Skip to content

King of Gods 626

King Of Gods

บทที่ 626 ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่

“ ‘ยอดเขาจิตวิญญาณรอง’ แห่งนี้คือที่ตั้งของพวกเราสำนักบรรพตทอง…”

ผู้เฒ่าหลี่เคราขาวยืนอยู่ข้างกายจ้าวเฟิง แล้วเอ่ยแนะนำคนอื่นๆ

ในระหว่างที่พูด ครึ่งก้าวสู่ราชันหลายคนของสำนักบรรพตทองมีอาการภาคภูมิใจอยู่

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงกวาดมองทิวทัศน์ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์

“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่มียอดเขาจิตวิญญาณหลักสามแห่ง ยอดเขาจิตวิญญาณรองสามสิบสามแห่ง ยอดเขาจิตวิญญาณรองโดยมากแล้วจะเป็นที่พำนักของคนผู้โดดเด่นจากสำนักใหญ่สองดาว…” ผู้เฒ่าหลี่เคราขาวเอ่ยอธิบายต่อ

เป็นไปตามนั้น ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงมองเห็นยอดเขาจิตวิญญาณทั้งสามสิบสามแห่ง ซึ่งเหมือนปกคลุมด้วยหมอกควันจนเลือนรางอยู่บริเวณรอบนอกดินแดนศักดิ์สิทธิ์

ยอดเขาจิตวิญญาณรองพวกนี้กระจายตัวอยู่บริเวณรอบนอกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่

ในทุกๆ ยอดเขาจิตวิญญาณรองเป็นประหนึ่งตาน้ำที่สาดไอสวรรค์บริสุทธิ์จำนวนมากออกมาไม่หยุด จนส่งผลให้ยอดเขาทุกแห่งปกคลุมไปด้วยหมอกควันเลือนราง ดูพร่ามัวแต่กลับไม่ทำให้ความยิ่งใหญ่ลดลง

“ทุกยอดเขาจิตวิญญาณรองเป็นที่ตั้งของสำนักสองดาว สภาพแวดล้อมในบริเวณดังกล่าวเหนือกว่าหุบเขาลี้ลับใน ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ เสียอีก” จ้าวเฟิงลอบถอนหายใจ

อีกทั้งนี่ยังเป็นเพียงแค่ยอดเขารอบนอกเท่านั้น

ในศูนย์กลางของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ยังมี ‘ยอดเขาจิตวิญญาณหลัก’ สามแห่งที่สูงใหญ่ทะลวงผ่านเมฆ

ยอดเขาจิตวิญญาณหลักทั้งสามนั้นอยู่ตรงกลาง โอบล้อมไปด้วยยอดเขาจิตวิญญาณรองจำนวนมาก

เมื่อมองจากที่ไกลๆ ยอดเขาจิตวิญญาณหลักทั้งสามแห่งนั้น เป็นเสมือน ‘เสาใหญ่ยักษ์’ ที่ค้ำจุนฟ้าดินเอาไว้ คล้ายกับการโจมตีทางประสาทสัมผัสที่อยู่เคียงคู่ฟ้าดินมาตั้งแต่สมัยโบราณ

ในครรลองสายตา

ยอดเขาจิตวิญญาณหลักทั้งสามแห่งสาดซัดพลังยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต ต่อให้เป็นราชันในขอบเขตปราณเทวะก็ไม่กล้าจะขัดขืนพลังกลุ่มนั้น

“ยอดเขาจิตวิญญาณหลักใหญ่กว่ายอดเขาจิตวิญญาณรองหลายสิบเท่า มีเพียงสำนักสามดาวจึงจะมีสิทธิ์เข้าไปด้านในได้” แววตาของคนจำนวนมากจ้องมองไปที่ใจกลางพร่ามัวของยอดเขาจิตวิญญาณหลัก

ยอดเขาจิตวิญญาณหลักตั้งอยู่ในใจกลางของดินแดนศักดิ์สิทธิ์

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงสัมผัสได้ว่าไอสวรรค์ฟ้าดินที่ผุดขึ้นลงราวกระแสน้ำและบริสุทธิ์ยิ่งกว่ายอดเขาชั้นรองกำลังสาดซัดออกไปทั้งแปดทิศ

หรือว่า

“ยอดเขาจิตวิญญาณเหล่านี้ ทุกแห่งล้วนแต่เป็นแหล่งไอสวรรค์”

จ้าวเฟิงใจเต้นรัว จากการสำรวจของดวงตาเทพเจ้า การคาดเดาของจ้าวเฟิงไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย

ด้านล่างของยอดเขาจิตวิญญาณหลักและยอดเขาจิตวิญญาณรองล้วนแต่มี ‘แหล่งไอสวรรค์’ ในระดับสูง ในทุกเวลาทุกวินาทีจะสร้างไอสวรรค์จำนวนมากทะลักออกมา ถึงขนาดว่าทั้งบริเวณดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่คือใจกลางของแหล่งไอสวรรค์ในทะเลความว่างเปล่า

และด้วยเหตุนี้เอง ไอสวรรค์ฟ้าดินในทะเลดินแดนจิตวิญญาณจึงรุนแรงปั่นป่วน พลังอำนาจของกลุ่มดินแดนเจินอู่จึงเหนือกว่ากลุ่มดินแดนอื่นมากนัก

“เอ๋ ยอดเขาจิตวิญญาณหลักที่อยู่ตรงกลางนั่น…” ยอดฝีมือคนหนึ่งในสำนักมีพลังสายเลือดดวงตา จึงค้นพบความผิดปกติที่เกิดขึ้น

ในศูนย์กลางของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มียอดเขาจิตวิญญาณหลักที่เรียงกันสามแห่ง แต่ตัวยอดเขาที่อยู่ตรงกลางเหมือนจะไม่มีสำนักใดตั้งรกรากอยู่

“หืม? ยอดเขาหลักที่อยู่ตรงกลางนั้นดูไปแล้วเหมือนยอดเขาโบราณ สิ่งที่แฝงอยู่ในแหล่งไอสวรรค์ก็สู้ยอดเขาหลักอีกสองแห่งด้านข้างไม่ได้ ”

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงมองเห็นอย่างแจ่มแจ้งยิ่ง ยอดเขาจิตวิญญาณหลักที่อยู่ตรงกลางรกร้างไร้ผู้คน แต่คล้ายมีเศษซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง

“นั่นคือ ‘ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่’ (หมื่นปี) ถือว่าเป็นสถานที่ไร้เจ้าของ”

ยอดผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงเอ่ยเสียงต่ำ

ยอดฝีมือจำนวนน้อยที่เคยมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สายตาที่จ้องมองไปยังยอดเขาจิตวิญญาณหลักตรงกลางแห่งนั้นมีแววสับสนวุ่นวาย แต่ก็ยังมีความเคารพศรัทธาอย่างที่สุดอยู่ในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่!

อัจฉริยะยอดฝีมือทั้งหลายได้ยินชื่อแล้วล้วนรู้สึกว่ายอดเขาดังกล่าวย่อมไม่ธรรมดา

“หลายหมื่นปีก่อน ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่มีสำนักใหญ่ในระดับสี่ดาวตั้งอยู่”

ผู้เฒ่าหลี่เคราขาวเอ่ยด้วยท่าทีเคารพ

สำนักใหญ่ระดับสี่ดาวงั้นรึ?

ใจของคนเหล่านั้นสั่นสะเทือน

“คิดไม่ถึงเลยว่ายอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่แห่งนั้นจะกลายมาเป็นที่ตั้งซากปรักหักพังของสำนักใหญ่ระดับสี่ดาวในอดีต” ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงพยายามจะสำรวจยอดเขาแห่งนั้น แต่โดนพลังลี้ลับต่างๆ ขัดขวางเอาไว้

‘ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่’ ยังคงดำรงอยู่ แต่กลับไม่มีสำนักใดเข้าไปอยู่ต่อ เดิมทีก็ไม่สมเหตุสมผลอยู่ไม่น้อย

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงกวาดมองผ่านทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างคร่าวๆ แล้วค่อยๆ เก็บสายตากลับมา

“สถานการณ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้สงบสุขอย่างที่พวกเจ้าคิดเอาไว้ พวกเจ้าเพิ่งจะมาใหม่ อย่าเดินออกห่างจากประตูสำนักเกินห้าร้อยลี้…” ครึ่งก้าวสู่ราชันแขนขาดเอ่ยเตือน

ในใจของจ้าวเฟิงกระจ่างแจ้ง

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ มียอดเขาจิตวิญญาณรองเพียงสามสิบสามแห่ง

ส่วนกลุ่มดินแดนทั้งหลายมีสำนักสองดาวจำนวนมาก เพียงแค่กลุ่มดินแดนเจินอู่ก็มีสำนักสองดาวถึงเกือบร้อยสองร้อยแล้ว

อีกอย่าง สำนักสามดาวและสองดาวในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ย่อมมีความสัมพันธ์ด้านผลประโยชน์ระหว่างกัน

นอกเหนือจากยอดเขาจิตวิญญาณ ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยังมีภูมิศาสตร์ที่ซับซ้อนหลายประเภทเช่น บริเวณกว้างใหญ่ ภูเขา สายน้ำ ทะเลทราย เป็นต้น

“แน่นอนว่ายังมีจุดสำคัญกว่าอยู่อีกจุดหนึ่ง ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีสำนักใหญ่สามดาวสองแห่งคือสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินและสำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดาย พวกเจ้าอย่าได้มีเรื่องกับทั้งสองสำนักนี่เป็นอันขาด…” ตาเฒ่าหลี่เคราขาวเอ่ยสำทับ

 

ทันทีที่เอ่ยถึง ‘สำนักสามดาว’ ทั้งสอง ครึ่งก้าวสู่ราชันสีหน้าเข้มคล้ำลง ในแววตาฉายความหวาดกลัวออกมา

สำนักสามดาว!

สำนักศักดิ์สิทธิ์เจินเสวียนและสำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดาย!

‘คนมาใหม่’ ทั้งหมดที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวจำไว้ขึ้นใจ

ตั้งแต่โบราณกาลมา เส้นแบ่งระดับสำนักในแต่ละดาวมีระยะห่างราวฟ้ากับเหว

ต่อให้ห่างกันเพียงแค่ครึ่งดาวก็มีระยะห่างกันต่างกันเป็นอย่างมาก

“จ้าวเฟิง!”

เสียงราบเรียบว่างเปล่าดังมาจากระดับชั้นวิญญาณ

ในวินาทีถัดมา พลังที่ยิ่งใหญ่ของราชันปราณเทวะพุ่งลงมาจากด้านบน ทำให้คนทั้งหลายในที่นี่สตินึกคิดแข็งค้างไปชั่วขณะ

จ้าวเฟิงแหงนศีรษะขึ้นมองดู ก็เห็นกลุ่มลำแสงสีฟ้าลอยอยู่กลางอากาศ พอจะมองเห็นร่างเลือนลางของราชาชุดคลุมสีฟ้าอยู่ในนั้น

“คารวะองค์ราชา” จ้าวเฟิงทำความเคารพเป็นพัลวัน

ยอดฝีมือธรรมดาทั่วไปที่ได้รับการเรียกชื่อจากราชัน หากไม่ได้รับทุกขลาภก็คงต้องใจเต้นถี่อย่างหวาดกลัว

ราชาชุดคลุมสีฟ้าจ้องเขม็งมาที่เขาแล้วเปิดปากเอ่ยว่า “ตามข้ามา”

ทันทีที่เอ่ยจบ

พลังมหาศาลกลุ่มก้อนหนึ่งที่จับต้องไม่ได้ก็หอบเอาร่างของจ้าวเฟิงลอยขึ้นไปบนอากาศ

วูบ!

ร่างของจ้าวเฟิงโดนพลังมหาศาลนั้นหอบไปอยู่ข้าง ‘ราชาชุดคลุมสีฟ้า’ โดยที่ไม่อาจจะขัดขืนได้เลย

จ้าวเฟิงใจเต้นระรัวอย่างตกใจ ราชันในขอบเขตปราณเทวะมีพลังอยู่ในระดับขั้นใดกันแน่?

ยามขอบเขตแก่นก่อกำเนิดธรรมดาอยู่ต่อหน้าพลังที่ยิ่งใหญ่ของราชัน ขนาดความคิดที่จะต่อต้านยังไม่มี

สวบ! สวบ!

ราชันชุดคลุมฟ้าร่างกายสั่นสะท้านขึ้นอีกครั้ง

เพียงพริบตาเดียว จ้าวเฟิงก็ถูกนำตัวมายังสวนที่ห่างไกลและเงียบสงบ

ราชันชุดคลุมฟ้ายืนเอามือไพล่หลัง ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร

จนถึงเวลาที่จ้าวเฟิงสงสัยนั่นเอง

สวบ พรึ่บ!

ผู้เฒ่าหลี่เคราบินแหวกอากาศมาถึงสวนด้วยจิตใจกระวนกระวาย ก่อนหันไปทำความเคารพต่อผู้อาวุโสสูงสุด

จ้าวเฟิงจึงค้นพบว่า

ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ แรงกดดันของไอสวรรค์ฟ้าดินรุนแรง ระดับขั้นในมิติสูงส่ง ความเร็วในการโบยบินของครึ่งก้าวสู่ราชันในที่แห่งนี้ล้วนแต่โดนจำกัดเอาไว้

ตามที่เขาคาดเดา ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงธรรมดาน่าจะโบยบินในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ไม่ได้

“เรื่องในวันนี้ พวกเจ้าสองคนต้องอธิบายมา” ราชาชุดฟ้าหันหลังให้กับคนทั้งสองแล้วเอ่ยเสียงเรียบ

จ้าวเฟิงและผู้เฒ่าหลี่เคราขาวมองสบตากัน ฝ่ายหลังสีหน้าทุกข์ทรมาน

ถ้าหากไม่ใช่เพราะ ‘คำสั่งล่าสังหาร’ เรื่องราวก็คงจะไม่ยุ่งเหยิงแบบนี้

เหตุเกิดจากจ้าวเฟิงได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าตำหนักหย่งเฟิง แล้วยืมเอา ‘ตราคำสั่งผู้มาเยือน’ ของสำนักบรรพตทองเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ จึงเป็นการกระทำแบบ ‘ใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนตน’

ถ้าหากไม่มีคำสั่งล่าสังหารเข้ามาเกี่ยวข้อง เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ผู้เฒ่าหลี่ที่เป็นครึ่งก้าวสู่ราชันคงยังพอจะปกปิดไว้ได้

ราชันในขอบเขตปราณเทวะสูงส่งเหนือใคร โดยธรรมดาแล้วไหนเลยจะมีแก่ใจมาถามเรื่องราวพวกนี้

“ผู้อาวุโสสูงสุด เรื่องนี้ต้องเริ่มจากที่เจ้าตำหนักหย่งเฟิง…”

ผู้เฒ่าหลี่ไม่กล้าปกปิด ภายใต้การถูกจับจ้องจากพลังในขอบเขตปราณเทวะ เขาไม่กล้าพูดโกหกแน่นอน

เมื่อเอ่ยถึง ‘เจ้าตำหนักหย่งเฟิง’ จ้าวเฟิงอดรู้สึกละอายใจไม่ได้

เจ้าตำหนักหย่งเฟิงช่วยเขาแน่นอนว่าย่อมมีความเสี่ยงเหมือนกัน

เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับจ้าวเฟิง เขาติดต่อกับสำนักบรรพตทองได้อย่างไร แล้วเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ด้วยวิธีไหน ทั้งหมดก็กระจ่างแจ้งอย่างรวดเร็ว

“เรื่องพวกนี้ข้าไม่สนใจ ตอนนี้เพียงแค่ต้องการแน่ใจความจริงของเรื่องหนึ่งเท่านั้น” ราชาชุดฟ้า หันหน้ากลับมา แล้วจับจ้องบนร่างของจ้าวเฟิงเป็นครั้งแรก

วินาทีนี้เอง จ้าวเฟิงเองจึงมองเห็นใบหน้าของราชาชุดฟ้าชัดเจน เขาเป็นชายหนุ่มที่สุภาพสง่างาม มีทีท่าโดดเด่นกว่าคนธรรมดา

“เจ้าและตวนมู่ชิงมีความเกี่ยวข้องกันจริงหรือ?” ราชาชุดคลุมสีฟ้าดวงตาเป็นประกาย

“ข้าน้อยเพียงได้รับการไหว้วานจากผู้อาวุโสท่านหนึ่ง…” จ้าวเฟิงทำได้เพียงอธิบายตรงๆ

เขาจึงเอาคำตอบที่เคยบอกเจ้าตำหนักหย่งเฟิงมาอธิบายอีกรอบก่อน

“ได้! ข้าจะเชื่อเจ้าชั่วคราวก่อนแล้วกัน” ราชาชุดคลุมสีฟ้าไม่ได้มีข้อสงสัยมากมายนัก

เขาไม่เชื่อว่าคนที่มาจากภายนอกจะกล้าฝ่าฟันภยันอันตราย ลอบปะปนเข้ามาภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่

แน่นอนว่าย่อมไม่ตัดความน่าจะเป็นอย่างหนึ่งคือ จ้าวเฟิงอยากจะลอบเข้ามาภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่เพื่อหลบคำสั่งล่าสังหาร

“เจ้าจัดแจงหาที่พักให้จ้าวเฟิงก่อน ส่วนเรื่อง ‘จักรพรรดิตวนมู่’ ข้าจะหาวิธีติดต่อให้…” ราชาชุดคลุมฟ้าโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ

จ้าวเฟิงและผู้เฒ่าหลี่เหมือนยกภูเขาออกจากอก รีบออกจากสวนแห่งนี้ในทันที

ขณะนี้ ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือจะต้องตรวจสอบเรื่องของ ‘ตวนมู่ชิง’ ให้แน่ใจก่อน

“ถ้าหากว่าตวนมู่ชิงผู้นี้ไม่ใช่ตวนมู่ชิงคนเดียวกันกับที่ผู้อาวุโสสือเฉิงรู้จักล่ะ…” จ้าวเฟิงสับสนกังวลใจอย่างยิ่ง

คนทั้งสองออกจากสวนไป

สวบ! สวบ! สวบ!

ภายในสวนแห่งนั้น ปรากฏกลุ่มลำแสงขึ้นมากมายกลางอากาศอย่างฉับพลัน ร่างเงาในใจกลางนั้นเลือนราง มีทั้งผู้ชายผู้หญิง คนแก่ และคนรุ่นเยาว์

“จ้าวเฟิงผู้นี้กลิ่นอายสายเลือดไม่ธรรมดาเลย ต่อให้ไม่ใช่หนึ่งในสายเลือดหมื่นรายชื่อเผ่าพันธุ์โบราณ ก็นับว่าคล้ายคลึงอยู่ไม่น้อย…” น้ำเสียงสูงวัยในนั้นเอ่ยขึ้น

 

“เหอะ ต่อให้เป็นสายเลือดหมื่นรายชื่อเผ่าพันธุ์โบราณก็ยากที่จะมาอยู่ใน

สำนักบรรพตทองของข้า เรื่องเร่งด่วนตอนนี้คือต้องยืนยันความสัมพันธ์เจ้าเด็กนี่กับ

ตวนมู่ชิงก่อน”

“ถึงแม้ว่าสำนักเราจะเข้ามาอยู่ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แล้วยังมีจักรพรรดิคอยรักษาการณ์ แต่ว่าในโลกใบนี้ นอกจากสำนักสามดาวแล้วก็ไม่มีขั้วอำนาจใดไม่หวาดกลัวจักรพรรดิแห่งความตาย” กลิ่นอายของราชันหลายคนเอ่ยถกเถียงกัน

“เหอะเหอะ จะใช่หรือไม่ใช่ พวกเราก็ไม่มีทางเสียเปรียบแน่” ราชันชุดคลุมสีฟ้ายิ้มน้อยๆ

“หากจ้าวเฟิงผู้นี้มีความเกี่ยวข้องกับตวนมู่ชิงจริงๆ พวกเราก็ถือโอกาสช่วยเหลือสำนักศักดิ์สิทธิ์เจินเสวียน สร้างความสัมพันธ์แนบแน่นไปอีกขั้น จะส่งผลให้สำนักของเราอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างมั่นคง แล้วถ้าหากเขาและตวนมู่ชิงไม่มีความเกี่ยวข้องกัน เราส่งเขาให้บริวารของจักรพรรดิแห่งความตาย ก็ยังมีบุญคุณต่อจักรพรรดิที่อยู่ในลำดับต้นๆ อยู่ดี”

ทันทีที่เอ่ยจบ กลุ่มลูกไฟกลางอากาศที่เป็นครึ่งก้าวสู่ราชันก็พากันเห็นด้วย

“เพียงแต่ว่า ‘ตวนมู่ชิง’ ผู้นั้นปิดด่านฝึกตนมานานหลายปี ขนาดราชันธรรมดาอยากจะเจอเขายังยากเลย…” เสียงของสตรีคนหนึ่งดังขึ้น

“ไม่จำเป็นต้องกังวล ‘อุทยานครึ่งเซียน’ ที่มีครั้งหนึ่งในรอบห้าร้อยปีใกล้จะเปิดอีกครั้งแล้ว ต่อให้ตวนมู่ชิงผู้นั้นจะยุ่งขนาดไหนก็ไม่กล้าทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนหรอก” เสียงแก่ๆ นั้นเอ่ยขึ้น

“อุทยานครึ่งเซียน? เหอะเหอะ การคัดเลือกลูกศิษย์ของสำนักเราเรียบร้อยแล้วหรือยัง นี่เป็นโอกาสอันดีที่มีเพียงครั้งเดียวในรอบห้าร้อยปีเชียวนะ”

ยอดเขาจิตวิญญาณรอง ณ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์

จ้าวเฟิงถูกจัดแจงให้พักในห้องรับรองแขกแห่งหนึ่ง

ในระยะเวลาสั้นๆ จ้าวเฟิงที่อยู่ในฐานะแขกก็ได้เข้าไปพำนักอยู่ภายในยอดเขาจิตวิญญาณของสำนักบรรพตทอง

“ตวนมู่ชิง…คนที่ผู้อาวุโสสือเฉิงเอ่ยแนะนำ หวังว่าจะเป็นคนเดียวกันนะ”

จ้าวเฟิงสูดหายใจลึก

เขาสังหรณ์ใจว่าตวนมู่ชิงน่าจะเป็นบุคคลที่ส่งผลต่อชีวิตของเขาเป็นแน่

เหมือนดังในยามที่พบอาจาย์คนแรกเช่นเจ้าเมืองก่วงจวิน ถ้าหากว่าไม่มีเขา จ้าวเฟิงก็คงจะไม่ได้สัมผัสยุทธภพอย่างรวดเร็วเช่นนี้

พรึ่บ ผัวะ!

ใจกลางฝ่ามือของเขาปรากฏตราคำสั่งสีม่วงที่ปกคลุมด้วยระลอกน้ำ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!