูกตัดสินโดยราชาทั้งสอง
ทว่าสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจอย่างยิ่งก็คือ ราชาชุดคลุมสีฟ้ากลับไม่ยอมแพ้ต่อราชาจิตวิญญาณมรณะ
“พวกเจ้าถอยไปก่อน กลับเข้าไปยังยอดภูผาจิตวิญญาณของดินแดนศักดิ์สิทธิ์…” ราชาชุดฟ้าจ้องมาที่จ้าวเฟิงอย่างลึกซึ้ง แต่ออกคำสั่งต่อคนทั้งหลายของสำนักบรรพตทอง
“ไปได้!” ผู้เฒ่าหลี่เคราขาวและครึ่งก้าวสู่ราชันรวมสามคน นำคนจำนวนหลายร้อยบนเรือมังกรทอง บินตรงดิ่งไปยังใจกลางลำแสงที่ปรากฏอยู่กลางอากาศ ซึ่งในนี้รวมถึงจ้าวเฟิงด้วย
ส่วนราชาชุดคลุมฟ้ายืนหยัดกายอยู่ด้านข้างปากทางเข้า คอยกำบังให้กลุ่มคนเข้าไปภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ส่วนราชาอเวจีและองครักษ์แห่งความตายสี่คนซึ่งอยู่ไกลออกไปพันลี้ไกลก็ไม่ได้ผลีผลามบุกเข้ามา
พลังมหาศาลของราชาทั้งสองหมุนวนไปมากลางอากาศ คุมเชิงกันแต่ไม่ได้ปะทะกันอีก
ในขณะที่เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้น ราชาชุดคลุมฟ้าจ้องมองราชาอเวจีและองครักษ์แห่งความตายสี่คนอย่างเย็นชา
“ถอย!” ราชาอเวจีเอ่ยเสียงเรียบ นำองครักษ์แห่งความตายหมุนกายแล้วจากไป
“ท่านราชา ท่านจะยอมวางมือแบบนี้หรือ?”
“พลังของท่านน่าจะสามารถข่มราชาผู้นั้นได้” องครักษ์แห่งความตายเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ
“ที่นี่คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ ไม่ใช่ดินแดนของว่านเซินของพวกเรา อีกทั้งสำนักยิ่งใหญ่ที่ตั้งตัวในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ก็ไม่ใช่เล่นแล้ว ถึงจะมีคนในขอบเขตราชันปราณเทวะอยู่ด้วยก็ไม่ได้แปลกอะไร”
ราชาอเวจีถอนหายใจหนักๆ ออกมา
ถ้าหากไม่ใช่ละแวกใกล้เคียงกับทางเข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาก็คงจะไม่ปล่อยไปเช่นนี้แน่
แล้วในเวลานี้เอง
สวบ!
เรือสำเภาเหล็กสีดำเย็นยะเยือกก็ปรากฏขึ้น
“ท่านราชาอเวจี”
บนเรือสำเภาเหล็กสีดำสนิทมีองครักษ์แห่งความตายหลายคน
ในนั้นยังมีบุรุษหนุ่มหยางกวงและเด็กหญิงนัยน์ตาขาวโพลนด้วย
“ฝ่าบาทที่สาม” ราชาอเวจีผงกศีรษะน้อยๆ แล้วเข้าไปรวมกลุ่มกับบุรุษหนุ่ม
หยางกวงและคนอื่นๆ
“น่าเสียดายจริงๆ คิดไม่ถึงเลยว่าเป้าหมายสังหารจะพัฒนาว่องไวถึงเพียงนี้…”
หลังจากที่บุรุษหนุ่มหยางกวงรู้เรื่องราวทั้งหมดก็เอ่ยอย่างเสียดาย
ถ้าหากราชาอเวจีถึงเร็วกว่านี้สักหน่อย ย่อมต้องปลิดชีพเป้าหมายสังหารและจับเขากลับมาได้อย่างแน่นอน
“เป้าหมายสังหารผู้นั้นเข้าไปภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ หากว่าได้รับการคุ้มครองจากสำนักในนั้นคงจะลงมือจัดการยากขึ้น…” ราชาอเวจีเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
ในดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ถึงจักรพรรดิแห่งความตายมาด้วยตัวเองก็ยังไม่กล้าทำอะไรหุนหันพลันแล่น
“เหอะเหอะ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางออก ท่านอาจารย์กับผู้อาวุโสของสำนักสามดาวของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่นามว่า ‘สำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดาย’ มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกันอยู่ พวกเราหาผู้อาวุโสของสำนักนั้นพบแล้วค่อยคิดหาวิธีการสังหารจ้าวเฟิงคนนั้น โอกาสยังมีอีกมากมายนัก” บุรุษหนุ่มหยางกวงหัวเราะเบาๆ
สำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดาย!
องครักษ์แห่งความตายหลายคนในที่แห่งนั้นใจเต้น
สำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดายเป็นสำนักใหญ่ระดับสามดาวที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วชางไห่ อีกทั้งยังเป็นสำนักลัทธิมารด้วย
จักรพรรดิแห่งความตายเป็นจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะที่อยู่มาอย่างยาวนาน ระหว่างที่ใช้ชีวิตยืนยาวนั้นเคยผูกมิตรกับคนที่มีความสามารถมากมายของดินแดนศักดิ์สิทธิ์
“ไม่เลว! ถ้าหากสามารถขอความช่วยเหลือจาก ‘สำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดาย’ การคุกคาม กดดันสำนักสองดาวระดับสุดยอดก็เป็นเรื่องง่ายแล้ว” บนในหน้าของราชาอเวจีปรากฏรอยยิ้มเย็นขึ้น
แล้วในเวลาเดียวกันนั้นเอง
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
ในวงลำแสงของค่ายกลที่อยู่บนลานขนาดใหญ่ คนบนเรือมังหรทองปรากฏร่างขึ้นทีละคน
พู่ว!
จ้าวเฟิงถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเข้ามาภายในมิติที่แปลกตา
“หืม? อ๊ะ…” มีเสียงร้องดังมาจากฝูงชน
เหล่าอัจฉริยะของสำนักบรรพตทองที่เพิ่งจะปรากฏตัวขึ้นพลันรู้สึกร่างกายหนักอึ้ง ยืนได้ไม่มั่นคงนัก
ในมิติดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไอสวรรค์ในฟ้าดินหนาแน่น แรงกดดันครอบคลุมอยู่ทั่ว
“หืม? มิติแห่งนี้คล้ายคลึงกับห้วงฝันบรรพกาลยิ่งนัก แรงกดดันในฟ้าดินมหาศาล มีแรงต่อต้านกลิ่นอายจากภายนอก” จ้าวเฟิงยืนมั่นคงแน่นิ่งบนพื้น
มิติที่แปลกตาเบื้องหน้าเขานี้มีไอสวรรค์ในฟ้าดินบริสุทธิ์อย่างยิ่ง
กลิ่นอายบรรพกาลที่เข้มข้นแผ่กระจายออกมา
จ้าวเฟิงและคนอื่นยืนอยู่บนยอดภูผาจิตวิญญาณขนาดใหญ่ที่มีลักษณะเหมือนหยกสีเขียวเข้ม
ท้องฟ้าด้านบนศีรษะเป็นสีฟ้ากระจ่างราวภาพมายา
“ดอกไม้ใบหญ้า ไอสวรรค์ในฟ้าดิน ล้วนแต่สาดกลิ่นอายบรรพกาลออกมาด้วย”
ยอดฝีมืออัจฉริยะส่วนหนึ่งใบหน้าตื่นเต้น เพิ่งจะยืนอย่างมั่นคงได้
ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อิฐทุกก้อนกระเบื้องทุกแผ่น หญ้าทุกใบต้นไม้ทุกต้น โครงสร้างสิ่งของ กลิ่นอายฟ้าดิน ล้วนแต่แข็งแกร่งกว่าโลกภายนอกหลายเท่าตัว
“คนที่เพิ่งเข้ามามในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งแรกให้นั่งลงบนพื้น สูดหายใจครึ่งชั่วยามเพื่อทำความคุ้นเคยกับพื้นที่ที่นี่ก่อน” ผู้เฒ่าหลี่เคราขาวเอ่ยเตือน
เมื่อทั้งหมดได้ยินจึงนั่งลงกับพื้น
คนที่เข้ามาภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรกสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลในฟ้าดินที่มาจากมิติดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
จ้าวเฟิงเองก็นั่งลงเหมือนกับคนอื่น
สภาพแวดล้อมของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทำให้เขาตื่นตะลึงอย่างมาก ขนาดที่ที่แย่ที่สุดยังแข็งแกร่งกว่าหุบเขาลี้ลับของซากปรักหักพังสือเฉิงไม่รู้กี่เท่า แล้วไหนจะยัง ‘ยอดภูผาจิตวิญญาณ’ ที่อยู่เบื้องหน้านี้ ซึ่งกินขนาดพื้นที่เป็นรัศมีร้อยลี้ ทั้งยอดเขาอบอวลไปด้วยไอสวรรค์ในฟ้าดินที่โบราณและหนาแน่น
หากมองจากที่ไกลๆ ‘ยอดภูผาจิตวิญญาณ’ นี้ถูกล้อมรอบด้วยลำแสงสว่างราวกับภาพฝัน เป็นดั่งเส้นแบ่งเขตแดนของโลกเซียน
แน่นอนว่าคนที่เพิ่งเข้ามาในที่แห่งนี้ครั้งแรก ส่วนมากแล้วต้องทำความคุ้นชินกับแรงกดดันของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก่อน
แต่จ้าวเฟิงกลับเป็นบุคคลอีกประเภทหนึ่ง
“ถึงแม้ว่าแรงกดดันที่นี่จะหนักหนา แต่เมื่อเปรียบกับห้วงฝันบรรพกาลแล้วกลับเทียบไม่ติดเลยแม้แต่น้อย” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ
กลายเป็นว่าในทันทีที่เขาเข้ามาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เขาไม่รู้สึกไม่สบายตัวแต่อย่างใด
ภายในดวงวิญญาณและร่างกายของเขาดูดซึมกลิ่นอายของห้วงฝันบรรพกาลจำนวนมหาศาล เมื่อเปรียบกับกลิ่นอายโบราณของที่นี่แล้วบริสุทธิ์กว่า และเข้าใกล้แหล่งกำเนิดพลังมากกว่า
ด้วยเหตุนี้ จ้าวเฟิงจึงได้รับการยอมรับจากกลิ่นอายในฟ้าดินของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว แรงต่อต้านของมิติไม่นานก็หายไป
แววตาของเขาจึงเริ่มสอดส่ายไปทั่วทิศทาง ยอดภูผาจิตวิญญาณแห่งนี้เป็นเหมือนตาน้ำแห่งหนึ่ง มักจะมีไอสวรรค์ที่บริสุทธิ์ผุดออกมาบ่อยๆ
ไอสวรรค์ในที่แห่งนี้จะปรากฏเป็นหมอกควัน
บนยอดภูผาจิตวิญญาณ ภายในแสงสว่างที่เลือนรางราวภาพฝันคือตำหนักและหอนับไม่ถ้วน โอบล้อมไปด้วยศาลากับสวนพฤกษาชาติ มีสะพานกับสายน้ำไหล เต็มไปด้วยเสน่ห์แบบโบราณ เหมือนโลกเซียนในภาพวาดก็ไม่ปาน
บนอากาศ มีลำแสงเงากับกลิ่นอายที่แข็งแกร่งกวาดผ่าน สามารถมองเห็นเงาของอสูรโบราณจำนวนมากมายบินผ่านไป